เมื่อต้นเดือนสิงหาคม เราจอดรถไว้หน้าบ้าน
เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามถอยรถมาชนประตูหลังด้านขวา น้องก็เรียกประกันของอาคเนย์มาเคลมตามปกติค่ะ
ต่อมาอีก 2 อาทิตย์ รถเราโดนชนท้ายบนทางด่วน คู่กรณีก็เรียกประกันจากวิริยะมาเคลมตามปกติอีกเช่นกันค่ะ
ความวุ่นวายของชีวิตเรา เริ่มต้นจาก
1. เราต้องหาอู่ที่รับซ่อมรถของทั้ง 2 บริษัทประกันภัยเอง เพราะถ้าแยกกันซ่อมประตูที ท้ายที มันคงจะเสียเวลามาก
2. พอหาอู่ที่รับซ่อมทั้ง 2 บริษัทประกันนี้ได้แล้ว อู่แจ้งว่าต้องใช้เวลาซ่อมไม่น้อยกว่า 1 เดือน
เราซึ่งทำเบเกอรี่ส่งตามที่ต่างๆ การไม่มีรถใช้ หรือต้องใช้บริการแท๊กซี่ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่ใช่น้อย
มีน้องแนะนำให้เราไปเช่ารถมาใช้ในระหว่างซ่อม และต้องเป็นบริษัทที่ให้เช่ารถโดยตรง มีใบเสร็จรับเงินถูกต้อง
แล้วค่อยไปเบิกกับบริษัทประกันภัย
ปล.ตอนหลัง อู่ซ่อมรถทำเรื่องโอนให้บริษัทประกันภัยอาคเนย์เป็นคู่กรณีเพียงรายเดียว
3. และที่หนักหนาสำหรับเราคือ เราต้องหาเงินสำรองจ่ายค่าเช่ารถไปก่อน เราเช่าวีออส วันละ 700 บาท เดือนละ 18,000 บาท
(ซึ่งยังไม่รู้ว่ารถจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เราใช้วิธีต่อสัญญาทุก 15 วัน นี่ต่อสัญญาครั้งที่ 3 แล้ว)
4. เราลองโทรติดต่อไปที่บริษัทประกันภัยอาคเนย์ ว่าหากจะต้องทำเรื่องเบิกเงินค่าเช่ารถคืนเอง จะต้องทำอย่างไร และจัดเตรียมเอกสารอะไรบ้าง
5. เมื่ออาคเนย์ส่งอีเมล์แจ้งเรามา เราเห็นรายการแล้วรู้สึกโมโหมาก คือทำไมเราเป็นฝ่ายถูกชน เราจะต้องมาเตรียมเอกสารอะไรพวกนี้เยอะแยะมากมาย
6. และต้องไปติดต่อทำเรื่องเบิกเงินเอง
คือคิดแบบโง่ๆ ว่า หากเราเป็นฝ่ายผิดไปชนเขา แล้วเราต้องมาจัดการเรื่องพวกนี้เอง เราจะไม่รู้สึกโมโหแบบนี้
แต่นี่ ...เราเป็นฝ่ายถูกชน เป็นฝ่ายเสียหาย เป็นฝ่ายได้รับความเดือดร้อน แล้วทำไมเราต้องมาเจอเรื่องพวกนี้อีก
เราไม่รู้ว่า บริษัทประกันภัยเป็นแบบนี้ทุกบริษัทหรือไม่ คือมันเป็นทั้งระบบเลยหรือเปล่า
อันที่จริง ความวุ่นวายในชีวิตเราตั้งแต่ข้อ 1-6 ควรจะมีตัวแทนจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณีมาดำเนินการให้ใช่หรือไม่
ทำไมรถเราโดนชน เรายังต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายอะไรพวกนี้อีก
เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามถอยรถมาชนประตูหลังด้านขวา น้องก็เรียกประกันของอาคเนย์มาเคลมตามปกติค่ะ
ต่อมาอีก 2 อาทิตย์ รถเราโดนชนท้ายบนทางด่วน คู่กรณีก็เรียกประกันจากวิริยะมาเคลมตามปกติอีกเช่นกันค่ะ
ความวุ่นวายของชีวิตเรา เริ่มต้นจาก
1. เราต้องหาอู่ที่รับซ่อมรถของทั้ง 2 บริษัทประกันภัยเอง เพราะถ้าแยกกันซ่อมประตูที ท้ายที มันคงจะเสียเวลามาก
2. พอหาอู่ที่รับซ่อมทั้ง 2 บริษัทประกันนี้ได้แล้ว อู่แจ้งว่าต้องใช้เวลาซ่อมไม่น้อยกว่า 1 เดือน
เราซึ่งทำเบเกอรี่ส่งตามที่ต่างๆ การไม่มีรถใช้ หรือต้องใช้บริการแท๊กซี่ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่ใช่น้อย
มีน้องแนะนำให้เราไปเช่ารถมาใช้ในระหว่างซ่อม และต้องเป็นบริษัทที่ให้เช่ารถโดยตรง มีใบเสร็จรับเงินถูกต้อง
แล้วค่อยไปเบิกกับบริษัทประกันภัย
ปล.ตอนหลัง อู่ซ่อมรถทำเรื่องโอนให้บริษัทประกันภัยอาคเนย์เป็นคู่กรณีเพียงรายเดียว
3. และที่หนักหนาสำหรับเราคือ เราต้องหาเงินสำรองจ่ายค่าเช่ารถไปก่อน เราเช่าวีออส วันละ 700 บาท เดือนละ 18,000 บาท
(ซึ่งยังไม่รู้ว่ารถจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เราใช้วิธีต่อสัญญาทุก 15 วัน นี่ต่อสัญญาครั้งที่ 3 แล้ว)
4. เราลองโทรติดต่อไปที่บริษัทประกันภัยอาคเนย์ ว่าหากจะต้องทำเรื่องเบิกเงินค่าเช่ารถคืนเอง จะต้องทำอย่างไร และจัดเตรียมเอกสารอะไรบ้าง
5. เมื่ออาคเนย์ส่งอีเมล์แจ้งเรามา เราเห็นรายการแล้วรู้สึกโมโหมาก คือทำไมเราเป็นฝ่ายถูกชน เราจะต้องมาเตรียมเอกสารอะไรพวกนี้เยอะแยะมากมาย
6. และต้องไปติดต่อทำเรื่องเบิกเงินเอง
คือคิดแบบโง่ๆ ว่า หากเราเป็นฝ่ายผิดไปชนเขา แล้วเราต้องมาจัดการเรื่องพวกนี้เอง เราจะไม่รู้สึกโมโหแบบนี้
แต่นี่ ...เราเป็นฝ่ายถูกชน เป็นฝ่ายเสียหาย เป็นฝ่ายได้รับความเดือดร้อน แล้วทำไมเราต้องมาเจอเรื่องพวกนี้อีก
เราไม่รู้ว่า บริษัทประกันภัยเป็นแบบนี้ทุกบริษัทหรือไม่ คือมันเป็นทั้งระบบเลยหรือเปล่า
อันที่จริง ความวุ่นวายในชีวิตเราตั้งแต่ข้อ 1-6 ควรจะมีตัวแทนจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณีมาดำเนินการให้ใช่หรือไม่