เหตุผลที่ game of thrones เป็นซีรีส์ที่คุณภาพดีที่สุดเท่าที่มีมา

กระทู้สนทนา
ผมไม่อยากใช้คำว่า "ตลอดกาล" เพราะเดี๋ยวอนาคตมันก็อาจมีเรื่องอะไรที่มันเหนือชั้นกว่าโผล่ขึ้นมา อย่างตอนนี้มี Black Mirror ที่ทำออกมาเป็นแนวสร้างสรรค์แหวกแนว เพียงแต่ไม่ได้อรรถรสของดราม่าซีรีส์ 



เอาเป็นว่า 20 กว่าปีมานี้ เท่าที่ติดตาม HBO, Fox มาจนถึงยุค Netflix (ยุคหนังคิกขุ Stranger things ^^) อะไรต่างๆสมัยนี้  เมื่อก่อนคิดแค่ว่าเออ ซีรีส์ฝรั่งเขาเจ๋ง เขาคุณภาพกว่าซีรีส์ญี่ปุ่น, เกาหลี หรือเรียกว่าดีกว่าหนังโรงเกรด B เกรด C ของเขาซะอีก ก็เลยชอบดูทุกเรื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบของไทยหรือเอเซียนะ (มันก็สนุกในแบบของเรา เพียงแต่ด้อยด้านคุณภาพกว่า)

แต่พอมี Game of thrones ขึ้นมา ตั้งแต่ ep.แรกก็รู้เลยว่า อันนี้ไม่ใช่ธรรมดาแล้วล่ะ



ความสุดยอดที่แตกต่างจากเรื่องอื่นคือ

• เนื้อหาละเอียด ซับซ้อน และมีชั้นเชิงที่สุด อันนี้ต้องยกเครดิตให้ลุง G.rr Martin ขนาดซีรีส์ตัดทอนเนื้อหาไปเยอะก็ยังละเอียดมากๆ เนื้อหาในหนังสือของเขาสามารถเอามาสร้างซีรีส์ได้อีกหลายเรื่อง หรือออกหนังโรงได้ด้วย (แต่เรื่องบทในซีรีส์ต้องยกทีม HBO เลย เพราะลุง Martin ช่วยเขียนบทไม่กี่ ep. เท่านั้น)

• ทำฉีกแนว มีครบทุกอรรถรสในตัว ทั้งดิบ โหด รัก เศร้า กระชากใจ สนุก ตลก อาร์ท อันนี้ต้องยกเครดิตให้ D&D

• GOT ไม่ใช่หนังแกลดิเอเตอร์แบบ Spartacus ไม่ใช่หนังผีดิบแบบ Walking dead ไม่ใช่แนววางแผนแบบสามก๊ก ไม่ใช่แฟนตาซีจ๋าแบบ Lord of the rings แต่มันมีทุกอย่างกลมกล่อมอยู่ในตัวเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

• เป็นเรื่องแรกที่มีซอมบี้หิมะ เป็นผีชนิดใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร ไม่เคยมีมาก่อน (ต้องชมไอเดียลุง G. Martin) แล้วเอามาใส่ผสมเนื้อหากับแนว dynasty หรือแนว kingdom ได้อย่างลงตัว

• เพลงอินโทรของ GOT เป็นเพลง theme song ที่คนนิยมเอามา cover มากที่สุด เหมือน "ดราก้อนบอล", "เซนต์เซย่า" และมีซิงเกิลกลายเป็นเพลงฮิตในตะวันตก รวมทั้งเพลงประกอบในเรื่องอย่าง "The Rains of Castamere" นี่ก็นิยมพอๆกับ "Pirates of the caribbean" 

ด้วยความเฮ็งของซีรีส์นี้ ที่ "Ramin Djawadi" ศิลปินเชื้อสายอิหร่าน ดันท็อปฟอร์ม ทำเพลงออกมาได้อย่างไพเราะบาดใจ ปกติเขาก็แต่งเพลงเก่งอยู่แล้ว ทำเพลงมาหลายเรื่อง แต่พอดีว่ากับซีรีส์นี้ฟีลลิ่งและแรงบันดาลคงมาเต็มที่ เลยโชคดีไปสำหรับซีรีส์ GOT

• เพลงประกอบของ GOT จะขึ้นตามสถานการณ์ของตัวละคร เช่นถ้าเป็นซีนของตัวละครแลนนิสเตอร์ ก็จะใช้เพลงที่มีรากมาจาก rains of castamere ส่วนทาแกเรียน, สตาร์ค, ไวท์วอล์คเกอร์ จะมีเพลงประกอบของตัวเองทั้งหมด มันช่วยดึงคนดูให้ผูกใจอินไปกับตัวละครแต่ละฝ่าย

• เป็นเรื่องเดียวที่ฉากอินโทรเปิดเรื่องเปลี่ยนไปตามสถานที่จริงของเนื้อหาใน ep. นั้นๆ  คือทีแรกแค่เห็นเปิดตัวซีซั่น 1 ก็รู้ว่าอินโทรไตเติลทำขนาดนี้ แสดงว่าทีมสร้างนี้ไม่ธรรมดา ซีรีส์นี้ไม่ใช่ระดับธรรมดาแน่ แล้วดันมาเปลี่ยนฉากตามเหตุการณ์อีก ตรงนี้ไม่มีเรื่องไหนทำ 

ต่อมามีเรื่อง "The 100" พยามทำบ้าง แต่ก็คนละสไตล์ เป็นลักษณะวาดแผนที่ซะมากกว่าความอาร์ทด้านสถาปัตยกรรม

• ไม่ใช่หนังที่มีเนื้อหาสไตล์ลึกลับพิศวงให้คิดเยอะ แต่มีความละเอียดอยู่ในบท ถ้าคนดูสงสัยหรือรู้สึกไม่เก็ต ไม่เมคเซนส์จุดไหน ต้องไปดูหลายๆรอบจากซีซั่นที่ผ่านมา หรือค้นหาอ่านคำอธิบายเพิ่มเติมจากแชนแนลที่เชี่ยวชาญ เพราะทุกเนื้อหามีคำตอบอยู่ในตัว ทุกเรื่องเชื่อมโยงปูทางกันมาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่งั้นอาจเข้าใจผิดว่าบทพลาดหรือเลอะเทอะ 

• ใช้การอธิบายแฝงอยู่ในเนื้อหาหรือในฉาก จะไม่ใช้การอธิบายโดยฉายภาพเก่าเล่าความซ้ำๆ ยกตัวอย่างเช่น เราจะเห็นในเรื่อง Prison break , Homeland หรือเรื่องอื่นๆ ที่จะชอบฉายภาพเล่าซ้ำหรือนึกภาพเวลาจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกี่ยวโยงกัน 

• ถ้าเอาแค่เฉพาะซีซั่นที่แย่ที่สุดอย่างซีซั่นสุดท้าย พอไปเทียบกับเรื่องอื่นๆแล้ว GOT ก็ถือว่ายังทำได้ดีกว่าในเรื่องของคุณภาพ ความละเอียด เทคนิคการถ่ายทำ การกำกับการแสดง การลงทุนและความทุ่มเท 

อย่างปีนี้ก็ได้รางวัล MTV awards และก็คว้า Emmys awards ไปหลายรางวัล ทั้งๆที่กระแสตอบรับจากแฟนๆไม่ดีเลย เพราะด้วยข้อผิดพลาด และข้อจำกัดหลายอย่าง ทำให้บทมันไม่สมูท ไม่กินใจเหมือนที่ผ่านมา ก็เป็นธรรมดาว่าแฟนๆเขาเคยอินกับบทดีๆมาตลอด พอมาเจอบทที่มันรีบลวก และดร็อปลง เขาก็ต้องบ่น (แต่ในส่วนของ "บท" ซีซั่นนี้ของ GOT ไม่ได้รางวัล Emmys นะ)

• อันเนื่องจากทั้งวัฒนธรรมและศาสตร์ต่างๆที่ปรากฏในหนังสือและซีรีส์ มันถูกบางมหาวิทยาลัยเอาไปตั้งเป็นสาขาวิชา "Game of thrones" เลยทีเดียว (ถ้าในบ้านเราก็น่าจะมีสาขา "สามก๊กวิทยา" ^^) 

• ความนิยมของผู้คนส่วนมากไม่ได้อยู่ในอเมริกา แต่เป็นพื้นที่ยุโรปและอเมริกาใต้ เพราะสหรัฐค่อนข้างยึดอัตลักษณ์ของตัวเองสูง (เช่นทั่วโลกชอบฟุตบอล แต่อเมริกานิยมบาสฯ กับอเมริกันฟุตบอล)  ซีรีส์ที่นิยมในอเมริกาจึงเป็น Breaking bad และ Better call Saul ฉะนั้นกระแสจิกกัดโจมตีจึงมักมาจากฝั่งอเมริกา กระนั้นก็ตาม GOT ก็ยังได้รับความนิยมในอเมริกาอย่างมาก โดยในปีนี้ชื่อเด็กเกิดใหม่ที่ตั้งตามตัวละครในหนัง กลายเป็น "อาร์ย่า" ที่ทำสถิติมีคนตั้งชื่อเด็กเกิดใหม่มากที่สุดในอเมริกา (ต่อไปเราจะเห็นผู้หญิงโตมาชื่อ "อาร์ย่า" เยอะไปหมด ^^)

• สถานที่ถ่ายทำ GOT กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนั้นไป ทั้งในไอซ์แลนด์ , โครเอเชีย, สเปน (เหมือนที่นิวซีแลนด์ มีหมู่บ้าน Hobbit เป็นสถานที่ท่องเที่ยว)



***บางคนบอกว่า GOT นี่เป็นซีรีส์ในกระแส ที่คนชอบกันเพราะตามกระแส ? ผมว่าไม่ใช่เลย ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้ยินชื่อนี้ หรือเห็นในสื่อ พอมาดูแล้วจะชอบตามๆกัน 

มันไม่เหมือกับ Avengers, The Fast, LOTR, Harry Potter หรือ Stranger things อันนี้เรายอมรับว่ามันคือความสนุก มันเป็นหนังแมส ใครๆก็ชอบได้ แต่ผมว่า GOT มันเฉพาะทางจริงๆ 
(เหมือนบางคนชอบ Barry, Black mirror อะไรเหล่านั้นล่ะครับ คือต่างคนชอบต่างสไตล์กันไป)

ความชอบคนเราแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา  ถามว่าสำหรับผมมันสนุกเท่า Marvel ไหม ? คือมันไม่เท่า เราผูกพันธ์ติดตามตัวละคร Marvel มากกว่า หรืออาจมีซีรีส์อื่นๆที่มันสนุกกว่า  แต่ในด้านคุณภาพที่ครบเครื่องแล้ว ผมขอยก GOT เป็นซีรีส์อันดับ 1 จนถึงทุกวันนี้

ทั้งหมดทั้งปวงต้องชม ทีม HBO, ผู้กำกับ D&D, นักแสดงหลายๆคน, Ramin Djawadi, และที่สำคัญสุดคือ G.rr Martin ผู้ปราดเปรื่องของเรา

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่