เสละ ! เราเป็นพระราชาผู้ธรรมราชา ไม่มีราชาอื่นยิ่งไปกว่า
เราย่อมประกาศธรรมจักร ให้เป็นไปโดยธรรม เป็นจักรที่ใคร ๆ
จะต้านทานให้หมุนกลับ มิได้.
“ข้าแต่พระโคดม ! พระองค์ปฏิญญาว่าเป็นสัมพุทธะ เป็นธรรมราชา
ไม่มีราชาอื่นยิ่งกว่า. กล่าวอยู่ว่า “เราย่อมประกาศธรรมจักร
ให้เป็นไปโดยธรรม” ดังนี้,
ก็ใครเล่าหนอเป็นเสนาบดีของพระองค์ เป็นผู้รองลำดับของศาสดา ?
ใครย่อมประกาศตามได้ซึ่งธรรมจักรที่พระองค์ประกาศแล้ว ?”
เสลพราหมณ์ ทูลถาม.
เสละ ! สารีบุตรเป็นผู้รองลำดับตถาคต ย่อมประกาศตามเราได้
ซึ่งอนุตตรธรรมจักร อันเราประกาศแล้ว.
พราหมณ์ ! สิ่งที่ควรรู้เราได้รู้แล้ว, สิ่งควรทำให้เจริญ เราได้ทำให้เจริญแล้ว,
สิ่งควรละ เราได้ละแล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็น ‘พุทธะ’.(ผู้คงที่)
(ชื่อว่าถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง(พระนิพพาน) บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้เช่นนั้นว่าเป็นพุทธะ.
(เช่น องค์พระผู้เป็นเจ้า เรียก อัลลอหันอัลลอหฺ แปนต้น.)
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ปล.
เช่นเดียวกันกับ YHWH
ปราศจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนของใคร ซึ่งมิใช่ตัวตนของใคร(ปราศจาก
การปรุงแต่ง ....ไม่มีต้นไม่มีปลาย.... นั้นแหละ
(อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง
เป็นอยู่ก่อนแล้วในสรรพสิ่งทั้งมวลตั้งแต่งโลกมีมา
เป็นอยู่แห่งธรรมดา
เป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา
ความเป็นอย่างนั้นไม่ผิดไปจาก ความเป็นอย่างนั้น
ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย (หลง)
สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น(ตัณหา)
แล้วจะหาปัจจัยอะไรมาสร้างพระเจ้าอีก)เช่น สุญญากาศโดยสมบูรณ์ เป็นต้น.
พระเจ้าตรัสว่า เราเป็น(YHWH)(ผู้ประเสริฐสูงสุด)มิใช่ตัวตนอะไรของของใคร(ผู้คงที่
ความหมายเดียวกับ ตถาคต.เช่น พระผู้มีพระภาค ไม่จำกัดบุคคลหรือกาลเข้าถึงได้เหมือนกันหมด)
พวกเราทั้งหลายปรุงแต่งตัวตนกันขึ้นมาเอง. องค์พระผู้เป็นเจ้าในสุดจิตสุดใจจุดกลาง
ใจพวกเราทั้งหลายเองนั้นแหละ (หน่วยย่อยที่สุดเครื่องมือก็หาไม่พบ) ผู้มีจิตใจ
บริสุทธิ์เข้าถึงอยู่.. (เสมือนความรักที่มีต่อบุตรของตนเองด้วยจิตอันบริสุทธิ์นั้นย้อมรู้)
(ปรากฏให้เห็นได้เฉพาะตน ) จักษุญาน.ผู้สังเกตุการณ์ย่อมรู้ย่อมเห็นกิเลสในตนเองยังมีเหลืออยู่หรือไม่)
เช่น ในอากาศบริสุทธิ์เพียงไรปราศจากสสารที่มีพิษสิ่งเจือปนหลงเหลือหรือไม่...เป็นต้น.. มิติที่ซ้อนกันอยู่เ
เช่น เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต แล้วแลอยู่. นั้น การหยั่งรู้. รป็นต้น
ตามอาการ 12 ของปฏิจจสมุปบาท
(ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นแหละ นั้นเอง ย่อมเห็นเรา)
เพราะความดับไปแห่งอวิชชา(แห่งกองทุกข์ทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง) วิชชาเกิดขึ้นนั้นแหละ
จึงหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ไม่มีเปลี่ยนแปลง สุขที่แท้จริง. เมื่อเหตุดับผลก็ดับคือเมื่อสิ่งนี้
ไม่มีสิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้สิ่งนี้จึงดับไป ตามกฎอิทัปปัจจยตา เช่น
เมื่อถูกกระทำให้กลายเป็ สุญญากาศ(ไม่มีอากาศธาตุเสียแล้ว)โดยสมบูรณ์ไปแล้วด้วยดี.
ไม่ได้เป็นอะไรไของใคร ถูกแล้ว (I am Who I am) ไม่มีใครเป็นเจ้าของของใคร
แต่เราทั้งหลายนั้นแหลเะ เเสมือนหนึ่งเป็นบุตร(บุญธรรม)ของYHWH(เรียกว่าพระ
นิพพาน)เป็นพระเจ้านั้นแหละ มิใช่เตัวเราของเราเอง(ในสรรพสิ่งทั้งมวล มิใช่พระเจ้าเป็น
ของเใครคนใดคนหนึ่ง(ไม่มีชั้น วรรณะ) แต่เป็นอยู่ในพระเจ้านั้นแหละ เป็นพระเจ้าของทุกคน
`จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดและกำลังของเจ้า
พวกเราทั้งหลายนั้นแหละ เป็นของพระเจ้าYHWH(.ธรรมธาตุนั้น(หลัก)(ธาตุรวมทั้ง
สสาร-ปฏิสสารและการเล่นแร่แปรลธาตุกันด้วย))เอกภพนอกนั้นไม่มีที่สิ้นสุด..( )เว้น
จากพระนิพพานแล้วทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นปัจจัยซึ่งกันละกันแล้วเกิดมีขึ้นย่อมเสื่อม
สภาพไปเป็นธรรมดา แล้วจะหาหอกอะไรมาสร้างได้อีก (หน่วยย่อยที่สุดแล้ว)อนัตตา
(เช่น (มิติที่เป็นอนันต์ เป็นต้น.)
สรรพสิ่งย่อมเชื่อมโยงสัมพันธ์กันทุกแห่งหน.(อาตายนะ... มิติเช่นธรรม
จักษุ(ดวงตา)..ญาน..ปัญญา..วิชชา..แสงสว่างย่อมเชื่อมโยงถึงกันทั่วทุกที่ๆไป
เหมือนดั่งว่าโลกทั้งใบอยู่ในมือเราอยู่ในเช่น ปรากฏการณ์...ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนั้นๆ
กำหนดไว้แล้ว รู้ก่อนเกิดก็มี รู้หลังเกิดก็มี สัญญากับใจ เท่านั้น.(สภาพธรรมเป็นผู้สอน
ตามความเป็นจริง รู้ชัดแจ้ง นั้นแหละ ปัญญา..) เช่น ธัมฐิตตา.ธัมมนิยามตา. ตถตา.
อวิตถตา. อนัญญถตา. ปัจจยาการ. คือ หลักอิทัปปัจจยตา (7)!ดังกล่าวมานี้แล เรียก
ว่า ปฏิจจสมุปบาท" เป็นหลักตายตัว.(หัวใจ)
เพราะความดับไปแห่งอวิชชา วิชชาเกิดขึ้นนั้นแหละ เป็นพระนิพพาน(พระเจ้า)ที่แท้
จริง(แสงสว่างเกิดขึ้น) ผู้แรกที่ได้ตรัสรู้ก็เป็นพระบิดาผู้เข้าถึงพระนิพพานนั่นเอง.
(อริยสัจธรรม 4 มรรค 8 ผล4 ) องค์.พระผู้เป็นเจ้านั้นแหละ (มิใช่พระเจ้า แต่เป็น
ศาสดาเอกะของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย)
สัจธรรมย่อมมีหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(จิตหนึ่ง) เช่น เสียงว่ารถ....
ผู้มีนันทิราคะ โลภะ โทสะ โมฆะอันใด นั้นแหละ
กิเลสมาร ขันธมาร... กิเลสต่อกิเลส... เกิดตัวตนขึ้น พระเจ้าของเราบรรดล.
ตัวอุปาทานเป็นของตนเอง(สัตว์โลก..สัญชาตญาณ) ซึ่งผู้ที่เป็นอยู่เดี๋ยว
นี้(อัตตา)...เกิดเป็นคนนี้ก็แสนยากฯ แล้วพบฯได้เห็นฯหรืออยากตายตอนนี้ ก็หนีไม่
พ้น เช่นแรงโน้มถ่วงไม่ให้เราหลุดออกไปจากโลกนี้ถึงจะมียานอวกาศก็มีกรรมเหมือน
เงาติดตามตัว ไม่มีอะไรซึ่งเร็วยิ่งไปกว่าจิต....(วิญญญาณ นั้นแหละ) ผู้ถูกรู้ถูกเห็นอยู่
แล้วจะเอามาสร้าง(นามธรรม)ผู้เห็นอยู่.(ในสิ่งทั้งปวงของธรรมธาตุนั้น) เมื่อถึงจุด
หมายปลายทางแล้วก็ไม่มีความมั่นหมายในความเป็นพระนิพพานอีก (เว้นจากวิปัส
สนูปกิเลส) สลัดกลับคืนวิญญาณธาตุไปเช่นนั้นเอง.
(เช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล . อัลลอหฺัน กตา กล่าวไว้ เปนต้น.) รู้แล้ว ไม่ประพฤติ
ตาม........ก็แค่นั้นเอง. ไม่รูจักความยำเกรง หิริโอตัปปะนั้นแหละ
หลงระเริงอยู่นี้อีก...แล กูรอ่านใจคนเอง มีน
จุดเป้า.เดียวกัน พระเจ้าองค์แท้จริงเพียงองค์เดียว
นามต่างกันเท่านั้น นอกนั้น พวกอัมารสวะ
รกเป็นที่หวังได้.
สรรพสิ่งย่อมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว(จิตหนึ่ง)-
(พระบิดา(ผู้แรกตรัสรู้สัจธรรม) พระบุตร(ธรรมทายาท) พระวิญญาณบริสุทธิ์(หลุดพ้น))=
พระนิพพาน คือนามของพระเจ้าตั้งขึ้น
ครบองค์ 3 เช่นเดียวกับ พระไตรรัตน์ เป็นต้น.
?
เพราะอาศัยธาตุเป็นปัจจัย อาหาร 4) -
เช่นเครื่องปรุง เกลือหมดรสเค็ม.,.เป็นต้น.
เมื่อปราศจากเครื่องปรุงก็หมดรสก็หมดชาติก็หมดทุกข์ก็ไม่มีอะไรอีกตั้งอยู่เพื่อการบัญญัติต่อไป.
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
ว่าด้วย ผู้ประกาศตามได้........
เราย่อมประกาศธรรมจักร ให้เป็นไปโดยธรรม เป็นจักรที่ใคร ๆ
จะต้านทานให้หมุนกลับ มิได้.
“ข้าแต่พระโคดม ! พระองค์ปฏิญญาว่าเป็นสัมพุทธะ เป็นธรรมราชา
ไม่มีราชาอื่นยิ่งกว่า. กล่าวอยู่ว่า “เราย่อมประกาศธรรมจักร
ให้เป็นไปโดยธรรม” ดังนี้,
ก็ใครเล่าหนอเป็นเสนาบดีของพระองค์ เป็นผู้รองลำดับของศาสดา ?
ใครย่อมประกาศตามได้ซึ่งธรรมจักรที่พระองค์ประกาศแล้ว ?”
เสลพราหมณ์ ทูลถาม.
เสละ ! สารีบุตรเป็นผู้รองลำดับตถาคต ย่อมประกาศตามเราได้
ซึ่งอนุตตรธรรมจักร อันเราประกาศแล้ว.
พราหมณ์ ! สิ่งที่ควรรู้เราได้รู้แล้ว, สิ่งควรทำให้เจริญ เราได้ทำให้เจริญแล้ว,
สิ่งควรละ เราได้ละแล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็น ‘พุทธะ’.(ผู้คงที่)
(ชื่อว่าถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง(พระนิพพาน) บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้เช่นนั้นว่าเป็นพุทธะ.
(เช่น องค์พระผู้เป็นเจ้า เรียก อัลลอหันอัลลอหฺ แปนต้น.)
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ปล.
เช่นเดียวกันกับ YHWH
ปราศจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนของใคร ซึ่งมิใช่ตัวตนของใคร(ปราศจาก
การปรุงแต่ง ....ไม่มีต้นไม่มีปลาย.... นั้นแหละ
(อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง
เป็นอยู่ก่อนแล้วในสรรพสิ่งทั้งมวลตั้งแต่งโลกมีมา
เป็นอยู่แห่งธรรมดา
เป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา
ความเป็นอย่างนั้นไม่ผิดไปจาก ความเป็นอย่างนั้น
ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย (หลง)
สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น(ตัณหา)
แล้วจะหาปัจจัยอะไรมาสร้างพระเจ้าอีก)เช่น สุญญากาศโดยสมบูรณ์ เป็นต้น.
พระเจ้าตรัสว่า เราเป็น(YHWH)(ผู้ประเสริฐสูงสุด)มิใช่ตัวตนอะไรของของใคร(ผู้คงที่
ความหมายเดียวกับ ตถาคต.เช่น พระผู้มีพระภาค ไม่จำกัดบุคคลหรือกาลเข้าถึงได้เหมือนกันหมด)
พวกเราทั้งหลายปรุงแต่งตัวตนกันขึ้นมาเอง. องค์พระผู้เป็นเจ้าในสุดจิตสุดใจจุดกลาง
ใจพวกเราทั้งหลายเองนั้นแหละ (หน่วยย่อยที่สุดเครื่องมือก็หาไม่พบ) ผู้มีจิตใจ
บริสุทธิ์เข้าถึงอยู่.. (เสมือนความรักที่มีต่อบุตรของตนเองด้วยจิตอันบริสุทธิ์นั้นย้อมรู้)
(ปรากฏให้เห็นได้เฉพาะตน ) จักษุญาน.ผู้สังเกตุการณ์ย่อมรู้ย่อมเห็นกิเลสในตนเองยังมีเหลืออยู่หรือไม่)
เช่น ในอากาศบริสุทธิ์เพียงไรปราศจากสสารที่มีพิษสิ่งเจือปนหลงเหลือหรือไม่...เป็นต้น.. มิติที่ซ้อนกันอยู่เ
เช่น เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต แล้วแลอยู่. นั้น การหยั่งรู้. รป็นต้น
ตามอาการ 12 ของปฏิจจสมุปบาท
(ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นแหละ นั้นเอง ย่อมเห็นเรา)
เพราะความดับไปแห่งอวิชชา(แห่งกองทุกข์ทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง) วิชชาเกิดขึ้นนั้นแหละ
จึงหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ไม่มีเปลี่ยนแปลง สุขที่แท้จริง. เมื่อเหตุดับผลก็ดับคือเมื่อสิ่งนี้
ไม่มีสิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้สิ่งนี้จึงดับไป ตามกฎอิทัปปัจจยตา เช่น
เมื่อถูกกระทำให้กลายเป็ สุญญากาศ(ไม่มีอากาศธาตุเสียแล้ว)โดยสมบูรณ์ไปแล้วด้วยดี.
ไม่ได้เป็นอะไรไของใคร ถูกแล้ว (I am Who I am) ไม่มีใครเป็นเจ้าของของใคร
แต่เราทั้งหลายนั้นแหลเะ เเสมือนหนึ่งเป็นบุตร(บุญธรรม)ของYHWH(เรียกว่าพระ
นิพพาน)เป็นพระเจ้านั้นแหละ มิใช่เตัวเราของเราเอง(ในสรรพสิ่งทั้งมวล มิใช่พระเจ้าเป็น
ของเใครคนใดคนหนึ่ง(ไม่มีชั้น วรรณะ) แต่เป็นอยู่ในพระเจ้านั้นแหละ เป็นพระเจ้าของทุกคน
`จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดและกำลังของเจ้า
พวกเราทั้งหลายนั้นแหละ เป็นของพระเจ้าYHWH(.ธรรมธาตุนั้น(หลัก)(ธาตุรวมทั้ง
สสาร-ปฏิสสารและการเล่นแร่แปรลธาตุกันด้วย))เอกภพนอกนั้นไม่มีที่สิ้นสุด..( )เว้น
จากพระนิพพานแล้วทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นปัจจัยซึ่งกันละกันแล้วเกิดมีขึ้นย่อมเสื่อม
สภาพไปเป็นธรรมดา แล้วจะหาหอกอะไรมาสร้างได้อีก (หน่วยย่อยที่สุดแล้ว)อนัตตา
(เช่น (มิติที่เป็นอนันต์ เป็นต้น.)
สรรพสิ่งย่อมเชื่อมโยงสัมพันธ์กันทุกแห่งหน.(อาตายนะ... มิติเช่นธรรม
จักษุ(ดวงตา)..ญาน..ปัญญา..วิชชา..แสงสว่างย่อมเชื่อมโยงถึงกันทั่วทุกที่ๆไป
เหมือนดั่งว่าโลกทั้งใบอยู่ในมือเราอยู่ในเช่น ปรากฏการณ์...ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนั้นๆ
กำหนดไว้แล้ว รู้ก่อนเกิดก็มี รู้หลังเกิดก็มี สัญญากับใจ เท่านั้น.(สภาพธรรมเป็นผู้สอน
ตามความเป็นจริง รู้ชัดแจ้ง นั้นแหละ ปัญญา..) เช่น ธัมฐิตตา.ธัมมนิยามตา. ตถตา.
อวิตถตา. อนัญญถตา. ปัจจยาการ. คือ หลักอิทัปปัจจยตา (7)!ดังกล่าวมานี้แล เรียก
ว่า ปฏิจจสมุปบาท" เป็นหลักตายตัว.(หัวใจ)
เพราะความดับไปแห่งอวิชชา วิชชาเกิดขึ้นนั้นแหละ เป็นพระนิพพาน(พระเจ้า)ที่แท้
จริง(แสงสว่างเกิดขึ้น) ผู้แรกที่ได้ตรัสรู้ก็เป็นพระบิดาผู้เข้าถึงพระนิพพานนั่นเอง.
(อริยสัจธรรม 4 มรรค 8 ผล4 ) องค์.พระผู้เป็นเจ้านั้นแหละ (มิใช่พระเจ้า แต่เป็น
ศาสดาเอกะของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย)
สัจธรรมย่อมมีหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(จิตหนึ่ง) เช่น เสียงว่ารถ....
ผู้มีนันทิราคะ โลภะ โทสะ โมฆะอันใด นั้นแหละ
กิเลสมาร ขันธมาร... กิเลสต่อกิเลส... เกิดตัวตนขึ้น พระเจ้าของเราบรรดล.
ตัวอุปาทานเป็นของตนเอง(สัตว์โลก..สัญชาตญาณ) ซึ่งผู้ที่เป็นอยู่เดี๋ยว
นี้(อัตตา)...เกิดเป็นคนนี้ก็แสนยากฯ แล้วพบฯได้เห็นฯหรืออยากตายตอนนี้ ก็หนีไม่
พ้น เช่นแรงโน้มถ่วงไม่ให้เราหลุดออกไปจากโลกนี้ถึงจะมียานอวกาศก็มีกรรมเหมือน
เงาติดตามตัว ไม่มีอะไรซึ่งเร็วยิ่งไปกว่าจิต....(วิญญญาณ นั้นแหละ) ผู้ถูกรู้ถูกเห็นอยู่
แล้วจะเอามาสร้าง(นามธรรม)ผู้เห็นอยู่.(ในสิ่งทั้งปวงของธรรมธาตุนั้น) เมื่อถึงจุด
หมายปลายทางแล้วก็ไม่มีความมั่นหมายในความเป็นพระนิพพานอีก (เว้นจากวิปัส
สนูปกิเลส) สลัดกลับคืนวิญญาณธาตุไปเช่นนั้นเอง.
(เช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล . อัลลอหฺัน กตา กล่าวไว้ เปนต้น.) รู้แล้ว ไม่ประพฤติ
ตาม........ก็แค่นั้นเอง. ไม่รูจักความยำเกรง หิริโอตัปปะนั้นแหละ
หลงระเริงอยู่นี้อีก...แล กูรอ่านใจคนเอง มีน
จุดเป้า.เดียวกัน พระเจ้าองค์แท้จริงเพียงองค์เดียว
นามต่างกันเท่านั้น นอกนั้น พวกอัมารสวะ
รกเป็นที่หวังได้.
สรรพสิ่งย่อมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว(จิตหนึ่ง)-
(พระบิดา(ผู้แรกตรัสรู้สัจธรรม) พระบุตร(ธรรมทายาท) พระวิญญาณบริสุทธิ์(หลุดพ้น))=
พระนิพพาน คือนามของพระเจ้าตั้งขึ้น
ครบองค์ 3 เช่นเดียวกับ พระไตรรัตน์ เป็นต้น.
?
เพราะอาศัยธาตุเป็นปัจจัย อาหาร 4) -
เช่นเครื่องปรุง เกลือหมดรสเค็ม.,.เป็นต้น.
เมื่อปราศจากเครื่องปรุงก็หมดรสก็หมดชาติก็หมดทุกข์ก็ไม่มีอะไรอีกตั้งอยู่เพื่อการบัญญัติต่อไป.
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<