สวัสดีครับ วันนี้จะมารีวิวทริปเที่ยววัดอังกอร์ที่เสียมเรียบ ณ ประเทศกัมพูชาครับ
ทริปนี้เป็นทริปที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สองอาทิตย์ก่อนออกเดินทาง เพราะทริปครั้งสุดท้ายที่ผมกับเพื่อนไปกัน
เป็นทริปเวียดนามเมื่อประมาณเกือบสี่เดือนที่แล้ว จิตใจที่ฝักใฝ่ในการท่องเที่ยวเลยเริ่มลุกโชน
ข้อท้าวทั้งสองข้างสั่นระริกระรี้อยากออกเดินทางอีกครั้ง
ตอนแรกทริปที่เราดูๆกันไว้เลยคือ ปีนัง มาเลเซีย กะว่าจะไปตามรอยนางอายซะหน่อย
แต่รีเสิชไปมา กลับพบว่า ไม่มีอะไรที่เราอยากดู อยากเห็นเท่าไหร่
แล้วเผอิญตัวผมเองเวลาไปเที่ยวก็ไม่ใช่สายนั่งร้าคาเฟ่ซะด้วย ผมเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง
ชอบเดินไปนุ่นมานี่ตลอดเวลา ถ้าเป็นทริปที่เน้นเก็บคาเฟ่เลยขอบาย
หลังจากนั้น พวกเราก็ชั่งใจกันประมาณสองสามวัน
ระหว่างพม่า เพื่อไปดูวัดและบอลลูน กับ กัมพูชา
ที่มีหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างวัดอังกอร์ แน่นอนว่าพวกผมเลือกอย่างหลัง
ตั๋วเครื่องบิน
บอกเลยว่าด้วยความที่จองใกล้วันไปมากๆ
เลยไม่ได้มีอารมณ์มาหาตั๋วโปร ตั๋วถูกใดๆ เราตัดสินใจบินกับแอร์เอเชีย
รวมไปกลับจะอยู่ที่คนละประมาณ 3500 สำหรับผมก็ถือว่าโอเคนะราคานี้
พอๆกับกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
ที่พัก
ตอนแรกที่จองไปเป็นโรงแรมสี่ดาว(มั้ง) โรงแรมหนึ่ง
แต่เอาไปเอามากลับต้องแคนเซิลโรงแรมนั้นเพราะดันคึก อยากนอนแบบ Hostel ได้อยู่ท่ามกลางกลุ่มฝรั่ง
Backpackers ทั้งหลาย
เราเลยเปลี่ยนไปจองอีกโรงแรมหนึ่งชื่อว่า Fumky Flash Packer ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
ฝรั่งสายฮิปปี้ทั้งหลาย
วันแรก
เราเริ่มออกเดินทางจาก
สนามบินดอนเมืองตอนเสลาประมาณ 10.30 และมาถึง
สนามบินของเสียมเรียบประมาณ 11.30 เป๊ะ
รวมเวลาบินทั้งหมดเป็นหนึ่งชั่วโมงพอดี ซึ่งค่อนข้างประทับใจในครั้งนี้ที่แอร์เอเชียไม่ดีเลย์
เมื่อเรามาถึงสนามบิน เอาจริงๆ ผมค่อนข้างทึ่งกับการออกแบบของสนามบินเค้านะ
มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนมาก สนามบินสามารถเป็นหน้าตาและสามารถบ่งชี้ได้ว่า
เมืองๆนั้นมีศิลปะอย่างไรแลอะไรคือเอกลักษณ์ ซึ่งสนามบินของเสียมเรียบ (หรือเสียมราฐ) ทำออกมาได้ตรงและตอบโจทย์ทีเดียว คือพอมาถึงแล้วรู้เลยว่า
เนี่ย นี่แหละ ศิลปะ ความเป็นขอม ความเป็นเขมร ฮินดู มันประมาณนี้
อันนี้คือยืมรูปมาจาก Travel Happy นะ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ถ่ายไม่ทัน
แต่สิ่งที่ต้องตกใจมากไปกว่านั้นคือ คนน้อยมากๆ กลุ่มคนที่เข้า ตอมอ ตอนนั้นคือมีแค่จากพวกที่นั่งเครื่องบินมาด้วยกัน
ซึ่งก็คือ Airasia ไฟลท์นั้น ซึ่งทำให้ process ต่างๆใช้เวลาไม่ถึงนาที
คือผมไม่ต้องต่อแถวอะไรเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนงงมากแม่!
หลังจากออกมาหน้าสนามบิน ก็จะมีแท็กซี่ต่างๆมากมาย
มายืนรอเรียกผู้โดยสาร แต่ด้วยความที่เรารู้สึกว่า อาจจะไม่ปลอดภัย
เลยเดินไปที่เค้าเตอร์ข้างๆสนามบินเพื่อเรียกรถไปส่งที่โรงแรมดีกว่า
เค้าจะมีรูปแบบพาหนะต่างๆให้เราเลือกว่าเราอยากได้แบบไหน ทั้งมอเตอร์ไซต์ แท็กซี่
หรือตุ๊กๆ ทางพวกผมเลือกนั่งตุ๊กๆเพราะต้องการสัมผัสประสบการณ์แบบท้าลมไปเลยจ้ะ
ซึ่งราคาก็ค่อนข้างย่อมเยา (มั้ง) ประมาณ 9 เหรียญ
ซึ่งตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 บาท แถมพี่ตุ๊กๆก็ใจดี
อาสาพาไปชมวัดดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 5 เค้าคิดประมาณ
25 เหรียญ
แล้วพวกผมจ่ายมัดจำไปก่อน 5 เหรียญ (จริงๆอยากให้ดูดีๆนะครับ
แบบนี้ถือว่าเสี่ยงมาก เพราะโชคร้ายอาจเจอคนโกง เอาให้แน่คือ
ส่วนใหญ่ทางโรงแรมจะมีแนะนำอยู่แล้ว หรือ ตอนเช้าจะมีตุ๊กๆมาจอดรอหน้าโรงแรม
ให้เลือกไปแบบนั้นดีกว่า)
เที่ยววัดอังกอร์ ส่องความงามหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่กัมพูชา [CR]
ทริปนี้เป็นทริปที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สองอาทิตย์ก่อนออกเดินทาง เพราะทริปครั้งสุดท้ายที่ผมกับเพื่อนไปกัน
เป็นทริปเวียดนามเมื่อประมาณเกือบสี่เดือนที่แล้ว จิตใจที่ฝักใฝ่ในการท่องเที่ยวเลยเริ่มลุกโชน
ข้อท้าวทั้งสองข้างสั่นระริกระรี้อยากออกเดินทางอีกครั้ง
ตอนแรกทริปที่เราดูๆกันไว้เลยคือ ปีนัง มาเลเซีย กะว่าจะไปตามรอยนางอายซะหน่อย
แต่รีเสิชไปมา กลับพบว่า ไม่มีอะไรที่เราอยากดู อยากเห็นเท่าไหร่
แล้วเผอิญตัวผมเองเวลาไปเที่ยวก็ไม่ใช่สายนั่งร้าคาเฟ่ซะด้วย ผมเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง
ชอบเดินไปนุ่นมานี่ตลอดเวลา ถ้าเป็นทริปที่เน้นเก็บคาเฟ่เลยขอบาย
หลังจากนั้น พวกเราก็ชั่งใจกันประมาณสองสามวัน
ระหว่างพม่า เพื่อไปดูวัดและบอลลูน กับ กัมพูชา
ที่มีหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างวัดอังกอร์ แน่นอนว่าพวกผมเลือกอย่างหลัง
ตั๋วเครื่องบิน
บอกเลยว่าด้วยความที่จองใกล้วันไปมากๆ
เลยไม่ได้มีอารมณ์มาหาตั๋วโปร ตั๋วถูกใดๆ เราตัดสินใจบินกับแอร์เอเชีย
รวมไปกลับจะอยู่ที่คนละประมาณ 3500 สำหรับผมก็ถือว่าโอเคนะราคานี้
พอๆกับกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
ที่พัก
ตอนแรกที่จองไปเป็นโรงแรมสี่ดาว(มั้ง) โรงแรมหนึ่ง
แต่เอาไปเอามากลับต้องแคนเซิลโรงแรมนั้นเพราะดันคึก อยากนอนแบบ Hostel ได้อยู่ท่ามกลางกลุ่มฝรั่ง
Backpackers ทั้งหลาย
เราเลยเปลี่ยนไปจองอีกโรงแรมหนึ่งชื่อว่า Fumky Flash Packer ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
ฝรั่งสายฮิปปี้ทั้งหลาย
วันแรก
เราเริ่มออกเดินทางจาก
สนามบินดอนเมืองตอนเสลาประมาณ 10.30 และมาถึง
สนามบินของเสียมเรียบประมาณ 11.30 เป๊ะ
รวมเวลาบินทั้งหมดเป็นหนึ่งชั่วโมงพอดี ซึ่งค่อนข้างประทับใจในครั้งนี้ที่แอร์เอเชียไม่ดีเลย์
เมื่อเรามาถึงสนามบิน เอาจริงๆ ผมค่อนข้างทึ่งกับการออกแบบของสนามบินเค้านะ
มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนมาก สนามบินสามารถเป็นหน้าตาและสามารถบ่งชี้ได้ว่า
เมืองๆนั้นมีศิลปะอย่างไรแลอะไรคือเอกลักษณ์ ซึ่งสนามบินของเสียมเรียบ (หรือเสียมราฐ) ทำออกมาได้ตรงและตอบโจทย์ทีเดียว คือพอมาถึงแล้วรู้เลยว่า
เนี่ย นี่แหละ ศิลปะ ความเป็นขอม ความเป็นเขมร ฮินดู มันประมาณนี้
อันนี้คือยืมรูปมาจาก Travel Happy นะ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ถ่ายไม่ทัน
แต่สิ่งที่ต้องตกใจมากไปกว่านั้นคือ คนน้อยมากๆ กลุ่มคนที่เข้า ตอมอ ตอนนั้นคือมีแค่จากพวกที่นั่งเครื่องบินมาด้วยกัน
ซึ่งก็คือ Airasia ไฟลท์นั้น ซึ่งทำให้ process ต่างๆใช้เวลาไม่ถึงนาที
คือผมไม่ต้องต่อแถวอะไรเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนงงมากแม่!
หลังจากออกมาหน้าสนามบิน ก็จะมีแท็กซี่ต่างๆมากมาย
มายืนรอเรียกผู้โดยสาร แต่ด้วยความที่เรารู้สึกว่า อาจจะไม่ปลอดภัย
เลยเดินไปที่เค้าเตอร์ข้างๆสนามบินเพื่อเรียกรถไปส่งที่โรงแรมดีกว่า
เค้าจะมีรูปแบบพาหนะต่างๆให้เราเลือกว่าเราอยากได้แบบไหน ทั้งมอเตอร์ไซต์ แท็กซี่
หรือตุ๊กๆ ทางพวกผมเลือกนั่งตุ๊กๆเพราะต้องการสัมผัสประสบการณ์แบบท้าลมไปเลยจ้ะ
ซึ่งราคาก็ค่อนข้างย่อมเยา (มั้ง) ประมาณ 9 เหรียญ
ซึ่งตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 บาท แถมพี่ตุ๊กๆก็ใจดี
อาสาพาไปชมวัดดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 5 เค้าคิดประมาณ
25 เหรียญ
แล้วพวกผมจ่ายมัดจำไปก่อน 5 เหรียญ (จริงๆอยากให้ดูดีๆนะครับ
แบบนี้ถือว่าเสี่ยงมาก เพราะโชคร้ายอาจเจอคนโกง เอาให้แน่คือ
ส่วนใหญ่ทางโรงแรมจะมีแนะนำอยู่แล้ว หรือ ตอนเช้าจะมีตุ๊กๆมาจอดรอหน้าโรงแรม
ให้เลือกไปแบบนั้นดีกว่า)