อธิบายตามที่ผมเข้าใจนะ ยกตัวอย่างเป็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทละกันง่ายๆหน่อย(แบบไม่มีค่าคอมค่าสเปร่ด)

ให้วันนี้อัตราแลกเปลี่ยน $US : บาท อยู่ที่ 1ดอล = 30.50บาท พอคุณเห็นอัตราแลกเปลี่ยนนี้ ให้คุณลองจิตนการณ์ว่าจะหากำไรยังไง ถ้าสมมติ.คุณคิดว่าเงินบาทจะวิ่งอยู่แถวๆนี้แหละไม่ไปไหนไกลมาก เอาซัก 30.50-30.55บาทต่อ 1ดอล

เริ่มต้นคุณก็ลงทุนซื้อ 1ดอล โดยจ่ายเป็นเงินบาทไปจำนวน 30.50บาท ผ่านไป 1วัน อัตราแลกเปลี่ยนเป็น 30.52บาท แล้วคุณก็ขาย1ดอลคืนไป สรุปวันนี้กำไร 2สต. แต่ไอ้เงินแค่ 2สต.ต่อวันมันจะไปพออะไร(โลภ)

ทีนี้มาคิดใหม่ คุณอยากได้กำไร 2,000บาทแทน ก็ง่ายๆซื้อซัก 100,000ดอล โดยลงทุนจ่ายเป็นเงิน 3,050,000บาท ผ่านไป 1วัน อัตราแลกเปลี่ยนขยับเป็น 30.52บาท แล้วคุณก็ขาย100,000ดอลคืนไป ได้เงินบาทคืนมา 3,052,000บาท สรุปวันนี้กำไร 2,000บาท.... แต่ปัญหาคือคุณจะไปหาเงินทุน 3ล้านกว่าๆนี้มาจากไหน?

ผมซึ่งเป็นโบรคก็เลยอนุมัติเงินกู้ให้คุณ ก็คือ Leverage นั่นแหละ สมมติผมให้ Leverage 1:1,000 ก็คือวงเงินกู้ 1,000เท่า แต่คุณต้องซื้อเป็นสัญญาผ่านตราสารอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับเงินบาทที่ออกโดยโบรคผมแทน กำหนดชื่อตราสารว่า $USD/THB โดยสามารถซื้อขายบนกระดานที่ผมกำหนด โดยให้คุณวางเป็นเงินมัดจำ(เงินประกัน)แทน ทุกๆครั้งที่เปิด 1สัญญา(lot)มีมูลค่าเท่ากับ 30,500บาท เปิด 100สัญญา(lot) ก็เท่ากับ 3,050,000บาท
ถ้า Leverage 1:1,000 เงินประกันน่าจะวางขั้นต่ำกัน 0.1-0.2%ต่อlot หรือราวๆ lotละ 50บาท ทีนี้พอจะเห็นภาพมั้ย ถ้าอยากเปิด 100lots คุณก็วางเงินแค่ 5,000บาท เวลาอัตราแลกเปลี่ยนขยับทุกๆ 1สต. คุณก็กำไร/ขาดทุนทีละ 1,000บาทไปเลย

พออธิบายเป็นคู่เงินดอลกับบาทมันจะดูเหมือนน้อยแต่เพราะตัวเลขมันห่างกัน30.5เท่าได้ แต่ถ้าเป็นเงินสกุลสำคัญๆของโลกที่เทรดใน forex มันจะไม่ห่างแบบนี้ อย่าง us/eu ช่วงนี้ราวๆ 0.9เท่าเอง

ส่วนที่ถามว่ามันติดลบได้ไหม จริงๆแล้วมันไม่ได้หรอกถ้าเงินประกันมันลดเหลือต่ำกว่า30% ก็จะถูกบังคับปิดสัญญา หรือที่เราเรียกๆ force sell ก็จะได้เงินที่เหลือคืน แต่ส่วนใหญ่โบรคมันจะมีโบนัสตรงนี้ให้เผื่อไว้ เวลาเงินประกันต่ำว่า 30% เงินโบนัสก็จะเข้ามาค้ำไว้ให้รอคุณมาเติมเงิน แต่ถ้ายังผิดทางต่อมันก็กินจนเหลือ 0% ก็คือล้างพอร์ทหมดเกลี้ยงแบบไม่เหลือเงินเลย