ชายเร่ร่อน
โดยธีร์ วรรณกร
หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้น เป็นชุมชนเล็กๆห่างไกลตัวอำเภอออกมาประมาณราวๆ10กิโลเมตร ไร่นาสาโทอุดมสมบูรณ์แลดูขจีอร่ามงามตา
ตัวบ้านเรือนปลูกติดกันเกือบจะยัดเยียด
ถนนทางสัญจรก็เป็นทางคอนกรีตมิได้ลาดยางมะตอยแต่อย่างใดตามงบประมาณที่ทางหลวงท่านจะจัดสรรให้ได้
ชาวบ้านที่นี่ทำมาหากินกันอย่างตามแบบฉบับวิถีชีวิตคนอีสานสมัยดั้งเดิมมิเคยเปลี่ยนแปลง
แม้ไฟฟ้าและสื่ออิเล็กทรอนิกส์รวมถึงเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายจะเข้ามาถึงแล้วก็ตาม พวกเขาเหล่านั้นก็ยังถือว่า น้ำ ดิน ฟ้า อากาศ
ยังคงเปรียบเสมือนสมบัติอันเป็นธรรมชาติทรัพย์ที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้เกิดก่อและดับไปตามวงจรชีวิตของสัตว์โลกเสมอมา
ช่างเป็นวิธีคิดและวิถีดำรงชีพที่สมถะและเรียบง่ายอย่างพอเพียงโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่นา จับปูปลาเขียดอึ่งในน้ำในหนองกิน
พืชหญ้าอาหารหาจากที่ไหนได้ก็นำมาประกอบเป็นเมนูเลิศรสอยู่มิได้ขาด
กลิ่นอายของโคลนตมตามก้อนดินจากรอยไถชโลมกายมาตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงกาลแก่ชรา
เช่นไรก็เช่นเดิม ปลูกฝังคำสอน
การประพฤติตนมาแต่โบร่ำโบราณก็ยังคงมีอยู่
ทั้งความเชื่อ ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาก็มิได้คลายความแน่นแฟ้นลงเลยแม้แต่น้อย
โอ้...ช่างเป็นวิถีชนที่หาดูและสัมผัสได้ยากเสียเหลือเกินในยุคที่เทคโนโลยีอันล้ำสมัยครองเมืองเช่นนี้...
ผมอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังน้อยๆกับยายเพียงสองคนครับ
ซึ่งเมื่อพินิจแล้วก็ออกจะคล้ายๆกระท่อมปลายนาอยู่สักหน่อย เนื่องจากตัวบ้านยกถุนสูงจากพื้นไม่ถึงสองเมตร
หลังคามุงด้วยใบจาก ฝากระดานเรือนก็เป็นไม้เศษเหลือเก่าๆจากผู้ที่มีจิตใจอารีเขานำมาทำ
มาแปลงสร้างให้ กลายเป็นที่อยู่หลบแดดหลบฝนป้องกันแรงลมได้มาจนถึงทุกวันนี้
ผมช่วยงานบ้านของยายทุกอย่าง
ตั้งแต่กวาดบ้านถูเรือน ไปจนถึงขั้นซ่อมแซมหลายๆส่วนที่ผุพังของบ้านไปตามมีตามเกิด
แม้จะมีอายุได้เพียง12ขวบแต่ผมก็ขอบอกว่า
หัวใจและการกระทำของผมเป็นผู้ใหญ่เกินตัวและหนักหนากว่าเด็กทั่วๆไปที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมเป็นอย่างมากครับ
ด้วยเพราะกำพร้าผู้ให้กำเนิดบังเกิดเกล้าทั้งสองท่านตั้งแต่ยังแบเบาะนอนร้องไห้จ้า ลืมตาดูโลกขึ้นมา ผู้เป็นพ่อก็ไร้ซึ่งความเป็นชาติชายชาตรี
ทำให้ผมเกิดมาในครรภ์ของแม่แล้วก็ตีจากไป จนสุดท้ายผู้เป็นมารดาของผมก็เสียใจผิดหวังมากเหลือล้น
ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการแขวนคอทิ้งร่างตัวเองห้อยร่องแร่งกับกิ่งของต้นจันท์ ณ ป่าลึกท้ายหมู่บ้าน
ไปในที่สุด
และก็ฝากให้ผมต้องกลับกลายตกเป็นภาระเลี้ยงดูของยายไปอย่างน่าอนาถและเวทนาเป็นยิ่งนัก
แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่เสียใจหรอกครับ
ที่เกิดมาทั้งทีจะขัดสนไม่มีสิ่งใดๆที่ได้ดั่งหวังโดยฉับพลันเช่นเพื่อนๆคนอื่นเขา
แค่ผมมียาย อยู่กับยายเพียงสองคนในบ้านน้อยๆหลังนี้ก็สุขโขไร้ซึ่งคำพรรณนาเปรียบเปรยมากแล้วครับ
วันหนึ่งเป็นช่วงตอนที่โรงเรียนเลิกแล้วราวๆสี่โมงเย็นเห็นจะได้
ผมเดินเท้ากลับมาบ้านซึ่งไกลจากโรงเรียน เป็นระยะทาง3กิโลเมตร กับเพื่อนสนิทอีกสามคน ชื่อไอ้ต้อม ไอ้นก
และไอ้โก้ พวกเรารวมกันเป็นสี่คนเดินมาด้วยกันก็หยอกล้อเล่นกันตามประสาเด็กๆ
พูดคุยหัวร่อร่ากันเป็นธรรมดาจนเพลิน เดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้านอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้ตัว
พอนึกได้ดังนั้นก็แยกย้ายลากันกลับบ้านไปตามทางของตนดังเช่นเคยปฏิบัติ
ผมเองก็วิ่งหน้าตั้งกลับมาบ้านหายายอย่างลิงโลด เพราะวันนี้ผมงดข้าวมื้อกลางวันเพื่อจะเก็บเงิน30บาทที่ยายให้ไว้เมื่อตอนเช้า มาซื้อผัดหมี่ ส้มตำ และลูกชิ้นทอด
อันเป็นอาหารหน้าโรงเรียนยอดนิยมของที่นั่น ใส่ย่ามกลับมาบ้านหวังไว้ว่าจะมาทานเป็นมื้อเย็นกับยายที่บ้าน
ซึ่งพอเล่าให้ยายฟังท่านก็ลูบหัวผมแล้วเอ่ยออกมาอย่างเมตตาระคนเอ็นดูว่า....
“โถ...ไอ้หนู..หลานยาย...ไม่เห็นจำเป็นจะต้องอดข้าวเที่ยงแบบนี้ก็ได้นี่ลูก
อยากซื้ออะไรมากินกับยายก็มาขอใหม่ก็ได้ ยายมีเงิน วันนี้ไปรับจ้างตัดหญ้าหน้าบ้านลุงสรวงเขาให้ยายตั้ง300แน่ะ หนูมาขอเงินแล้วเดินไปตลาดไปเลือกซื้อมาทำกินกันเองที่บ้านจะไม่ดีกว่าเหรอลูก
ฮึ... ยายเป็นห่วงนะ เดี๋ยวอดข้าวแบบนี้บ่อยๆ จะเป็นโรคกระเพาะเอา
หนูจะปวดท้องไม่สบายเอานะลูก...”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะยาย หนูทนได้
หิวเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง หนูกินข้าวกับยายอร่อยกว่ากินข้าวกับเพื่อนๆที่โรงเรียนเยอะเลย
เงิน30บาทที่ยายให้มา กับข้าวถุงละ10บาทหน้าโรงเรียนก็ได้เยอะกินอิ่มกันไปมื้อหนึ่งแล้ว
เงินที่ยายได้มาอีกตั้ง300บาท ยายเก็บไว้เถอะจ้ะ
เอาไว้ยายอยากได้อยากกินอะไรยายค่อยซื้อเอาก็แล้วกันจ้ะ
ยายอยากได้ยายหิวน่ะเรื่องใหญ่ หนูอยากได้ หนูหิวมันเรื่องเล็กๆจ้ะยาย
ไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอก” ผมตอบท่านเสียงใส
ในมื้อดังกล่าวนี้ผมอิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจเหลือที่จะบรรยายเลยละครับท่านที่เคารพ
เพราะมันมีความสุขอัดแน่นอยู่ภายในมาก่อนแล้ว
เราสองยายหลานกินไปก็คุยกันไปเป็นเรื่องปกติวิสัย ยายก็จะถามถึงเรื่องที่อยู่โรงเรียนว่าเป็นยังไงบ้างผมดื้อรึเปล่า
ครูด่าครูตีไหม ซึ่งผมก็ตอบตามความจริง
บางทีผมก็จะชอบเอาเรื่องตลกๆที่เกิดขึ้นภายในรั้วโรงเรียนมาเล่าให้ท่านฟัง
ท่านก็ขำและหัวเราะคล้อยตามไปด้วย
ในบางหนที่กับข้าว หรือเศษอาหารเลอะปากติดแก้มยาย ผมก็จะนำผ้าที่สะอาดเช็ดให้ท่าน
ท่านก็จะยิ้มตอบกลับผม นัยน์ตาที่ฝ้าฟางด้วยอายุนั้นก็จะมีแววของความปีติตื้นตันและเอ็นดูอยู่เป็นนิจ
พร้อมกันนั้นก็จะลูบหัวผมแล้วกล่าวคำๆนี้เตือนใจให้เสมอ
“เป็นคนดีของยายแบบนี้ให้ตลอดไปนะลูก...” เมื่อผมฟังแล้วมันก็รู้สึกจุกลึกๆอยู่ภายในใจทุกครั้ง
จะว่ารักก็รัก จะว่าสงสารก็สงสารท่านมากๆครับ
ด้วยเหตุนี้แหละครับผมจึงต้องรีบกลับบ้านมาดูแลยาย
ร่วมทานอาหารกับยายทุกครั้งอยู่ร่ำไป เพราะการกระทำดังกล่าวนี้
มันจะสื่อให้เห็นว่า
“ผม” “จะเป็นคนดีของยายแบบนี้ตลอดไป....”
สัปดาห์หลังๆถัดมา ยายของผมเริ่มที่จะมีอาการเจ็บป่วยออดๆแอดๆเล็กๆน้อยๆให้เห็น
ไม่ว่าจะเป็นการไอ จาม เป็นหวัดคัดจมูกอยู่บ่อยๆ บางครั้งเวลากลางคืน ดึกๆดื่นๆท่านก็จะเพ้อบอกว่าหนาว
กายจะสั่นสะท้านราวกับเจ้าเข้า ผมก็ต้องหาผ้าห่มหนาๆมาคลุมทับให้
นำผ้าที่ชุบน้ำอุ่นๆมาประคบบ้าง แล้วก็สวมกอดท่านให้บรรเทาอาการนั้นลงไปบ้าง
เช่นนี้อยู่เกือบแทบทุกคืน และหนักที่สุดก็คือ
มีครั้งหนึ่งยายพาผมไปรับจ้างเกี่ยวหญ้าให้กับวัวของผู้ใหญ่บ้าน วันนั้นแดดร้อนจัดจนเหงื่อไหลโทรมกาย
ได้นั่งพักใช้หมวกพัดวีและจิบน้ำกันอยู่เป็นระยะๆ
และในขณะที่ยายท่านกำลังเดินตามหลังผมซึ่งเป็นคนเข็นรถเข็นขนหญ้าไปให้ตาผู้ใหญ่บ้านอยู่นั้นเอง
ยายก็พูดออกมาเบาๆว่ายายไม่ไหวแล้ว ยายเหนื่อย แล้วร่างของท่านก็ล้มฟุบคว่ำหน้าลงกับพื้นดินตรงนั้น ผมหันกลับไปพบก็ใจหายวาบรีบอุ้มเอาร่างของท่านไปหาที่ร่มๆเพื่อพักไว้ชั่วคราว
ซึ่งก็ไม่พ้นศาลาไม้ริมทางเก่าๆที่อยู่ในละแวกนั้น
จัดการปฐมพยาบาลท่านอยู่นานแก้ไขเท่าไหร่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าท่านจะดีขึ้น
ผมจึงตัดสินใจอุ้มยายหอบร่างอันผอมเล็กของท่านขึ้นอีกครั้งแล้วรีบวิ่งไปที่บ้านของตาผู้ใหญ่ในทันที
หนักไม่หนักไม่สนแล้วครับ รู้แต่ว่าอุ้มยายตัวปลิวเลย คิดแต่จะให้ยายหายอย่างเดียว.....
พอไปถึงตาผู้ใหญ่ก็ตกใจครับ
รีบให้คนใช้ของท่านขับรถพายายไปส่งโรงพยาบาลทันที
ซึ่งก็เป็นการดีครับที่ระหว่างการเดินทางนั้นยายผมก็มีอาการรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
เพราะก่อนไปก็กรอกยาหอม รมยาดมกันเป็นการใหญ่มาก่อนแล้ว
ดังนั้นพอถึงมือแพทย์ยายก็ฟื้นตัวได้เร็วครับ และแน่นอนสำหรับค่ารักษาพยาบาลนั้น
ตาผู้ใหญ่เป็นผู้ชำระให้โดยทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่ทว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ยายก็ล้มหมอนนอนเสื่อไปเลยครับ กลายเป็นคนไข้ติดเตียงไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก ทำท่าจะเซล้มอยู่ทุกการก้าวย่าง
จะไปเข้าห้องน้ำทีไม่ว่าจะอาบน้ำหรือถ่ายหนักถ่ายเบาผมก็ต้องพยุงไป
นับว่าเป็นการเพิ่มภาระสำหรับเด็กตัวเล็กๆอย่างผมขึ้นอีกหลายเท่า ใช่ครับ...ใครหลายๆคนที่เห็นอาจจะคิดแบบนั้น
แต่สำหรับผม ผมคิดอย่างเดียวครับว่า มันคือหน้าที่....
หน้าที่ที่หลานชายคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาด้วยการอบรมเลี้ยงดูจากยายแต่ยังเป็นทารกแรกเกิดจะต้องกระทำ....กระทำด้วยหัวใจที่กตัญญูเพื่อทดแทนบุญคุณอันล้นพ้นของยายที่เปรียบเสมือนแม่บังเกิดเกล้าคนนี้อย่างไม่มีวันจะสิ้นสุดได้
แม้โชคชะตาจะอาภัพ
แต่ใจอย่าอับเฉาและเนรคุณตามเท่านั้นเป็นพอ...
ผมดูแลยายมาก็ร่วมเดือนเศษ รับจ้างทำงานเท่าที่ทำได้ทุกอย่างไม่เกียจคร้าน
หาเงินมาจุนเจือชีวิตอันยากไร้ภายในที่พักหลังกระติ๊ดนี้เพียงคนเดียวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยายเองนับวันอาการก็ยิ่งทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ เนื้อตัวท่านคล้ำดำหมองหม่นไร้ราศี
ผอมแห้งแก้มตอบ ดวงตาเลื่อนลอย เหลือเพียงแต่หนังหุ้มกระดูก บางครั้งก็ขับถ่ายออกมาโดยฉับพลัน
แทบไม่รู้สึกตัว จนผมต้องอาบน้ำชำระร่างกาย และทำความสะอาดที่หลับที่นอนให้ใหม่อยู่บ่อยๆ
ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ท่านทุกวันอย่างไม่รู้สึกเดียดฉันท์เลยสักนิด ก็แน่ละครับ....ยายของผมนี่..ผมไม่ดูแล
แล้วจะมีใครมาแยแสได้ดีเท่ากับผมนี้อีก....
ในวันที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเป็นที่เรียบร้อย
มันคือช่วงหัวค่ำของวันที่แสนสงบสงัดกว่าคราที่เคยได้สัมผัส
แม้แต่เสียงจักจั่นเรไร หรือแมลงตามต้นไม้สักตัวก็หาได้ยินไม่
ผมซึ่งอ่อนเพลียมาจากโรงเรียน
เนื่องด้วยทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพตนเองกับยายเช่นประจำทุกวัน
เดินเท้ามาตามหนทางปกติ อีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จู่ๆในนาทีนั้น
สายตาของผมก็ได้ไปประสบพบกับสิ่งๆหนึ่งเข้า
ภาพที่ปรากฏทำให้หัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม อ้าปากค้าง ตัวสั่นระริก
ดวงตาเบิกโพลงเพราะความเสียขวัญสุดขีด.!! เนื่องจากสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้น
มันเป็นเงาดำๆตะคุ่มๆของอะไรชนิดหนึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ๆ ใกล้....
และใกล้จนทุกอย่างชัดเจนมากขึ้น
แสงของหลอดไฟจากสองข้างทางส่องให้เห็นได้ว่า มันคือร่างอันสูงโย่งของชายชราผู้หนึ่งที่มีผ้าสีดำผืนใหญ่คลุมตั้งแต่ศีรษะไปจรดเท้าเบื้องล่าง
คล้ายๆว่าจะตั้งใจนุ่งห่มมาเช่นนั้นเลยเสียมากกว่า หน้าตาของแกดูซีดเผือดขาวราวกับกระดาษ
มือข้างซ้ายขัดหลัง ส่วนอีกข้างที่มีเล็บยาวแหลมดำดูน่าเกลียดน่ากลัวอย่างกับพ่อมดในหนังสือนิยายนั้น
ค้ำไม้ตะพดเดินลากเท้าเหมือนจงใจ เข้ามาหาผม ดัง
ครืด... ครืด... ขอบตาที่ดำคล้ำราวกับไม่ใช่มนุษย์มนา
พร้อมดวงตาที่กลมโตโหลลึก สีแดงกล่ำจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างเย็นชา
จนทำให้ขนลุกไปทั่วร่าง
ริมฝีที่เม้มเป็นเส้นตรงของแกแสดงให้เห็นถึงริ้วรอยของวัยที่เหี่ยวย่นหย่อนยานตามใบหน้า แต่แล้วเมื่อเดินมาไม่ทันจะได้หลายก้าวนัก...แกก็กลับหยุดกึกอยู่ตรงนั้นไปเสียดื้อๆ
ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นออกมาสั้นๆ
“หึๆๆ....!!” จากนั้นก็ค่อยๆเบี่ยงลำตัวไปทางด้านซ้ายอย่างช้าๆ
เดินตรงเข้าไปยังเขตป่าละเมาะข้างถนน พร้อมกับหายตัวกลมกลืนเข้าไปในความมืด ณ
สถานที่แห่งนั้น ยังเพียงความน่าขนพองสยองเกล้าไว้ให้ผู้พบเห็นแสนที่จะสะท้านสะเทือนใจอยู่เป็นที่สุด.....
"ชายเร่ร่อน" ผู้ที่ปรากฏกายอย่างลึกลับในยามวิกาล และทำกิจวัตรที่แสนพิกลแปลกไปจากสามัญมนุษย์!!
โดยธีร์ วรรณกร
หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้น เป็นชุมชนเล็กๆห่างไกลตัวอำเภอออกมาประมาณราวๆ10กิโลเมตร ไร่นาสาโทอุดมสมบูรณ์แลดูขจีอร่ามงามตา
ตัวบ้านเรือนปลูกติดกันเกือบจะยัดเยียด
ถนนทางสัญจรก็เป็นทางคอนกรีตมิได้ลาดยางมะตอยแต่อย่างใดตามงบประมาณที่ทางหลวงท่านจะจัดสรรให้ได้
ชาวบ้านที่นี่ทำมาหากินกันอย่างตามแบบฉบับวิถีชีวิตคนอีสานสมัยดั้งเดิมมิเคยเปลี่ยนแปลง
แม้ไฟฟ้าและสื่ออิเล็กทรอนิกส์รวมถึงเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายจะเข้ามาถึงแล้วก็ตาม พวกเขาเหล่านั้นก็ยังถือว่า น้ำ ดิน ฟ้า อากาศ
ยังคงเปรียบเสมือนสมบัติอันเป็นธรรมชาติทรัพย์ที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้เกิดก่อและดับไปตามวงจรชีวิตของสัตว์โลกเสมอมา
ช่างเป็นวิธีคิดและวิถีดำรงชีพที่สมถะและเรียบง่ายอย่างพอเพียงโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่นา จับปูปลาเขียดอึ่งในน้ำในหนองกิน
พืชหญ้าอาหารหาจากที่ไหนได้ก็นำมาประกอบเป็นเมนูเลิศรสอยู่มิได้ขาด
กลิ่นอายของโคลนตมตามก้อนดินจากรอยไถชโลมกายมาตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงกาลแก่ชรา
เช่นไรก็เช่นเดิม ปลูกฝังคำสอน
การประพฤติตนมาแต่โบร่ำโบราณก็ยังคงมีอยู่
ทั้งความเชื่อ ความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาก็มิได้คลายความแน่นแฟ้นลงเลยแม้แต่น้อย
โอ้...ช่างเป็นวิถีชนที่หาดูและสัมผัสได้ยากเสียเหลือเกินในยุคที่เทคโนโลยีอันล้ำสมัยครองเมืองเช่นนี้...
ผมอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังน้อยๆกับยายเพียงสองคนครับ
ซึ่งเมื่อพินิจแล้วก็ออกจะคล้ายๆกระท่อมปลายนาอยู่สักหน่อย เนื่องจากตัวบ้านยกถุนสูงจากพื้นไม่ถึงสองเมตร
หลังคามุงด้วยใบจาก ฝากระดานเรือนก็เป็นไม้เศษเหลือเก่าๆจากผู้ที่มีจิตใจอารีเขานำมาทำ
มาแปลงสร้างให้ กลายเป็นที่อยู่หลบแดดหลบฝนป้องกันแรงลมได้มาจนถึงทุกวันนี้
ผมช่วยงานบ้านของยายทุกอย่าง
ตั้งแต่กวาดบ้านถูเรือน ไปจนถึงขั้นซ่อมแซมหลายๆส่วนที่ผุพังของบ้านไปตามมีตามเกิด
แม้จะมีอายุได้เพียง12ขวบแต่ผมก็ขอบอกว่า
หัวใจและการกระทำของผมเป็นผู้ใหญ่เกินตัวและหนักหนากว่าเด็กทั่วๆไปที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมเป็นอย่างมากครับ
ด้วยเพราะกำพร้าผู้ให้กำเนิดบังเกิดเกล้าทั้งสองท่านตั้งแต่ยังแบเบาะนอนร้องไห้จ้า ลืมตาดูโลกขึ้นมา ผู้เป็นพ่อก็ไร้ซึ่งความเป็นชาติชายชาตรี
ทำให้ผมเกิดมาในครรภ์ของแม่แล้วก็ตีจากไป จนสุดท้ายผู้เป็นมารดาของผมก็เสียใจผิดหวังมากเหลือล้น
ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการแขวนคอทิ้งร่างตัวเองห้อยร่องแร่งกับกิ่งของต้นจันท์ ณ ป่าลึกท้ายหมู่บ้าน
ไปในที่สุด
และก็ฝากให้ผมต้องกลับกลายตกเป็นภาระเลี้ยงดูของยายไปอย่างน่าอนาถและเวทนาเป็นยิ่งนัก
แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่เสียใจหรอกครับ
ที่เกิดมาทั้งทีจะขัดสนไม่มีสิ่งใดๆที่ได้ดั่งหวังโดยฉับพลันเช่นเพื่อนๆคนอื่นเขา
แค่ผมมียาย อยู่กับยายเพียงสองคนในบ้านน้อยๆหลังนี้ก็สุขโขไร้ซึ่งคำพรรณนาเปรียบเปรยมากแล้วครับ
วันหนึ่งเป็นช่วงตอนที่โรงเรียนเลิกแล้วราวๆสี่โมงเย็นเห็นจะได้
ผมเดินเท้ากลับมาบ้านซึ่งไกลจากโรงเรียน เป็นระยะทาง3กิโลเมตร กับเพื่อนสนิทอีกสามคน ชื่อไอ้ต้อม ไอ้นก
และไอ้โก้ พวกเรารวมกันเป็นสี่คนเดินมาด้วยกันก็หยอกล้อเล่นกันตามประสาเด็กๆ
พูดคุยหัวร่อร่ากันเป็นธรรมดาจนเพลิน เดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้านอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้ตัว
พอนึกได้ดังนั้นก็แยกย้ายลากันกลับบ้านไปตามทางของตนดังเช่นเคยปฏิบัติ
ผมเองก็วิ่งหน้าตั้งกลับมาบ้านหายายอย่างลิงโลด เพราะวันนี้ผมงดข้าวมื้อกลางวันเพื่อจะเก็บเงิน30บาทที่ยายให้ไว้เมื่อตอนเช้า มาซื้อผัดหมี่ ส้มตำ และลูกชิ้นทอด
อันเป็นอาหารหน้าโรงเรียนยอดนิยมของที่นั่น ใส่ย่ามกลับมาบ้านหวังไว้ว่าจะมาทานเป็นมื้อเย็นกับยายที่บ้าน
ซึ่งพอเล่าให้ยายฟังท่านก็ลูบหัวผมแล้วเอ่ยออกมาอย่างเมตตาระคนเอ็นดูว่า....
“โถ...ไอ้หนู..หลานยาย...ไม่เห็นจำเป็นจะต้องอดข้าวเที่ยงแบบนี้ก็ได้นี่ลูก
อยากซื้ออะไรมากินกับยายก็มาขอใหม่ก็ได้ ยายมีเงิน วันนี้ไปรับจ้างตัดหญ้าหน้าบ้านลุงสรวงเขาให้ยายตั้ง300แน่ะ หนูมาขอเงินแล้วเดินไปตลาดไปเลือกซื้อมาทำกินกันเองที่บ้านจะไม่ดีกว่าเหรอลูก
ฮึ... ยายเป็นห่วงนะ เดี๋ยวอดข้าวแบบนี้บ่อยๆ จะเป็นโรคกระเพาะเอา
หนูจะปวดท้องไม่สบายเอานะลูก...”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะยาย หนูทนได้
หิวเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง หนูกินข้าวกับยายอร่อยกว่ากินข้าวกับเพื่อนๆที่โรงเรียนเยอะเลย
เงิน30บาทที่ยายให้มา กับข้าวถุงละ10บาทหน้าโรงเรียนก็ได้เยอะกินอิ่มกันไปมื้อหนึ่งแล้ว
เงินที่ยายได้มาอีกตั้ง300บาท ยายเก็บไว้เถอะจ้ะ
เอาไว้ยายอยากได้อยากกินอะไรยายค่อยซื้อเอาก็แล้วกันจ้ะ
ยายอยากได้ยายหิวน่ะเรื่องใหญ่ หนูอยากได้ หนูหิวมันเรื่องเล็กๆจ้ะยาย
ไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอก” ผมตอบท่านเสียงใส
ในมื้อดังกล่าวนี้ผมอิ่มทั้งกายอิ่มทั้งใจเหลือที่จะบรรยายเลยละครับท่านที่เคารพ
เพราะมันมีความสุขอัดแน่นอยู่ภายในมาก่อนแล้ว
เราสองยายหลานกินไปก็คุยกันไปเป็นเรื่องปกติวิสัย ยายก็จะถามถึงเรื่องที่อยู่โรงเรียนว่าเป็นยังไงบ้างผมดื้อรึเปล่า
ครูด่าครูตีไหม ซึ่งผมก็ตอบตามความจริง
บางทีผมก็จะชอบเอาเรื่องตลกๆที่เกิดขึ้นภายในรั้วโรงเรียนมาเล่าให้ท่านฟัง
ท่านก็ขำและหัวเราะคล้อยตามไปด้วย
ในบางหนที่กับข้าว หรือเศษอาหารเลอะปากติดแก้มยาย ผมก็จะนำผ้าที่สะอาดเช็ดให้ท่าน
ท่านก็จะยิ้มตอบกลับผม นัยน์ตาที่ฝ้าฟางด้วยอายุนั้นก็จะมีแววของความปีติตื้นตันและเอ็นดูอยู่เป็นนิจ
พร้อมกันนั้นก็จะลูบหัวผมแล้วกล่าวคำๆนี้เตือนใจให้เสมอ
“เป็นคนดีของยายแบบนี้ให้ตลอดไปนะลูก...” เมื่อผมฟังแล้วมันก็รู้สึกจุกลึกๆอยู่ภายในใจทุกครั้ง
จะว่ารักก็รัก จะว่าสงสารก็สงสารท่านมากๆครับ
ด้วยเหตุนี้แหละครับผมจึงต้องรีบกลับบ้านมาดูแลยาย
ร่วมทานอาหารกับยายทุกครั้งอยู่ร่ำไป เพราะการกระทำดังกล่าวนี้
มันจะสื่อให้เห็นว่า “ผม” “จะเป็นคนดีของยายแบบนี้ตลอดไป....”
สัปดาห์หลังๆถัดมา ยายของผมเริ่มที่จะมีอาการเจ็บป่วยออดๆแอดๆเล็กๆน้อยๆให้เห็น
ไม่ว่าจะเป็นการไอ จาม เป็นหวัดคัดจมูกอยู่บ่อยๆ บางครั้งเวลากลางคืน ดึกๆดื่นๆท่านก็จะเพ้อบอกว่าหนาว
กายจะสั่นสะท้านราวกับเจ้าเข้า ผมก็ต้องหาผ้าห่มหนาๆมาคลุมทับให้
นำผ้าที่ชุบน้ำอุ่นๆมาประคบบ้าง แล้วก็สวมกอดท่านให้บรรเทาอาการนั้นลงไปบ้าง
เช่นนี้อยู่เกือบแทบทุกคืน และหนักที่สุดก็คือ
มีครั้งหนึ่งยายพาผมไปรับจ้างเกี่ยวหญ้าให้กับวัวของผู้ใหญ่บ้าน วันนั้นแดดร้อนจัดจนเหงื่อไหลโทรมกาย
ได้นั่งพักใช้หมวกพัดวีและจิบน้ำกันอยู่เป็นระยะๆ
และในขณะที่ยายท่านกำลังเดินตามหลังผมซึ่งเป็นคนเข็นรถเข็นขนหญ้าไปให้ตาผู้ใหญ่บ้านอยู่นั้นเอง
ยายก็พูดออกมาเบาๆว่ายายไม่ไหวแล้ว ยายเหนื่อย แล้วร่างของท่านก็ล้มฟุบคว่ำหน้าลงกับพื้นดินตรงนั้น ผมหันกลับไปพบก็ใจหายวาบรีบอุ้มเอาร่างของท่านไปหาที่ร่มๆเพื่อพักไว้ชั่วคราว
ซึ่งก็ไม่พ้นศาลาไม้ริมทางเก่าๆที่อยู่ในละแวกนั้น
จัดการปฐมพยาบาลท่านอยู่นานแก้ไขเท่าไหร่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าท่านจะดีขึ้น
ผมจึงตัดสินใจอุ้มยายหอบร่างอันผอมเล็กของท่านขึ้นอีกครั้งแล้วรีบวิ่งไปที่บ้านของตาผู้ใหญ่ในทันที
หนักไม่หนักไม่สนแล้วครับ รู้แต่ว่าอุ้มยายตัวปลิวเลย คิดแต่จะให้ยายหายอย่างเดียว.....
พอไปถึงตาผู้ใหญ่ก็ตกใจครับ
รีบให้คนใช้ของท่านขับรถพายายไปส่งโรงพยาบาลทันที
ซึ่งก็เป็นการดีครับที่ระหว่างการเดินทางนั้นยายผมก็มีอาการรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
เพราะก่อนไปก็กรอกยาหอม รมยาดมกันเป็นการใหญ่มาก่อนแล้ว
ดังนั้นพอถึงมือแพทย์ยายก็ฟื้นตัวได้เร็วครับ และแน่นอนสำหรับค่ารักษาพยาบาลนั้น
ตาผู้ใหญ่เป็นผู้ชำระให้โดยทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่ทว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ยายก็ล้มหมอนนอนเสื่อไปเลยครับ กลายเป็นคนไข้ติดเตียงไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก ทำท่าจะเซล้มอยู่ทุกการก้าวย่าง
จะไปเข้าห้องน้ำทีไม่ว่าจะอาบน้ำหรือถ่ายหนักถ่ายเบาผมก็ต้องพยุงไป
นับว่าเป็นการเพิ่มภาระสำหรับเด็กตัวเล็กๆอย่างผมขึ้นอีกหลายเท่า ใช่ครับ...ใครหลายๆคนที่เห็นอาจจะคิดแบบนั้น
แต่สำหรับผม ผมคิดอย่างเดียวครับว่า มันคือหน้าที่....
หน้าที่ที่หลานชายคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาด้วยการอบรมเลี้ยงดูจากยายแต่ยังเป็นทารกแรกเกิดจะต้องกระทำ....กระทำด้วยหัวใจที่กตัญญูเพื่อทดแทนบุญคุณอันล้นพ้นของยายที่เปรียบเสมือนแม่บังเกิดเกล้าคนนี้อย่างไม่มีวันจะสิ้นสุดได้
แม้โชคชะตาจะอาภัพ
แต่ใจอย่าอับเฉาและเนรคุณตามเท่านั้นเป็นพอ...
ผมดูแลยายมาก็ร่วมเดือนเศษ รับจ้างทำงานเท่าที่ทำได้ทุกอย่างไม่เกียจคร้าน
หาเงินมาจุนเจือชีวิตอันยากไร้ภายในที่พักหลังกระติ๊ดนี้เพียงคนเดียวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยายเองนับวันอาการก็ยิ่งทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ เนื้อตัวท่านคล้ำดำหมองหม่นไร้ราศี
ผอมแห้งแก้มตอบ ดวงตาเลื่อนลอย เหลือเพียงแต่หนังหุ้มกระดูก บางครั้งก็ขับถ่ายออกมาโดยฉับพลัน
แทบไม่รู้สึกตัว จนผมต้องอาบน้ำชำระร่างกาย และทำความสะอาดที่หลับที่นอนให้ใหม่อยู่บ่อยๆ
ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ท่านทุกวันอย่างไม่รู้สึกเดียดฉันท์เลยสักนิด ก็แน่ละครับ....ยายของผมนี่..ผมไม่ดูแล
แล้วจะมีใครมาแยแสได้ดีเท่ากับผมนี้อีก....
ในวันที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเป็นที่เรียบร้อย
มันคือช่วงหัวค่ำของวันที่แสนสงบสงัดกว่าคราที่เคยได้สัมผัส
แม้แต่เสียงจักจั่นเรไร หรือแมลงตามต้นไม้สักตัวก็หาได้ยินไม่
ผมซึ่งอ่อนเพลียมาจากโรงเรียน
เนื่องด้วยทำงานพิเศษเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพตนเองกับยายเช่นประจำทุกวัน
เดินเท้ามาตามหนทางปกติ อีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงทางเข้าหมู่บ้าน จู่ๆในนาทีนั้น
สายตาของผมก็ได้ไปประสบพบกับสิ่งๆหนึ่งเข้า
ภาพที่ปรากฏทำให้หัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม อ้าปากค้าง ตัวสั่นระริก ดวงตาเบิกโพลงเพราะความเสียขวัญสุดขีด.!! เนื่องจากสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้น
มันเป็นเงาดำๆตะคุ่มๆของอะไรชนิดหนึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ๆ ใกล้....
และใกล้จนทุกอย่างชัดเจนมากขึ้น
แสงของหลอดไฟจากสองข้างทางส่องให้เห็นได้ว่า มันคือร่างอันสูงโย่งของชายชราผู้หนึ่งที่มีผ้าสีดำผืนใหญ่คลุมตั้งแต่ศีรษะไปจรดเท้าเบื้องล่าง
คล้ายๆว่าจะตั้งใจนุ่งห่มมาเช่นนั้นเลยเสียมากกว่า หน้าตาของแกดูซีดเผือดขาวราวกับกระดาษ
มือข้างซ้ายขัดหลัง ส่วนอีกข้างที่มีเล็บยาวแหลมดำดูน่าเกลียดน่ากลัวอย่างกับพ่อมดในหนังสือนิยายนั้น
ค้ำไม้ตะพดเดินลากเท้าเหมือนจงใจ เข้ามาหาผม ดัง ครืด... ครืด... ขอบตาที่ดำคล้ำราวกับไม่ใช่มนุษย์มนา
พร้อมดวงตาที่กลมโตโหลลึก สีแดงกล่ำจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างเย็นชา
จนทำให้ขนลุกไปทั่วร่าง
ริมฝีที่เม้มเป็นเส้นตรงของแกแสดงให้เห็นถึงริ้วรอยของวัยที่เหี่ยวย่นหย่อนยานตามใบหน้า แต่แล้วเมื่อเดินมาไม่ทันจะได้หลายก้าวนัก...แกก็กลับหยุดกึกอยู่ตรงนั้นไปเสียดื้อๆ
ก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นออกมาสั้นๆ “หึๆๆ....!!” จากนั้นก็ค่อยๆเบี่ยงลำตัวไปทางด้านซ้ายอย่างช้าๆ
เดินตรงเข้าไปยังเขตป่าละเมาะข้างถนน พร้อมกับหายตัวกลมกลืนเข้าไปในความมืด ณ
สถานที่แห่งนั้น ยังเพียงความน่าขนพองสยองเกล้าไว้ให้ผู้พบเห็นแสนที่จะสะท้านสะเทือนใจอยู่เป็นที่สุด.....