คนที่เขากำลังสอนธรรมะให้แก่คุณนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นฆราวาส หรือว่าเป็น ผู้ถือบวชห่มเหลืองอยู่ก็ตาม
ถ้าเขาเข้าถึงธรรมได้น้อย เขาก็จะเข้าใจในพระธรรมได้น้อยตามไปด้วย
และก็อาจจะมีความเข้าใจผิดอยู่มาก
และก็อาจจะเอาความเข้าใจผิดนั้น มาสอนผิดๆส่งต่อให้แก่คุณอีกทีหนึ่ง
(คุณจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาในการฟังธรรมเสมอ ไม่ใช่เชื่อเลยทันทีโดยไม่ตรวจสอบ)
พระไตรปิฏกนั้น แม้จะมีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็ตาม
แต่คุณก็จะต้องอาศัยใช้ปัญญาในการตีความพระธรรมที่เป็นภาษาไทยนั้น
ไม่ใช่สักแต่ว่าใครก็ได้ที่อ่านภาษาไทยออก ก็จะเข้าถึงธรรมกันได้หมดทุกคน
ไม่ใช่อย่างนั้น
ไม่อย่างนั้นคนที่เรียนนักธรรม ก็คงจะบรรลุธรรมกันไปหมดทุกคนแล้ว เพราะพวกเขาเหล่านั้นอ่านภาษาไทยออกกันหมดทุกคน
ไม่ใช่อย่างนั้น
(
ยังต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคนแต่ละคนอยู่ ไม่ใช่แค่เขาอ่านภาษาไทยออกก็พอ)
ต่อให้คุณจดจำตัวอักษรทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้ แต่ถ้าคุณปฏิบัติตามนั้นไม่ได้ ความรู้ที่คุณมีก็จะเป็นเพียงแค่ความ "รู้จำ" เท่านั้น ไม่ใช่ความ "รู้ตาม"
เพราะฉนั้น
ต่อให้คุณจำตัวอักษรทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้ คุณก็ได้แค่ ปริยัติ เท่านั้น แต่ถ้า ปฏิบัติ&ปฏิเวธ ยังไม่ได้ คุณก็ยังเป็นเถรใบลานเปล่าอยู่ดี
เพราะฉนั้น ถ้ามีใครที่เขาท่องจำพระไตรปิฎกได้ หรือ ท่องจำพุทธวจนะได้ แล้วมานั่งท่องบ่นให้คุณฟังได้
ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาบรรลุธรรมแล้ว
หรือ
ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความรู้-ความเข้าใจถูกต้องในพระธรรมในทุกๆเรื่อง ในทุกๆแง่มุม (
บางเรื่องสอนถูก บางเรื่องสอนผิด)
(เรื่องไหนที่เขาสอนผิด
คุณก็ไม่รู้ว่าผิดตรงไหนบ้าง? และก็ไม่รู้ว่าผิดเพราะว่าอะไร? ก็เพราะว่าคุณไม่มีความรู้มากพอที่จะไปตรวจสอบเขา)
เพราะว่าใครจะเข้าใจในพระธรรมได้ถูกต้องตรงทางแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคนๆนั้น ไม่ใช่แค่เขาอ่านภาษาไทยออกก็พอ
หรือ ไม่ใช่แค่การท่องจำพระสูตรได้ก็พอ (เพราะถ้าปัญญาของเขาไม่ถึงขั้นพระอริยะเจ้า เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะตีความพระธรรมผิดทางได้อยู่เสมอ)
โดยเฉพาะในเรื่อง
ฌานสมาธิ และ
ความเป็นพระอริยะเจ้า (เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้ จำเป็นจะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้ "
เข้าถึง" จึงจะสามารถ "
รู้ตาม" ได้)
"ถ้าไม่เข้าถึง ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ ก็จะเข้าใจไม่ได้" ก็จะ "
รู้ตาม" ไม่ได้ (จะทำได้แค่การท่องจำตัวหนังสือในตำรามาเท่านั้น)
เมื่อปฏิบัติไม่ได้-ปฏิบัติไม่ถึง จึงไม่มีความรู้ตามเกิดขึ้น จึงไม่มีความรู้ของนักปฏิบัติที่เข้าถึงธรรมได้มาบอกสอน (
และจะพูดขยายความในตรงจุดนี้ไม่ได้)
เช่น ถ้าไม่เคยเข้าฌานได้ ย่อมไม่รู้อารมณ์ฌาน
ไม่รู้ว่าในหนังสือเขาเขียนไว้แบบนั้นเพราะอะไร เป็นแต่เพียงนักท่องจำตำรามาเท่านั้น
เวลาไปบอกสอนเรื่องฌานสมาธิให้แก่ผู้อื่น
ก็ย่อมมีโอกาสที่จะส่งต่อความเข้าใจผิดไปยังผู้อื่นได้ เพราะตัวเองยังทำไม่ได้-ยังทำไม่ถึง
เฉกเช่นเดียวกัน ความเป็นพระอริยะเจ้านั้น ถ้าตัวเองยังไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นนั้น ก็ย่อมที่จะไม่รู้อารมณ์ของพระอริยะเจ้าในขั้นนั้น
ไม่รู้ว่าในหนังสือเขาเขียนไว้แบบนั้นเพราะอะไร เป็นแต่เพียงนักท่องจำตำรามาเท่านั้น
โอกาสที่จะตีความอารมณ์พระอริยะเจ้าผิดทาง ก็เกิดขึ้นได้
เฉกเช่นเดียวกับเรื่อง ภาษาบาลี
ถ้าผู้ใดไม่มีความรู้ความชำนาญในภาษาบาลี เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะตีความหมายคำบาลีผิดทาง ผิดความหมายไปได้
เวลาไปบอกสอนต่อไปยังผู้อื่น
เขาก็อาจจะนำพาเอาความเข้าใจผิดส่งต่อไปยังผู้อื่นได้
พระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ปรัชญาทางโลก เหมือนความรู้อื่นๆ (เพราะความรู้ในศาสนาพุทธ สอนให้คนมีการ "
บรรลุธรรม" ได้)
จึงไม่สามารถที่จะใช้หลักปรัชญา หรือหลักทักษะแนวคิดทั่วๆไปทางโลก มาตีความพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้
แต่จะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้ "
เข้าถึง" หรือบรรลุธรรมในขั้นนั้นๆ จึงจะสามารถ "
รู้ตาม" ได้
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระอรหันต์ ก็จะมีความรู้ในระดับ อรหันต์ หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ีที่เข้าถึงระดับ พระอนาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ อนาคามี หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระสกิทาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ สกิทาคามี หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระโสดาบัน ก็จะมีความรู้ในระดับ โสดาบัน หรือต่ำกว่านั้นลงไป
เพราะฉนั้นผู้ที่เข้าถึงในระดับใด ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับนั้น หรือต่ำกว่านั้นลงไป จะไม่สูงไปกว่านั้น
เมื่อคนผู้นั้น ได้มาอ่านและศึกษา พระธรรมของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฏก นั้น
ผู้ที่ศึกษานั้น ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับที่ตัวเองเข้าถึงเท่านั้น
ระดับที่สูงกว่าที่ตนเองเข้าถึง "
จะไม่สามารถเข้าใจได้" หรือ "
เข้าใจได้ไม่ครบ"
เพราะฉนั้น ผู้ศึกษาพระธรรม จึงไม่ควรที่จะคิดเขียนตำราใหม่
หรือไม่ควรที่จะไป เปลี่ยนแปลง หรือ แก้ไข หรือ ตัดทอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติเอาไว้ดีแล้ว
และเมื่อ ระดับที่สูงกว่าที่ตนเองเข้าถึง "
จะไม่สามารถเข้าใจได้" หรือ "
เข้าใจได้ไม่ครบ" นั้น
เขาก็อาจจะ เอาความเข้าใจผิด หรือ เอาความเข้าใจไม่ครบของเขา มาสอนต่อให้แก่คุณอีกทีหนึ่ง (
ทำให้หลงผิดไปตามๆกัน)
และ ถ้าคนๆนั้นคิดจะมาตัดทอนพระไตรปิฎก
เขาก็อาจจะ เอาความเข้าใจผิด หรือ เอาความเข้าใจไม่ครบของเขา
ไปตัดทอนพระไตรปิฎกตามความไม่รู้ของเขา
บทไหนที่เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าถึง เขาก็อาจจะบอกว่ามันเป็นเท็จ หรือเชื่อถือไม่ได้ สมควรที่จะตัดทิ้ง (ตามความไม่รู้ของเขา)
และเขาก็อาจจะสอดแทรกทิฏฐิความคิดเห็นส่วนตัวที่ยังไม่เข้าถึงธรรมของเขา ยัดใส่ลงไปในตำรา หรือถ่ายทอดคำสอนผิดๆไปยังสาวกของเขาอีกทีนึง
(
ทำให้หลงผิดไปตามๆกัน)
และแม้แต่ผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม แต่พระอรหันต์ก็มีหลายหมวด
และพระอรหันต์ในแต่ละหมวดก็ยังมีความรู้ไม่เท่ากัน
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว มีการสังคายนาพระธรรมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยคัดเลือกเอาแต่เฉพาะพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ 500 รูป มาร่วมสังคายนาเท่านั้น
แม้แต่ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในหมวดอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าร่วมในการสังคายนาในครั้งนี้ได้เลย
(
เพราะว่าพระอรหันต์ในหมวดอื่นๆยังมีความรู้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด จึงไม่ให้เข้าร่วมสังคายนาด้วย) (จิตสะอาดเท่ากัน แต่รู้ไม่เท่ากัน)
(แม้ว่าพระอริยะเจ้าจะรู้ไม่เท่ากัน แต่พระอริยะเจ้านั้น ท่านจะสอนแค่ในระดับที่ตัวเองเข้าถึง-บรรลุถึง เท่านั้น)
(ถ้าจะสอนเกินกว่าระดับที่ตัวเองเข้าถึงได้ ก็จะยกข้อความในตำรามาวางให้อ่านเท่านั้น เพราะเกรงจะสอนผิด)
ที่ผมยกเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอธิบาย ก็เพื่ออยากจะบอกให้คุณรู้ว่า......
คนเรานั้นจะสอนธรรมะส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ถูกต้องแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงธรรมของเขา
(จะมีความรู้-ความเข้าใจเป็นระดับๆไป ตามการเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าของเขา) (ยิ่งเป็นพระอริยะเจ้าในระดับที่สูงมากขึ้นไปเท่าไร ก็ยิ่งสอนได้ดี)
ถ้าเขาเข้าถึงธรรมได้น้อย เขาก็จะมีความเข้าใจได้น้อย และก็จะสอนธรรมะได้ถูกต้องน้อยตามไปด้วย
การท่องบ่นพระธรรมในตำราได้ จึงเป็นแค่การจดจำตัวหนังสือได้ (
แต่เขาจะเข้าถึงธรรมได้แค่ไหนนั้น ก็อีกเรื่องนึง)
(ต่อให้เขาจดจำตัวหนังสือในพระไตรปิฎกทั้งหมดได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความรู้-ความเข้าใจ ได้ถูกต้องในทุกๆเรื่อง ในทุกๆแง่มุม)
เพราะถ้าเขายังไม่เข้าถึงธรรมในเรื่องนั้นๆ ยังไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นนั้นๆ เขาก็จะไม่สามารถที่จะสอนขยายความในเรื่องนั้นๆ ออกมาได้อย่างถูกต้องได้
(เช่น การเข้าถึงฌานสมาธิ และ การเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้า)
และถ้าเขาขืนฝืนสอนออกไปทั้งๆที่ตัวเองยังทำไม่ได้ ก็จะเป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขาเท่านั้น (
และคุณก็อาจจะไม่รู้ว่าเขากำลังด้นพระธรรมอยู่)
แต่การที่จะวิเคราะได้ ขยายความได้ หรือรู้ตามได้อย่างละเอียดถูกต้อง
จำเป็นจะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้เข้าถึงธรรมในเรื่องนั้นๆ บรรลุธรรมในเรื่องนั้นๆ เขาถึงจะสามารถสอนธรรมะส่งต่อไปยังผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง
"
มันมีความละเอียดในเรื่องพวกนี้อยู่"
ไม่ใช่ว่าพอเห็นใครได้รางวัล หรือเห็นใครได้ออกทีวี หรือเห็นใครได้ออกหนังสือ หรือเห็นใครห่มเหลืองมาพูด หรือเห็นใครบอกว่าตัวเองบรรลุธรรม
หรือเห็นใครอ้างว่าสอนแต่พุทธวจนะ ก็จะสามารถสรุปฟันธงลงไปได้เลยทันที ว่าเขากำลังสอนธรรมะได้อย่างถูกต้องตรงทาง ไปหมดทุกเรื่องแน่นอน
ไม่ใช่อย่างนั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้((((( จุดประสงค์ของการเขียนบทความชิ้นนี้ )))))
เพื่อต้องการที่จะให้ผู้ที่ศึกษาพระธรรม ได้ใช้ปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรองก่อนที่จะเชื่อใคร ไม่ใช่ให้เชื่อเลยทันที
ให้รู้ว่า แม้แต่ตัวของผู้สอนเองในแต่ละคน ก็จะมีความรู้-ความเข้าใจในพระธรรม หลายระดับกัน แล้วแต่การเข้าถึงธรรมของเขา
และ แล้วแต่การบรรลุธรรมของเขา ว่าอยู่ในขั้นใด?
และก็เพราะว่าเราไม่อาจจะรู้ได้ว่า ใครเป็นพระอรหันต์แน่นอน เราทำได้แค่การคาดเดาว่าเขา "อาจจะเป็น" เท่านั้น
เราจึงควรจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาในการฟังธรรมจากเขาเสมอ เพราะเราไม่อาจจะรู้ได้แน่นอนว่าเขาเป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่?
และก็เพราะว่าแม้แต่ พระพุทธเจ้า ท่านก็ยังบอกให้เราใช้ปัญญาพิจารณาคำสอนของท่านก่อน ถึงจะค่อยคิดว่าเราควรจะเชื่อถือท่านดีหรือไม่
เพราะฉนั้น คนที่ต่ำลงมาจากพระองค์ เราก็ยิ่งควรที่จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาในการฟังธรรมจากเขาเสมอ
ว่าเขากำลังสอนธรรมะที่ถูกต้องตรงทางให้กับเราอยู่หรือไม่?
ส่วนคนที่อยากจะสอนธรรมะให้แก่ผู้อื่นนั้น ก็ควรที่จะมีสติรู้ตัว ว่าตัวเองกำลังอยู่ในขั้นใด? มีฌานสมาธิอยู่ในขั้นไหน? บรรลุธรรมอะไรแล้วบ้าง?
ถ้ายังไม่บรรลุอะไรเลย ก็ควรที่จะรู้ว่า อะไรที่สูงกว่าระดับที่ตัวเองเข้าถึง ถ้าขืนพูดสอนออกไป ก็อาจจะเป็นการส่งต่อความมีมิจฉาทิฏฐิไปยังผู้อื่นได้
(เพื่อให้มีสติรู้ตัวทั้ง คนฟังธรรม และ คนสอนธรรม ทั้งสองฝ่าย)
แต่ถ้าคุณพูดสอนท่องมาได้ตรงตามพระไตรปิฎก แม้ว่าคุณจะไม่บรรลุธรรมอะไรเลยก็ตาม คนที่ฟังธรรมะต่อไปจากคุณก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้
(สำคัญที่ว่าพูดสอนได้ตรงตามพระไตรปิฎกหรือเปล่า? จำมาตรงหรือเปล่า? บิดเบือนหรือเปล่า? ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไปในคำสอนหรือเปล่า?)
บทความเรื่อง "การจะดูว่าใครกำลังสอนธรรมะได้อย่างถูกต้องตรงทางอยู่หรือไม่? คุณควรจะต้องมีความรู้ในเรื่องพื้นฐานเหล่านี้
คนที่เขากำลังสอนธรรมะให้แก่คุณนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นฆราวาส หรือว่าเป็น ผู้ถือบวชห่มเหลืองอยู่ก็ตาม
ถ้าเขาเข้าถึงธรรมได้น้อย เขาก็จะเข้าใจในพระธรรมได้น้อยตามไปด้วย
และก็อาจจะมีความเข้าใจผิดอยู่มาก และก็อาจจะเอาความเข้าใจผิดนั้น มาสอนผิดๆส่งต่อให้แก่คุณอีกทีหนึ่ง
(คุณจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาในการฟังธรรมเสมอ ไม่ใช่เชื่อเลยทันทีโดยไม่ตรวจสอบ)
พระไตรปิฏกนั้น แม้จะมีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็ตาม แต่คุณก็จะต้องอาศัยใช้ปัญญาในการตีความพระธรรมที่เป็นภาษาไทยนั้น
ไม่ใช่สักแต่ว่าใครก็ได้ที่อ่านภาษาไทยออก ก็จะเข้าถึงธรรมกันได้หมดทุกคน ไม่ใช่อย่างนั้น
ไม่อย่างนั้นคนที่เรียนนักธรรม ก็คงจะบรรลุธรรมกันไปหมดทุกคนแล้ว เพราะพวกเขาเหล่านั้นอ่านภาษาไทยออกกันหมดทุกคน ไม่ใช่อย่างนั้น
(ยังต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคนแต่ละคนอยู่ ไม่ใช่แค่เขาอ่านภาษาไทยออกก็พอ)
ต่อให้คุณจดจำตัวอักษรทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้ แต่ถ้าคุณปฏิบัติตามนั้นไม่ได้ ความรู้ที่คุณมีก็จะเป็นเพียงแค่ความ "รู้จำ" เท่านั้น ไม่ใช่ความ "รู้ตาม"
เพราะฉนั้น ต่อให้คุณจำตัวอักษรทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้ คุณก็ได้แค่ ปริยัติ เท่านั้น แต่ถ้า ปฏิบัติ&ปฏิเวธ ยังไม่ได้ คุณก็ยังเป็นเถรใบลานเปล่าอยู่ดี
เพราะฉนั้น ถ้ามีใครที่เขาท่องจำพระไตรปิฎกได้ หรือ ท่องจำพุทธวจนะได้ แล้วมานั่งท่องบ่นให้คุณฟังได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาบรรลุธรรมแล้ว
หรือ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความรู้-ความเข้าใจถูกต้องในพระธรรมในทุกๆเรื่อง ในทุกๆแง่มุม (บางเรื่องสอนถูก บางเรื่องสอนผิด)
(เรื่องไหนที่เขาสอนผิด คุณก็ไม่รู้ว่าผิดตรงไหนบ้าง? และก็ไม่รู้ว่าผิดเพราะว่าอะไร? ก็เพราะว่าคุณไม่มีความรู้มากพอที่จะไปตรวจสอบเขา)
เพราะว่าใครจะเข้าใจในพระธรรมได้ถูกต้องตรงทางแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคนๆนั้น ไม่ใช่แค่เขาอ่านภาษาไทยออกก็พอ
หรือ ไม่ใช่แค่การท่องจำพระสูตรได้ก็พอ (เพราะถ้าปัญญาของเขาไม่ถึงขั้นพระอริยะเจ้า เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะตีความพระธรรมผิดทางได้อยู่เสมอ)
โดยเฉพาะในเรื่อง ฌานสมาธิ และ ความเป็นพระอริยะเจ้า (เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้ จำเป็นจะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้ "เข้าถึง" จึงจะสามารถ "รู้ตาม" ได้)
"ถ้าไม่เข้าถึง ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ ก็จะเข้าใจไม่ได้" ก็จะ "รู้ตาม" ไม่ได้ (จะทำได้แค่การท่องจำตัวหนังสือในตำรามาเท่านั้น)
เมื่อปฏิบัติไม่ได้-ปฏิบัติไม่ถึง จึงไม่มีความรู้ตามเกิดขึ้น จึงไม่มีความรู้ของนักปฏิบัติที่เข้าถึงธรรมได้มาบอกสอน (และจะพูดขยายความในตรงจุดนี้ไม่ได้)
เช่น ถ้าไม่เคยเข้าฌานได้ ย่อมไม่รู้อารมณ์ฌาน ไม่รู้ว่าในหนังสือเขาเขียนไว้แบบนั้นเพราะอะไร เป็นแต่เพียงนักท่องจำตำรามาเท่านั้น
เวลาไปบอกสอนเรื่องฌานสมาธิให้แก่ผู้อื่น ก็ย่อมมีโอกาสที่จะส่งต่อความเข้าใจผิดไปยังผู้อื่นได้ เพราะตัวเองยังทำไม่ได้-ยังทำไม่ถึง
เฉกเช่นเดียวกัน ความเป็นพระอริยะเจ้านั้น ถ้าตัวเองยังไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นนั้น ก็ย่อมที่จะไม่รู้อารมณ์ของพระอริยะเจ้าในขั้นนั้น
ไม่รู้ว่าในหนังสือเขาเขียนไว้แบบนั้นเพราะอะไร เป็นแต่เพียงนักท่องจำตำรามาเท่านั้น โอกาสที่จะตีความอารมณ์พระอริยะเจ้าผิดทาง ก็เกิดขึ้นได้
เฉกเช่นเดียวกับเรื่อง ภาษาบาลี ถ้าผู้ใดไม่มีความรู้ความชำนาญในภาษาบาลี เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะตีความหมายคำบาลีผิดทาง ผิดความหมายไปได้
เวลาไปบอกสอนต่อไปยังผู้อื่น เขาก็อาจจะนำพาเอาความเข้าใจผิดส่งต่อไปยังผู้อื่นได้
พระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ปรัชญาทางโลก เหมือนความรู้อื่นๆ (เพราะความรู้ในศาสนาพุทธ สอนให้คนมีการ "บรรลุธรรม" ได้)
จึงไม่สามารถที่จะใช้หลักปรัชญา หรือหลักทักษะแนวคิดทั่วๆไปทางโลก มาตีความพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้
แต่จะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้ "เข้าถึง" หรือบรรลุธรรมในขั้นนั้นๆ จึงจะสามารถ "รู้ตาม" ได้
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระอรหันต์ ก็จะมีความรู้ในระดับ อรหันต์ หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ีที่เข้าถึงระดับ พระอนาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ อนาคามี หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระสกิทาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ สกิทาคามี หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระโสดาบัน ก็จะมีความรู้ในระดับ โสดาบัน หรือต่ำกว่านั้นลงไป
เพราะฉนั้นผู้ที่เข้าถึงในระดับใด ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับนั้น หรือต่ำกว่านั้นลงไป จะไม่สูงไปกว่านั้น
เมื่อคนผู้นั้น ได้มาอ่านและศึกษา พระธรรมของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฏก นั้น
ผู้ที่ศึกษานั้น ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับที่ตัวเองเข้าถึงเท่านั้น
ระดับที่สูงกว่าที่ตนเองเข้าถึง "จะไม่สามารถเข้าใจได้" หรือ "เข้าใจได้ไม่ครบ"
เพราะฉนั้น ผู้ศึกษาพระธรรม จึงไม่ควรที่จะคิดเขียนตำราใหม่
หรือไม่ควรที่จะไป เปลี่ยนแปลง หรือ แก้ไข หรือ ตัดทอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติเอาไว้ดีแล้ว
และเมื่อ ระดับที่สูงกว่าที่ตนเองเข้าถึง "จะไม่สามารถเข้าใจได้" หรือ "เข้าใจได้ไม่ครบ" นั้น
เขาก็อาจจะ เอาความเข้าใจผิด หรือ เอาความเข้าใจไม่ครบของเขา มาสอนต่อให้แก่คุณอีกทีหนึ่ง (ทำให้หลงผิดไปตามๆกัน)
และ ถ้าคนๆนั้นคิดจะมาตัดทอนพระไตรปิฎก
เขาก็อาจจะ เอาความเข้าใจผิด หรือ เอาความเข้าใจไม่ครบของเขา ไปตัดทอนพระไตรปิฎกตามความไม่รู้ของเขา
บทไหนที่เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าถึง เขาก็อาจจะบอกว่ามันเป็นเท็จ หรือเชื่อถือไม่ได้ สมควรที่จะตัดทิ้ง (ตามความไม่รู้ของเขา)
และเขาก็อาจจะสอดแทรกทิฏฐิความคิดเห็นส่วนตัวที่ยังไม่เข้าถึงธรรมของเขา ยัดใส่ลงไปในตำรา หรือถ่ายทอดคำสอนผิดๆไปยังสาวกของเขาอีกทีนึง
(ทำให้หลงผิดไปตามๆกัน)
และแม้แต่ผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม แต่พระอรหันต์ก็มีหลายหมวด และพระอรหันต์ในแต่ละหมวดก็ยังมีความรู้ไม่เท่ากัน
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว มีการสังคายนาพระธรรมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยคัดเลือกเอาแต่เฉพาะพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ 500 รูป มาร่วมสังคายนาเท่านั้น
แม้แต่ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในหมวดอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าร่วมในการสังคายนาในครั้งนี้ได้เลย
(เพราะว่าพระอรหันต์ในหมวดอื่นๆยังมีความรู้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด จึงไม่ให้เข้าร่วมสังคายนาด้วย) (จิตสะอาดเท่ากัน แต่รู้ไม่เท่ากัน)
(แม้ว่าพระอริยะเจ้าจะรู้ไม่เท่ากัน แต่พระอริยะเจ้านั้น ท่านจะสอนแค่ในระดับที่ตัวเองเข้าถึง-บรรลุถึง เท่านั้น)
(ถ้าจะสอนเกินกว่าระดับที่ตัวเองเข้าถึงได้ ก็จะยกข้อความในตำรามาวางให้อ่านเท่านั้น เพราะเกรงจะสอนผิด)
ที่ผมยกเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอธิบาย ก็เพื่ออยากจะบอกให้คุณรู้ว่า......
คนเรานั้นจะสอนธรรมะส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ถูกต้องแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงธรรมของเขา
(จะมีความรู้-ความเข้าใจเป็นระดับๆไป ตามการเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าของเขา) (ยิ่งเป็นพระอริยะเจ้าในระดับที่สูงมากขึ้นไปเท่าไร ก็ยิ่งสอนได้ดี)
ถ้าเขาเข้าถึงธรรมได้น้อย เขาก็จะมีความเข้าใจได้น้อย และก็จะสอนธรรมะได้ถูกต้องน้อยตามไปด้วย
การท่องบ่นพระธรรมในตำราได้ จึงเป็นแค่การจดจำตัวหนังสือได้ (แต่เขาจะเข้าถึงธรรมได้แค่ไหนนั้น ก็อีกเรื่องนึง)
(ต่อให้เขาจดจำตัวหนังสือในพระไตรปิฎกทั้งหมดได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความรู้-ความเข้าใจ ได้ถูกต้องในทุกๆเรื่อง ในทุกๆแง่มุม)
เพราะถ้าเขายังไม่เข้าถึงธรรมในเรื่องนั้นๆ ยังไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นนั้นๆ เขาก็จะไม่สามารถที่จะสอนขยายความในเรื่องนั้นๆ ออกมาได้อย่างถูกต้องได้
(เช่น การเข้าถึงฌานสมาธิ และ การเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้า)
และถ้าเขาขืนฝืนสอนออกไปทั้งๆที่ตัวเองยังทำไม่ได้ ก็จะเป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขาเท่านั้น (และคุณก็อาจจะไม่รู้ว่าเขากำลังด้นพระธรรมอยู่)
แต่การที่จะวิเคราะได้ ขยายความได้ หรือรู้ตามได้อย่างละเอียดถูกต้อง
จำเป็นจะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้เข้าถึงธรรมในเรื่องนั้นๆ บรรลุธรรมในเรื่องนั้นๆ เขาถึงจะสามารถสอนธรรมะส่งต่อไปยังผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง
"มันมีความละเอียดในเรื่องพวกนี้อยู่"
ไม่ใช่ว่าพอเห็นใครได้รางวัล หรือเห็นใครได้ออกทีวี หรือเห็นใครได้ออกหนังสือ หรือเห็นใครห่มเหลืองมาพูด หรือเห็นใครบอกว่าตัวเองบรรลุธรรม
หรือเห็นใครอ้างว่าสอนแต่พุทธวจนะ ก็จะสามารถสรุปฟันธงลงไปได้เลยทันที ว่าเขากำลังสอนธรรมะได้อย่างถูกต้องตรงทาง ไปหมดทุกเรื่องแน่นอน
ไม่ใช่อย่างนั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้