เคยนึกสงสัยกันมั้ยคะว่าการเรียนระดับมหาวิทยาลัยเขาเรียนกันยังไงและมีอะไรที่ต้องเจอบ้าง???? วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยของทุกคนและรีวิวว่าจะเจออะไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้างเพื่อการเตรียมตัวและดูแนวทางว่าเราชอบรึเปล่าด้วย และเนื่องจากจะลงรายละเอียดจึงอาจจะยาวนิดนึงสามารถเลื่อนอ่านตามความสนใจได้เลยนะคะ แต่ต้องขอบอกก่อนว่าวิชาที่สามารถเลือกเองอย่างวิชาเสรีต่างๆอาจจะไม่ถูกใจใครหลายๆคน แต่หากมาเรียนก็ยังมีวิชาอื่นๆอีกหลากหลายให้เลือกตามชอบนะคะ 💕 อย่างแรกเลยขอแนะนำสถานที่ก่อนนะคะ
เราเรียนอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนย่านพัฒนาการ เป็น "มหาลัย" เล็กๆค่ะ คนระแวกนั้นเลยรู้จักนักศึกษาสถาบันนี้ว่า "เด็กไทย-ญี่ปุ่น" นั่นเองค่ะ
เริ่มต้นสำหรับการเข้ามหาวิทยาลัยจะ
มีการเรียนปรับพื้นฐานก่อน ซึ่งการเรียนในคอร์สนี้จะได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ในรั้วมหาลัยและปรับความรู้ให้เท่าเทียมกัน รวมไปถึงสถาบันยังมีการปูพื้นสำหรับภาษาญี่ปุ่นที่เริ่มตั้งแต่ 0 แบบว่าเริ่มสอนให้ใหม่เลยน้าไม่รีบร้อนค่ะ ค่อยๆไปด้วยกันกับเพื่อนใหม่ข้างๆเลย
นอกจากวิชาภาษาญี่ปุ่นก็ยังมีภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ที่สอนความรู้ที่เราอาจจะเคยๆเรียนในช่วงมัธยมมาบ้างแล้วเป็นเหมือนทวนความจำกันเนอะ แต่ก็มีสอบปิดคอร์สเหมือนปกติค่ะซึ่งจะไปขึ้นอยู่ในระบบเกรดของเราในอนาคตแต่ไม่นับไปคำนวณนะคะ "
จะขึ้นแค่ผ่าน (S) ไม่ผ่าน (F)"
หลังจากที่เราผ่านการเรียนปรับพื้นฐานแล้วก็จะเข้าสู่การเรียนปี 1 เทอมแรกซึ่งไม่ต้องฝ่าฟันสมรภูมิรบการลงทะเบียนในเทอมแรกค่ะ
เพราะฝ่ายทะเบียนจะเป็นคนลงให้สำหรับการเรียนเทอมแรก เราค่อยไปรบกันต่อในเทอมสองค่ะ สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมต้องบอกว่าเป็นสมรภูมิรบ
เพราะการลงทะเบียนเรียนนั้นต้องใช้ความว่องไวในการลง และถ้าตัวเราช้าหรือบังเอิญอินเตอร์เน็ตค้างก็จบกันเลยค่ะ เพราะว่าวิชาที่เราต้องการลงก็จะเต็มแบบต่อหน้าต่อตาเราเลย แสนเจ็บปวดดดดด 😱
ต้องบอกก่อนว่าในแต่ละเทอม "
เราสามารถลงวิชาเรียนได้สูงสุด 7 วิชา ซึ่งถ้าใครอยากจะจบ 3 ปีครึ่งก็ลองคำนวณเวลาและวิชาดูนะคะ" เพื่อที่จะได้จบทัน แต่สำหรับใครที่ไม่อยากอัดเรียนเยอะๆก็สามารถวางแผนตามใจชอบได้ค่ะ แต่ก็ยกเว้นพวกวิชาบังคับที่ต้องลงในเทอมนั้นๆ
สำหรับ
ปี 1 เราลงไปด้วยกัน 12 วิชาซึ่ง
วิชาในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นวิชาพื้นฐานนะคะ ได้แก่ Fundamental Economics, Business Mathematics, Business Statistics, English for Communication และ Business Japanese ค่ะ และจะมีบางตัวที่แตกต่างจากปกติเพราะ
เรียนเป็นภาษาอังกฤษ อย่างเช่นวิชา
Principles of Marketing กับ Principles of Management ที่เป็นวิชาสาขา เราจะได้เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดแต่ก็ไม่ต้องกลัวนะคะ อาจารย์เขาก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ถ้าไม่เข้าใจก็สามารถไปปรึกษาทีหลังแบบภาษาไทยได้ค่ะ ส่วนการเรียนก็จะเป็นสไตล์ทฤษฎีเริ่มแรกก่อน มีสอบย่อย นำเสนองานเหมือนทั่วไปแต่ก็มีการให้นักศึกษานำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับโปรเจคอยู่ตลอดค่ะ
(จะพูดถึงช่วงท้ายถ้าสนใจสามารถเลื่อนลงไปอ่านได้เลยจ้า)
นอกจากพวกวิชาพื้นฐานสำหรับคณะบริหารธุรกิจแล้ว
ยังมีวิชาที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมที่จำเป็นมากๆกับการทำงาน อย่าง Excel, Power BI อีกด้วยยยย เราว่าทุกคนเคยเรียน Excel กันมาจากโรงเรียนอยู่แล้ว น่าจะรู้ถึงความโหดร้ายของมัน งั้นเราของพูดถึงว่า
Power BI ดีกว่า
โดยวิชานี้เป็นโปรแกรมการทำ Data visualize เพื่อที่จะสามารถนำเสนอข้อมูลที่เราหามาให้ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารเข้าใจได้แบบง่ายๆ เพราะเจ้าโปรแกรมนี้สามารถออกแบบได้หลากหลายมากเลย มีทั้งกราฟรูปแบบต่างๆให้เลือกใช้ให้เหมาะกับข้อมูลที่เรามีซึ่งการเรียนก็จะสอนเกี่ยวกับหน้าที่ของเครื่องมือต่างๆ ให้ลองออกแบบ นอกจากเรื่องทฤษฎีแล้วยังสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์กับวิชานี้ได้ด้วยค่ะ ซึ่งในแต่ละคอร์สนี้ก็จะได้เรียนทั้งพื้นฐานและการใช้สูตรเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน
เราจะได้เรียนกับคอมพิวเตอร์และลงมือกันจริงๆเลยนะคะ จบจากวิชานี้มาก็จะได้ความรู้ดีๆอย่างแน่นอน ส่วนตอนที่เรียนก็จะมีการสอนไปทีละขั้นทีละตอน มีให้ลองประยุกต์เข้ากับการทำงานและมีสอบปกติจ้า
ต่อมาที่
ปี 2 นะคะ แต่ต้องขอแชร์ประสบการณ์ก่อน เพราะด้วยความที่เราเพิ่งจะรู้ว่าสามารถ "
ลงเพิ่มได้เยอะๆมากกว่า 6 วิชา" ทำให้ตอนอยู่ปี 1 เสียเวลาไปด้วย แต่ก็ยังสามารถกลับมาตีตื้นได้ค่ะ
เพราะเรายังมีเรียนในช่วงซัมเมอร์อีกด้วย ตัวเราก็อยากจะจบสามปีครึ่ง จึงจำเป็นต้องลงเรียนเก็บให้ครบ
ในปีนี้เราเลยลงไปทั้งหมด 14 วิชาเต็มขั้นเลยจ้า 555555 ส่วนรายวิชาก็เช่น
Fundamental Accounting, Fundamental Logistics and Supply Chain Management, Export-Import Management, Business Finance และวิชาที่ขาดไม่ได้นั่นก็คืออออ...เหล่าวิชาภาษาทั้งหลายนั่นเองงง ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นเลย เพราะมหาวิทยาลัยของเราก็อยากจะเพิ่มทักษะภาษา ก็เลยเปิดวิชาให้เรียนกันอย่างต่อเนื่อง
นอกจากวิชาที่เรากล่าวไปก็จะมีวิชาที่ค่อนข้างสนุกสำหรับเราก็คือ
วิชา Cross Culture Management ซึ่งวิชานี้จะเหมือน
ผนวกการตลาดเข้ากับการเรียนรู้ความหลากหลายของชาติต่างๆนะคะ และทีเด็ดเลยของวิชานี้ก็คือมีการให้นักศึกษาออกแบบบูธตามประเทศที่เราศึกษา ออกบูธรวมกันรวมๆแล้วก็ได้หลายประเทศ นอกจากจะได้ทำบูธสวยๆออกไอเดียดีๆ และแต่งชุดประจำชาติแล้วยังได้แลกเปลี่ยนความรู้ความสนุกกับเพื่อนๆด้วยค่ะ เรียกว่าเป็นวันที่สนุกและอินกับการเป็นคนชาตินั้นมากๆเลยค่ะ5555 ยิ่งไปกว่านั้นทางประธานสาขา ท่านก็อยากผลักดันโครงการ Cross Culture ที่ให้คนญี่ปุ่นมาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน โดยมีเด็กสาขา IB เรานี่แหละที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดกิจกรรมนี้ทุกๆปี
สำหรับช่วงซัมเมอร์ที่ได้บอกเอาไว้เราก็ได้ลงวิชาแขนงมนุษยศาสตร์
ซึ่งการลงเรียนช่วงซัมเมอร์จะไม่ได้เปิดทุกรายวิชานะคะต้องไปเช็คกันอีกที แต่สำหรับวิชาที่เราลงไปก็คือ
วิชา Good Governance in Community Management หรือ "วิชาธรรมาภิบาลการบริหารจัดการชุมชน"
อย่าพึ่งงงนะคะว่าคือวิชาอะไรถึงแม้ว่าตอนแรกเราก็จะงงเหมือนกันก็ตาม แต่คุณเธอก็ลงเรียนไปแบบงงๆ 😂 แต่มันก็ดีเกินคาดเลยค่ะ
เพราะเป็นวิชาที่ได้เข้าถึงชุมชนจริงๆ ไปดูว่าเป็นยังไง ต้องแก้ไขอะไร ลงพื้นที่จริงแต่ก็ไม่ได้ลำบากชนาดนั้นนะคะ แถมยังสนุกที่เหมือนได้ไปท่องโลกกว้างกับเพื่อนๆ และได้ไปทำความดีที่ต่างจังหวัดด้วยยย พวกเราได้ไปศึกษาดูงานที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลกองทัพเรือที่สัตหีบ
ได้ไปขัดน้องเต่า(ที่เป็นเต่าจริงๆ) น้องน่ารักมากแล้วก็เหมือนได้ไปเที่ยวทะเลด้วยเลยเป็นทริปที่สนุกมากเลยค่ะ
แล้วเราก็ขึ้นปี 3 มาแบบเหนื่อยยากแต่ก็สนุก เพราะสองปีแรกเราก็ตะลุยวิชาพื้นฐานทั้งหลาย ตอนนี้ก็จะเริ่มเข้มข้นมากขึ้นค่ะ เพราะเป็นวิชาที่ต้องนำวิชาเก่าๆมาต่อยอด เช่น วิชา
International Logistics, Shipping Management, International Finance, Sea Cargo and Air Cargo Transportation Management และ International Business จากวิชาที่ยกมาก็จะเห็นได้ชัดว่าแตกต่างตรงที่มีความอินเตอร์ หรือมีเนื้อหาครอบคลุมมากขึ้นและไม่ได้โฟกัสแค่ที่ประเทศไทย (เพราะเราอยู่สาขาการจัดการระหว่างประเทศนั่นเอง) แต่วิชาที่เรารู้สึกว่ามันพีคสำหรับตัวเราในตอนนั้นก็คือ วิชา
Marketing Research ค่ะ
สารภาพบาปก่อนเลยว่าตอนนั้นไม่รู้ว่า "มันคืออะไรแค่คิดว่ามีอะไรการตลาดๆก็คงจะพอถูไถได้ละมั้ง..แต่ไม่ค่ะหนูคิดผิดแล้ววว" แต่ก็ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว เพราะวิชานี้ก็ดีมากๆค่ะ ทุกคนคงจะได้ยินคำว่า “ทำวิจัย” และนั่นก็คือจุดมุ่งหมายหลักของวิชานี้เลย เราได้ทั้งเป็นคนคิดหัวข้อวิจัยเอง กำหนดรูปแบบเอง รวมไปถึงออกเก็บข้อมูลและวิเคราะห์กันเอง เรียกว่าหินพอสมควร แต่ถ้าคอยติดตามงาน ปรึกษาอาจารย์ประจำวิชาก็จะผ่านมาได้แน่นอนเลยจ้า
แต่ความพิเศษของปี 3 ยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะเราจะต้องเผชิญโชคกับการฝึกงานอีกกกกก
การฝึกงานเป็นอีกหนึ่งความท้าทายเล็กๆก่อนจะเจอการหางานจริง เพราะเราก็ต้องเริ่มหาสถานที่ฝึกงาน
โดยที่เราเลือกที่จะหาเองนะคะ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ทางสถาบันก็มีรายชื่อสถานประกอบการที่ได้ให้ความร่วมมือมาให้เลือกด้วยค่ะ
สำหรับประสบการณ์ของเรานะคะ เราได้เข้าฝึกที่บริษัทการบินไทย ฝ่ายคลังสินค้าภายในประเทศ ทำงานแถวสนามบินสุวรรณภูมิเลยค่ะ หน้าที่หลักคือการคีย์ข้อมูลจาก Manifest ที่แสดงข้อมูล Flight สินค้า น้ำหนักต่างๆ ซึ่งในจุดนี้ต้องพึงระวังไม่ให้ผิดพลาดและได้ใช้ความรู้ภาษาอังกฤษล้วนๆที่เรียนมา รวมถึงการอ่านเอกสารเฉพาะทางต่างๆที่ได้เรียนมาค่ะ เรียกว่าประสบการณ์ฝึกงานมีอะไรมากกว่าการทำงานจริงๆค่ะ ซึ่งทุกคนก็ต้องผ่านด่านฝึกงานไปก่อนที่เราจะขึ้นปี 4 กันนะคะ
เนื้อเรื่องตั้งแต่ ปี 4 เป็นต้นไป เราไปต่อกันในช่องความคิดเห็นที่ 1 กันนะคะ พื้นที่ก็เริ่มเต็มแล้ว 555555555
รูปแบบการเรียนสไตล์เด็กไทย-ญี่ปุ่น (ฉบับสาขาการจัดการระหว่างประเทศ IB)
เริ่มต้นสำหรับการเข้ามหาวิทยาลัยจะมีการเรียนปรับพื้นฐานก่อน ซึ่งการเรียนในคอร์สนี้จะได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ในรั้วมหาลัยและปรับความรู้ให้เท่าเทียมกัน รวมไปถึงสถาบันยังมีการปูพื้นสำหรับภาษาญี่ปุ่นที่เริ่มตั้งแต่ 0 แบบว่าเริ่มสอนให้ใหม่เลยน้าไม่รีบร้อนค่ะ ค่อยๆไปด้วยกันกับเพื่อนใหม่ข้างๆเลย นอกจากวิชาภาษาญี่ปุ่นก็ยังมีภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ที่สอนความรู้ที่เราอาจจะเคยๆเรียนในช่วงมัธยมมาบ้างแล้วเป็นเหมือนทวนความจำกันเนอะ แต่ก็มีสอบปิดคอร์สเหมือนปกติค่ะซึ่งจะไปขึ้นอยู่ในระบบเกรดของเราในอนาคตแต่ไม่นับไปคำนวณนะคะ "จะขึ้นแค่ผ่าน (S) ไม่ผ่าน (F)"
หลังจากที่เราผ่านการเรียนปรับพื้นฐานแล้วก็จะเข้าสู่การเรียนปี 1 เทอมแรกซึ่งไม่ต้องฝ่าฟันสมรภูมิรบการลงทะเบียนในเทอมแรกค่ะ เพราะฝ่ายทะเบียนจะเป็นคนลงให้สำหรับการเรียนเทอมแรก เราค่อยไปรบกันต่อในเทอมสองค่ะ สำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมต้องบอกว่าเป็นสมรภูมิรบ เพราะการลงทะเบียนเรียนนั้นต้องใช้ความว่องไวในการลง และถ้าตัวเราช้าหรือบังเอิญอินเตอร์เน็ตค้างก็จบกันเลยค่ะ เพราะว่าวิชาที่เราต้องการลงก็จะเต็มแบบต่อหน้าต่อตาเราเลย แสนเจ็บปวดดดดด 😱
ต้องบอกก่อนว่าในแต่ละเทอม "เราสามารถลงวิชาเรียนได้สูงสุด 7 วิชา ซึ่งถ้าใครอยากจะจบ 3 ปีครึ่งก็ลองคำนวณเวลาและวิชาดูนะคะ" เพื่อที่จะได้จบทัน แต่สำหรับใครที่ไม่อยากอัดเรียนเยอะๆก็สามารถวางแผนตามใจชอบได้ค่ะ แต่ก็ยกเว้นพวกวิชาบังคับที่ต้องลงในเทอมนั้นๆ
สำหรับ ปี 1 เราลงไปด้วยกัน 12 วิชาซึ่ง วิชาในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นวิชาพื้นฐานนะคะ ได้แก่ Fundamental Economics, Business Mathematics, Business Statistics, English for Communication และ Business Japanese ค่ะ และจะมีบางตัวที่แตกต่างจากปกติเพราะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ อย่างเช่นวิชา Principles of Marketing กับ Principles of Management ที่เป็นวิชาสาขา เราจะได้เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดแต่ก็ไม่ต้องกลัวนะคะ อาจารย์เขาก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ถ้าไม่เข้าใจก็สามารถไปปรึกษาทีหลังแบบภาษาไทยได้ค่ะ ส่วนการเรียนก็จะเป็นสไตล์ทฤษฎีเริ่มแรกก่อน มีสอบย่อย นำเสนองานเหมือนทั่วไปแต่ก็มีการให้นักศึกษานำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับโปรเจคอยู่ตลอดค่ะ (จะพูดถึงช่วงท้ายถ้าสนใจสามารถเลื่อนลงไปอ่านได้เลยจ้า)
นอกจากพวกวิชาพื้นฐานสำหรับคณะบริหารธุรกิจแล้ว ยังมีวิชาที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมที่จำเป็นมากๆกับการทำงาน อย่าง Excel, Power BI อีกด้วยยยย เราว่าทุกคนเคยเรียน Excel กันมาจากโรงเรียนอยู่แล้ว น่าจะรู้ถึงความโหดร้ายของมัน งั้นเราของพูดถึงว่า Power BI ดีกว่า โดยวิชานี้เป็นโปรแกรมการทำ Data visualize เพื่อที่จะสามารถนำเสนอข้อมูลที่เราหามาให้ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารเข้าใจได้แบบง่ายๆ เพราะเจ้าโปรแกรมนี้สามารถออกแบบได้หลากหลายมากเลย มีทั้งกราฟรูปแบบต่างๆให้เลือกใช้ให้เหมาะกับข้อมูลที่เรามีซึ่งการเรียนก็จะสอนเกี่ยวกับหน้าที่ของเครื่องมือต่างๆ ให้ลองออกแบบ นอกจากเรื่องทฤษฎีแล้วยังสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์กับวิชานี้ได้ด้วยค่ะ ซึ่งในแต่ละคอร์สนี้ก็จะได้เรียนทั้งพื้นฐานและการใช้สูตรเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน เราจะได้เรียนกับคอมพิวเตอร์และลงมือกันจริงๆเลยนะคะ จบจากวิชานี้มาก็จะได้ความรู้ดีๆอย่างแน่นอน ส่วนตอนที่เรียนก็จะมีการสอนไปทีละขั้นทีละตอน มีให้ลองประยุกต์เข้ากับการทำงานและมีสอบปกติจ้า
ต่อมาที่ ปี 2 นะคะ แต่ต้องขอแชร์ประสบการณ์ก่อน เพราะด้วยความที่เราเพิ่งจะรู้ว่าสามารถ "ลงเพิ่มได้เยอะๆมากกว่า 6 วิชา" ทำให้ตอนอยู่ปี 1 เสียเวลาไปด้วย แต่ก็ยังสามารถกลับมาตีตื้นได้ค่ะ เพราะเรายังมีเรียนในช่วงซัมเมอร์อีกด้วย ตัวเราก็อยากจะจบสามปีครึ่ง จึงจำเป็นต้องลงเรียนเก็บให้ครบ ในปีนี้เราเลยลงไปทั้งหมด 14 วิชาเต็มขั้นเลยจ้า 555555 ส่วนรายวิชาก็เช่น Fundamental Accounting, Fundamental Logistics and Supply Chain Management, Export-Import Management, Business Finance และวิชาที่ขาดไม่ได้นั่นก็คืออออ...เหล่าวิชาภาษาทั้งหลายนั่นเองงง ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นเลย เพราะมหาวิทยาลัยของเราก็อยากจะเพิ่มทักษะภาษา ก็เลยเปิดวิชาให้เรียนกันอย่างต่อเนื่อง
นอกจากวิชาที่เรากล่าวไปก็จะมีวิชาที่ค่อนข้างสนุกสำหรับเราก็คือ วิชา Cross Culture Management ซึ่งวิชานี้จะเหมือนผนวกการตลาดเข้ากับการเรียนรู้ความหลากหลายของชาติต่างๆนะคะ และทีเด็ดเลยของวิชานี้ก็คือมีการให้นักศึกษาออกแบบบูธตามประเทศที่เราศึกษา ออกบูธรวมกันรวมๆแล้วก็ได้หลายประเทศ นอกจากจะได้ทำบูธสวยๆออกไอเดียดีๆ และแต่งชุดประจำชาติแล้วยังได้แลกเปลี่ยนความรู้ความสนุกกับเพื่อนๆด้วยค่ะ เรียกว่าเป็นวันที่สนุกและอินกับการเป็นคนชาตินั้นมากๆเลยค่ะ5555 ยิ่งไปกว่านั้นทางประธานสาขา ท่านก็อยากผลักดันโครงการ Cross Culture ที่ให้คนญี่ปุ่นมาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน โดยมีเด็กสาขา IB เรานี่แหละที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดกิจกรรมนี้ทุกๆปี
สำหรับช่วงซัมเมอร์ที่ได้บอกเอาไว้เราก็ได้ลงวิชาแขนงมนุษยศาสตร์ ซึ่งการลงเรียนช่วงซัมเมอร์จะไม่ได้เปิดทุกรายวิชานะคะต้องไปเช็คกันอีกที แต่สำหรับวิชาที่เราลงไปก็คือ วิชา Good Governance in Community Management หรือ "วิชาธรรมาภิบาลการบริหารจัดการชุมชน" อย่าพึ่งงงนะคะว่าคือวิชาอะไรถึงแม้ว่าตอนแรกเราก็จะงงเหมือนกันก็ตาม แต่คุณเธอก็ลงเรียนไปแบบงงๆ 😂 แต่มันก็ดีเกินคาดเลยค่ะ เพราะเป็นวิชาที่ได้เข้าถึงชุมชนจริงๆ ไปดูว่าเป็นยังไง ต้องแก้ไขอะไร ลงพื้นที่จริงแต่ก็ไม่ได้ลำบากชนาดนั้นนะคะ แถมยังสนุกที่เหมือนได้ไปท่องโลกกว้างกับเพื่อนๆ และได้ไปทำความดีที่ต่างจังหวัดด้วยยย พวกเราได้ไปศึกษาดูงานที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลกองทัพเรือที่สัตหีบ ได้ไปขัดน้องเต่า(ที่เป็นเต่าจริงๆ) น้องน่ารักมากแล้วก็เหมือนได้ไปเที่ยวทะเลด้วยเลยเป็นทริปที่สนุกมากเลยค่ะ
แล้วเราก็ขึ้นปี 3 มาแบบเหนื่อยยากแต่ก็สนุก เพราะสองปีแรกเราก็ตะลุยวิชาพื้นฐานทั้งหลาย ตอนนี้ก็จะเริ่มเข้มข้นมากขึ้นค่ะ เพราะเป็นวิชาที่ต้องนำวิชาเก่าๆมาต่อยอด เช่น วิชา International Logistics, Shipping Management, International Finance, Sea Cargo and Air Cargo Transportation Management และ International Business จากวิชาที่ยกมาก็จะเห็นได้ชัดว่าแตกต่างตรงที่มีความอินเตอร์ หรือมีเนื้อหาครอบคลุมมากขึ้นและไม่ได้โฟกัสแค่ที่ประเทศไทย (เพราะเราอยู่สาขาการจัดการระหว่างประเทศนั่นเอง) แต่วิชาที่เรารู้สึกว่ามันพีคสำหรับตัวเราในตอนนั้นก็คือ วิชา Marketing Research ค่ะ
สารภาพบาปก่อนเลยว่าตอนนั้นไม่รู้ว่า "มันคืออะไรแค่คิดว่ามีอะไรการตลาดๆก็คงจะพอถูไถได้ละมั้ง..แต่ไม่ค่ะหนูคิดผิดแล้ววว" แต่ก็ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว เพราะวิชานี้ก็ดีมากๆค่ะ ทุกคนคงจะได้ยินคำว่า “ทำวิจัย” และนั่นก็คือจุดมุ่งหมายหลักของวิชานี้เลย เราได้ทั้งเป็นคนคิดหัวข้อวิจัยเอง กำหนดรูปแบบเอง รวมไปถึงออกเก็บข้อมูลและวิเคราะห์กันเอง เรียกว่าหินพอสมควร แต่ถ้าคอยติดตามงาน ปรึกษาอาจารย์ประจำวิชาก็จะผ่านมาได้แน่นอนเลยจ้า แต่ความพิเศษของปี 3 ยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะเราจะต้องเผชิญโชคกับการฝึกงานอีกกกกก
การฝึกงานเป็นอีกหนึ่งความท้าทายเล็กๆก่อนจะเจอการหางานจริง เพราะเราก็ต้องเริ่มหาสถานที่ฝึกงาน โดยที่เราเลือกที่จะหาเองนะคะ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ทางสถาบันก็มีรายชื่อสถานประกอบการที่ได้ให้ความร่วมมือมาให้เลือกด้วยค่ะ
สำหรับประสบการณ์ของเรานะคะ เราได้เข้าฝึกที่บริษัทการบินไทย ฝ่ายคลังสินค้าภายในประเทศ ทำงานแถวสนามบินสุวรรณภูมิเลยค่ะ หน้าที่หลักคือการคีย์ข้อมูลจาก Manifest ที่แสดงข้อมูล Flight สินค้า น้ำหนักต่างๆ ซึ่งในจุดนี้ต้องพึงระวังไม่ให้ผิดพลาดและได้ใช้ความรู้ภาษาอังกฤษล้วนๆที่เรียนมา รวมถึงการอ่านเอกสารเฉพาะทางต่างๆที่ได้เรียนมาค่ะ เรียกว่าประสบการณ์ฝึกงานมีอะไรมากกว่าการทำงานจริงๆค่ะ ซึ่งทุกคนก็ต้องผ่านด่านฝึกงานไปก่อนที่เราจะขึ้นปี 4 กันนะคะ
เนื้อเรื่องตั้งแต่ ปี 4 เป็นต้นไป เราไปต่อกันในช่องความคิดเห็นที่ 1 กันนะคะ พื้นที่ก็เริ่มเต็มแล้ว 555555555