สโตนเฮนจ์ในสถานที่ต่างๆรอบโลก

‘สแปนิช สโตนเฮนจ์’


 "โดลเมน แห่ง กัวดัลเปรัล" (ภาพ-Pleonr/CC by SA 4.0)

“โดลเมน แห่ง กัวดัลเปรัล” ซึ่งบางครั้งถูกเรียกว่า “สโตนเฮนจ์ของสเปน” เพื่อเชื่อมโยงกับสโตนเฮนจ์ สิ่งปลูกสร้างหินที่มีชื่อเลื่องลือไปทั่วโลกในประเทศอังกฤษ เป็นกลุ่มหินก้อนขนาดใหญ่ที่ถูกจับตั้งขึ้นและเรียงรายอยู่ในรูปวงกลม จำนวนก้อนหินทั้งหมดมีมากถึง 150 ก้อน บางก้อนสูงถึง 1.8 เมตร ล้อมพื้นที่ว่างรูปไข่อยู่ตรงกลาง 

นักโบราณคดีเชื่อว่า สิ่งปลูกสร้างนี้อาจสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 5,000-4,000 ปีก่อนคริสตศักราช ซึ่งไม่เพียงทำให้สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนี้อาจมีอายุสูงถึง 7,000 ปีแล้วเท่านั้นยังอาจเก่าแก่กว่าสโตนเฮนจ์ของอังกฤษหลายพันปีอีกด้วย

นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า โบราณสถานที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์นี้น่าจะใช้เป็นทั้งวิหาร และสุสานสำหรับชุมชนเก่าแก่ในบริเวณดังกล่าว ในอดีตบริเวณโบราณสถานแห่งนี้มีแท่งหินที่เรียกว่าเมนเฮียร์ หรือหินสูงที่ตั้งตรงขึ้น ด้านบนมีแท่นหินแบนวางราบ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นช่องเก็บศพแบบปิดสามด้าน ใช้เป็นสุสานเดี่ยว โดยบริเวณด้านหน้าสุสานเดี่ยวดังกล่าวจะมีหินสลักตั้งตรงเป็นรูปคน อีกด้านเป็นรูปสัญลักษณ์คล้ายงู หรือลำน้ำทากัส ที่อยู่ใกล้เคียง ทำหน้าที่อารักขาหลุมศพ ต่อมามีการสร้างกำแพงหินรายล้อมโดยรอบสุสานเดี่ยวเหล่านี้

 สุสานแห่งกัวดัลเปรัล นี้ขุดค้นพบครั้งแรกในเขต เอ็กซ์ทรีมาดูรา ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแนวชายแดนสเปนติดต่อกับประเทศโปรตุเกสในทศวรรษ 1920 แต่ไม่มีการศึกษาวิจัยอย่างถี่ถ้วนใดๆ เกี่ยวกับโบราณสถานแห่งนี้ จนกระทั่งถึงทศวรรษ 1960 ซึ่งมีกำหนดชะตากรรมของแหล่งโบราณสถานแห่งนี้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยนายพล ฟรานซิสโก ฟรังโก จอมเผด็จการแห่งสเปน ที่กำหนดให้พื้นที่นี้เป็นที่ตั้งของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ ที่ยังคงผลิตไฟฟ้ามาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ซึ่งส่งผลให้หุบเขาที่ตั้งของโดลเมน แปรสภาพเป็นอ่างเก็บน้ำ ท่วมสุสานเก่าแก่แห่งนี้ให้จมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำบัลเดคันยาสไปโดยปริยาย
Cr.https://www.matichon.co.th/lifestyle/tech/news_1687471

 

 
นาบตา พลายา (Nabta Playa) สโตนเฮนจ์แห่งอียิปต์


นาบตา พลายา นั้นอยู่ในทะเลทรายนูเบียน ห่างออกไปทางตะวันตก 100 กิโลเมตรจากมหาวิหารอบู ซิมเบล ที่ฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramses II) สร้างไว้อย่างวิจิตรอลังการ กองหินนี้สันนิษฐานว่าสร้างโดยผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบนี้เมื่อประมาณ 11,000 ปีมาแล้ว และเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้เข้ามาตรวจสอบ ก็พบว่ามันไม่ได้ถูกจัดวางอย่างไร้ระเบียบ แต่มีความเชื่อมโยงกับระบบดวงดาวอย่างลึกซึ้ง ทำให้เชื่อได้ว่าผู้คนที่สร้างนาบตา พลายานั้นน่าจะเป็นชนชาติแรกๆ ที่เป็นผู้สร้างอารยธรรมในแถบลุ่มน้ำไนล์ขึ้นมา
 
 ซากโบราณของนาบตา พลายานั้นถูกค้นพบในช่วงปี 1974 ส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ภายใต้ผืนทราย ต้องอธิบายว่าแต่ก่อนพื้นที่แถวนี้ (ประมาณหมื่นปีที่แล้ว) เคยเป็นพื้นที่เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ มีฝนตกต้องตามฤดูกาล ไม่ได้เป็นทะเลทรายแห้งแล้งอย่างปัจจุบัน ส่วนชาวอียิปต์โบราณก็ยังไม่ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ว่าง่ายๆ คือเป็นชนเผ่าเร่ร่อนมาก่อนนั่นเอง เมื่อพวกเขาพบว่าพื้นที่แถวนี้มีความอุดมสมบูรณ์จึงเริ่มมีการตั้งแคมป์อาศัยขึ้น และในที่สุดก็ได้สร้างสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าอย่างนาบตา พลายาขึ้นมา
 
เมื่อนักโบราณคดีวิเคราะห์หลักฐานแล้ว จึงเชื่อได้ว่ากองหินนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางดาราศาสตร์ เป็นปฎิทินดวงดาวที่จะบอกถึงวันครีษมายัน (ตรงกับวันที่ 21 หรือ 22 มิถุนายน) ของทุกปี ซึ่งเป็นสัญญาณบอกถึงการเปลี่ยนผ่านฤดูพร้อมกับฝนฤดูร้อนที่จะตกลงมา นำความชุ่มฉ่ำมาสู่ผืนดินอันเป็นสิ่งที่พวกเขารอคอย  นอกเหนือจากการทำนายวันฝนตกแล้ว การจัดวางตำแหน่งก้อนหินนั้นเรียงตามตำแหน่งของหมู่ดาวโอไรอ้อน (Orion’s Belt) เป็นลักษณะเดียวกันกับสโตนเฮนจ์ที่อังกฤษ และพีระมิดด้วย
Cr.https://travel.trueid.net/detail/Z7r78obDAMW
 
 
 

สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge ) แห่งอังกฤษ
 
 
 

หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างสลับกับเนินเขา หากจากตัวเมืองซอลส์เบอรี 13 กิโลเมตร 
กองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว
 
การจัดเรียงแท่นหินคาดว่าเกิดขึ้นราว 2800 ปีก่อนคริสต์กาล โดยมีการขุดร่องวงกลม 56 หลุม อยู่นอกวงสุด แล้วฝังก้อนหินลงไป หลังจากนั้นราว 2100 ปีก่อนคริสตกาล มีการนำหินสีน้ำเงิน 80 ก้อนจากเวลส์ มาเรียงเป็นวงกลม 2ชั้นด้านใน แล้วมีหินทรายขนาดใหญ่(หินซาร์เชน) จำนวน 30 แท่ง มาวางทับกับตำแหน่งหินสีน้ำเงินสองวงเดิม และมีวงหินทรายรูปเกือกม้าอยู่บริเวณด้านในสุด ส่วนการนำหินที่หนักอึ้งไปวางพาดไว้ด้านบนสุดนั้นยังเป็นปริศนา
 
 - อินิโก โจนส์ สถาปนกในศตวรรษที่ 17 บอกว่าเป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมันที่เข้ามาอังกฤษก่อนคริสตกาลก่อน
 - มีความเชื่อว่าเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีของพวกดรูอิต ซึ่งเป็นลัทธิบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ หรือไม่ก็บ่วงสรวงเทพเจ้า
- นักโบรารคดีเชื่อว่าเป็นที่ประกอบพิธีศพ ก่อนนำร่างไปฝังยังสุสานมูนดิน
- นักดาราศาสตร์เชื่อว่า คนโบราณสร้างเพื่อใช้เป็นปฏิทินโบราณ เพราะตำแหน่งของการวางขอองหินต่างๆตรงกับการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ต่างๆของปีอย่างแม่นยำ
Cr. https://www.smilinggroup.net/Blog/15

 
 
“มอหินขาว” สโตนเฮนจ์แห่งเมืองไทย


 
“มอหินขาว” ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูแลนคา จ.ชัยภูมิ โดยภายในอุทยานแห่งนี้เราจะได้พบกับเจ้าแท่นหินประหลาดที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ ยืนหยัดท้าแสงแดด และแสงดาวข้ามผ่านกาลเวลามาแสนยาวนาน จนได้ชื่อว่า “สโตนเฮนจ์ของเมืองไทย”
 
”สโตนเฮนจ์เมืองไทย” ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร ด้วยกัน อยู่ระหว่างรอยต่อเขตอุทยานแห่งชาติตาดโตน และอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ในเขต ต.ท่าหินโงม และ ต.ซับสีทอง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองชัยภูมิมากนัก เพียง 42 กิโลเมตร เท่านั้น โดยรูปหินที่มีลักษณะแปลกตาทั้ง 5 ต้นนี้ ตั้งตระหง่านสูงจากพื้นดินกว่า 12 เมตร ด้วยลักษณะที่โดดเด่นของเจ้าหินที่ตั้งตรงบริเวณทุ่งหญ้าบนเนินเขา แทรกด้วยกลุ่มหินทรายสีขาวขนาดใหญ่โต ตั้งเรียงรายดูสะดุดตามาแต่ไกล แถมยังคล้ายกับ Stonehenge 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคกลางของประเทศอังกฤษอย่างไรอย่างนั้น


สาเหตุที่ใครๆ ต่างก็เรียกที่แห่งนี้ว่ามอหินขาวนั่นเป็นเพราะ เมื่อก่อนมีความเชื่อกันว่าในคืนวันพระที่เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง จะมีแสงสีขาวส่องขึ้นมาจากบริเวณทุ่งหินแห่งนี้ และว่ากันว่าในคืนเดือนมืด แสงดาวที่นี่จะส่องสว่างชัดเจนกว่าบริเวณอื่น โดยพื้นที่ของทุ่งหินนั้นยังเลยออกไปถึงลานหิน ที่รายล้อมไปด้วยแท่นและเสาหินขนาดเล็ก ลาดเอียงไปจรดผาหัวนาค ผางาม ที่ปกคลุมไปด้วยกล้วยไม้ และดอกไม้ป่าด้วย
Cr.https://www.parpaikin.com/




สโตนเฮนจ์แห่งใหม่ อายุ 4,500 ปี



   นักโบราณคดีชาวอังกฤษ พบสโตนเฮนจ์แห่งใหม่หลังใช้เรดาร์ค้นหา ลักษณะเป็นก้อนหินอายุ 4,500 ปี ขนาดยักษ์ สูง 4 เมตร จำนวนมากกว่า 90 ก้อน เรียงต่อกันยาวเป็นแถว อยู่ห่างจากสโตนเฮนจ์แห่งเดิมเพียง 1.6 กิโลเมตรเท่านั้น
            วันที่ 6 กันยายน 2558 เว็บไซต์เดลี่เมล เปิดเผยว่า ศาสตราจารย์วินซ์ กาฟฟ์นีย์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ได้ค้นพบสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นสโตนเฮนจ์แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากแห่งเดิมเพียง 1.6 กิโลเมตร โดยเขาค้นพบสถานที่แห่งนี้จากการใช้เรดาร์ค้นหาที่พ่วงอยู่กับรถวิบาก 4 ล้อ
            กลุ่มก้อนหินเหล่านี้ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบและไม่แตกแถว ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกำแพงดิวริงตันหรือซูเปอร์เฮนจ์ โบราณสถานอันโด่งดังอีกแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ

 สถานที่ดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับเป็นที่ประกอบพิธีกรรมสมัยโบราณ โดยมีก้อนหินขนาดใหญ่มหึมาราว 90 ก้อนตั้งอยู่บนพื้นดิน หินแต่ละก้อนมีความสูงที่โผล่พ้นพื้นดินโดยเฉลี่ยราว 4 เมตร และมีส่วนที่อยู่ในดินอีก 1 เมตร หินทั้งหมดถูกวางเรียงกันให้เป็นเส้นตรงซึ่งต่างจากสโตนเฮนจ์ที่หินทั้งหมดถูกวางเรียงเป็นวงกลม อีกทั้งก้อนหินเหล่านี้ยังมีอายุไม่ต่ำกว่า 4,500 ปี
            ศาสตราจารย์วินซ์ เปิดเผยว่า เขาและลูกทีมใช้เวลาในการค้นหาโบราณสถานหินที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั่วทวีปยุโรป แต่เจ้าสโตนเฮนจ์แห่งใหม่นี้กลับอยู่ใกล้ตัวเขาเสียจนคาดไม่ถึง โดยเขาและทีมงานคาดว่า กลุ่มก้อนหินเหล่านี้น่าจะถูกสร้างและจัดเรียงโดยคนกลุ่มเดียวกับที่สร้างสโตนเฮนจ์ในอดีต เพราะจากการสำรวจเบื้องต้น คาดว่าหินเหล่านี้เป็นหินชนิดเดียวกับหินที่สโตนเฮนจ์ คือหินทรายที่ชื่อ sarsens
Cr.https://travel.kapook.com/view128603.html




“วูดเฮนจ์” สโตนเฮนจ์แห่งเยอรมนี



มันคือโบราณสถานที่มีอายุราวๆ 4,300 ปีซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่บ้าน Pömmelte ในเยอรมนี และมีชื่อเรียกว่า “สโตนเฮนจ์แห่งเยอรมัน” หรือ “วูดเฮนจ์”
 
วูดเฮนจ์ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในปี 1991 โดยเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้ และเรียงกันเป็นวงกลมหลายชั้น ซึ่งแม้จะไม่ได้โด่งดังเท่ากับสโตนเฮนจ์ของอังกฤษ แต่ที่แห่งนี้ก็มีเรื่องราวของตัวเองเช่นกัน
เพราะในบริเวณที่มีการค้นพบวูดเฮนจ์นั้น ได้มีการค้นพบโครงกระดูกของเด็ก และหญิงวัยรุ่นจำนวนมากเช่นกัน และจากการตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์พวกเขานั้นได้จบชีวิตลงจากการสังหารที่โหดร้ายรุนแรงอีกด้วย
 
จริงอยู่ว่านี่อาจจะเป็นเพียงการสังหารหมู่ธรรมดาในสมัยนั้น แต่จากการที่ไม่มีโครงกระดูกของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อยู่เลย ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าโครงกระดูกเหล่านี้ น่าจะมาจากการบูชายัญเสียมากกว่า
เป็นไปได้ว่าในสมัยก่อนจะมีการใช้ที่แห่งนี้ในการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 250 ปี ตลอดช่วง 2300-2050 ปีก่อนคริสตกาล ส่งผลให้มีโครงกระดูกจำนวนมากถูกฝังอยู่ในที่แห่งนี้ไป
 
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าการประกอบพิธีกรรมที่ว่าจะถูกยกเลิกไปกลางคัน เพราะในบริเวณหนึ่งของวูดเฮนจ์ยังมีวัตถุโบราณที่น่าจะเคยใช้ในการประกอบพิธีฝังเอาไว้และกลบด้วยขี้เถ้า ซึ่งน่าจะเกิดจากการเผาเสาทิ้งบางส่วน
เป็นไปได้ว่าในช่วง 2050 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการยกเลิกประกอบพิธีกรรมไป คนในสมัยนั้นจึงเอาอุปกรณ์ที่เคยใช้ทั้งหมดใส่ลงไปในหลุม และเผาเสาไม้เพื่อเอาขี้เถ้าไปกลบหลุมเสียนั่นเอง
 Cr.https://www.catdumb.com/german-stonehenge-and-evidence-of-sacrificed-378/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่