เหตุเกิดหลายวันมาแล้ว แต่เพิ่งจะมีโอกาสอำนวยมาตั้งกระทู้ ปรกติจะไม่เคยป่วยถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาล
แต่สำนวนโบราณเขาบอกเสมอว่า "ร้อยลี้ ย่อมมีก้าวแรก" ดังนั้น เหตุการณ์ใดๆ ที่จะเกิดกับเราต่อไปในอนาคต ก็จะต้องมีครั้งแรก
จากอาการแรกเริ่ม คือท้องเสีย แล้วไปซื้อยาฆ่าเชื้อมาทานเอง ส่งผลให้ยาทำลายเชื้อดีๆ ไปด้วย ก็เลยอาเจียน
และถ่ายเป็นน้ำติดต่อกันมา 3-4 วัน เวลาอาเจียน ก็ได้ความรู้ใหม่ว่า ถ้ายืนอาเจียน จะอึดอัดแน่นหน้าอกมาก ถึงขนาดหายใจไม่ออก
บางช่วงแน่นมาก จึงถึงขนาดคิดว่าตายแน่ๆ ถ้าฝืนอาเจียน ทีเดียว แต่แล้ว มีจังหวะหนึ่งขณะที่แน่นหน้าอก ลองนั่งลงอาเจียน
ปรากฏว่า อาการแน่นหน้าอกอย่างมากๆ หายไปเลย เลยได้ความรู้ใหม่ ที่ไม่เคยเรียนมาก่อนว่า เวลาอาเจียนให้นั่งอาเจียน
จะผ่อนคลายไม่แน่นหน้าอก จากนั้น ก็เลยนั่งอาเจียนมาโดยตลอด
ทีนี้ พออาเจียนสลับกับถ่ายไปมากๆ จนคืนวันที่ 3 ของการท้องเสีย เวลาราวๆ ตีสาม รู้สึกไม่ไหวแล้ว อึดอัดพะอึดพะอมจนนอนไม่ได้
ทรมาณตัวไปหมด จึงตัดสินใจขับรถคืนนั้นไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า ต้องนอนโรงพยาบาล ผมก็ตกใจ ไม่เคยคิดว่า
ตัวเองต้องนอนโรงพยาบาลมาก่อน เลยต่อรองกับหมอว่า ไม่นอนไม่ได้เหรอ
คุณหมอบอกว่า "คุณเสียน้ำในร่างกายไปมาก อย่าห่วงงานเกินเหตุเลย ถ้าคุณกลับไปทำงาน คุณอาจช็อคได้นะ"
ขนาดเจ็บป่วยอยู่นี้ ยังห่วงอย่างอื่นมากกว่าสุขภาพเลย ต้องให้หมอเขาชี้แนะ
ก็เลยยอมจำนน แล้วเตียงรถเข็นก็มา เราก็ต้องขึ้นนอนบนเตียง ให้เขาเจาะแขนให้น้ำเกลือ แล้วถูกเข็นขึ้นรถพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต
ทุกๆที เคยเห็นแต่ในหนังในละคร ที่เขาเข็นคนเจ็บขึ้นรถพยาบาล แต่นี่ มันเกิดขึ้นจริงๆ กับเราเลยตอนนี้ บรรยากาศอึมครึมในรถพยาบาล
ทำให้นึกถึงตอนที่เรียนพระพุทธศาสนาสมัยเป็นนักเรียน ที่ตำราบอกว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ
เลยตัดสินใจออกบวช
ส่วนตัวเรา เห็นคนเหล่านี้บ่อยครั้ง ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่วันนี้ ป่วยหนักเอง ต้องขึ้นรถพยาบาลเป็นครั้งแรกเอง รู้สึกสลดใจ นึกเข้าใจได้เลยว่า
เหตุใด เจ้าชายสิทธัตถะท่าน จึงตัดสินใจออกบวช ซึ่งในทางพระพุทธศาสนา เขาก็สอนว่า บางคน สามารถสอนใจตัวเองได้
จากเหตุการณ์รอบข้างที่เห็น ดังเช่น พระบรมศาสดา แต่บางคน เช่น ตัวเรา ไม่สามารถสอนใจตัวเองได้ จากเหตุการณ์รอบข้างที่เห็น
ต้องให้เหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้นกับตัวเราเองเสียก่อน ถึงตอนนั้น จึงจะสามารถสอนใจตัวเองได้
จากนั้น ความคิดก็สะดุดไป เมื่อรถพยาบาลเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาลสาขา ไปยังโรงพยาบาลหลัก เพียงแต่ไม่ต้องเปิดหวอรถพยาบาล
เพราะเป็นเวลาตีสามกว่าๆ ถนนหนทางโล่งมาก พอมาถึงโรงพยาบาล บรรยากาศในเตียงรวม ก็มีผู้ป่วยอยู่ร่วมกันถึง 6 ท่าน
ทางเราก็พยายามฝึกสติ ตามที่ตอนดีๆ อยู่ ก็ฝึกบ้าง ไม่ฝึกบ้างมา
แต่ในยามเจ็บป่วย ทำได้ไม่ง่ายเลย สติกระเจิดกระเจิงไปตามความทรมาณของร่างกาย ก็ได้ข้อคิดเหมือนนิทานที่เรียนสมัยประถม
บอกว่า ในฤดูฝน มดต่างพากันแสวงหาอาหาร แล้วขนมาเก็บไว้ แต่แมลงอื่น เช่น ตั๊กแตน ต่างหัวเราะมดด้วยความขบขัน
ว่าต้องเก็บอาหารทำไม อาหารมีเหลือเฟือ แต่แล้วพอฤดูแล้ง อาหารกลายเป็นไม่มี พวกมดก็ได้อาหารที่เก็บไว้ เป็นที่พึ่ง
ส่วนตั๊กแตนแทบจะอดตาย จึงมาขออาหารจากมด แล้วนิทานก็จบลงตรงที่มดบอกว่า ทำไมเธอไม่รู้จักเก็บอาหารไว้ แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะ
นี่ก็เป็นข้อคิดให้กับผู้ปฏิบัติธรรมเลยว่า ยามที่ร่างกายแข็งแรงอยู่ ให้หมั่นฝึกปฏิบัติทางความเพียรเรื่อยๆไป จะเรียนมาสายไหนอย่างไร
เช่น ฝึกสติ ฝึกกำหนดลมหายใจ ฝึกนึกนิมิต ก็ให้ฝึกฝนไปตามที่ตัวชอบตัวถนัด เพราะหากจะไปรอฝึกฝนเอาตอนยามเจ็บป่วย ด้วยเห็นว่า
มีเวลาเยอะนั้น สถานการณ์มันไม่ใช่แบบนั้น มันทุกข์ทรมาณจากความเจ็บป่วยในร่างกาย สติสตางค์ที่ฝึกฝนมา ดีไม่ดีกระจัดกระจายกระเจิดกระเจิง
ไปสิ้นเลย อีกทั้ง บรรยากาศที่ในโรงพยาบาล สื่อทีวีที่เปิดขึ้นมา ล้วนมีแต่ข่าวที่สลดใจทั้งสิ้น เช่น ข่าวการเมือง ข่าวคนฆ่าตัวตาย ข่าว
ความขัดแย้งต่างๆ ในสังคม บรรยากาศเหล่านี้ ยากที่จะทำใจให้สิ้น
แต่หลังจากทางโรงพยาบาล นำอุจจาระไปตรวจ คุณหมอก็ให้ยาที่ถูกกับโรค อาการป่วยก็ทุเลาลงตามลำดับ จนคุณหมอให้ออกจาก
โรงพยาบาลได้ในช่วงบ่ายวันรุ่งขึ้นนั้นเอง ก็ถือเป็นอีกประสบการณ์ที่จะจดจำไว้สอนใจตัวเองไปตลอดเลยครับ
ขึ้นรถพยาบาล และนอนโรงพยาบาล เป็นครั้งแรกในชีวิต
แต่สำนวนโบราณเขาบอกเสมอว่า "ร้อยลี้ ย่อมมีก้าวแรก" ดังนั้น เหตุการณ์ใดๆ ที่จะเกิดกับเราต่อไปในอนาคต ก็จะต้องมีครั้งแรก
จากอาการแรกเริ่ม คือท้องเสีย แล้วไปซื้อยาฆ่าเชื้อมาทานเอง ส่งผลให้ยาทำลายเชื้อดีๆ ไปด้วย ก็เลยอาเจียน
และถ่ายเป็นน้ำติดต่อกันมา 3-4 วัน เวลาอาเจียน ก็ได้ความรู้ใหม่ว่า ถ้ายืนอาเจียน จะอึดอัดแน่นหน้าอกมาก ถึงขนาดหายใจไม่ออก
บางช่วงแน่นมาก จึงถึงขนาดคิดว่าตายแน่ๆ ถ้าฝืนอาเจียน ทีเดียว แต่แล้ว มีจังหวะหนึ่งขณะที่แน่นหน้าอก ลองนั่งลงอาเจียน
ปรากฏว่า อาการแน่นหน้าอกอย่างมากๆ หายไปเลย เลยได้ความรู้ใหม่ ที่ไม่เคยเรียนมาก่อนว่า เวลาอาเจียนให้นั่งอาเจียน
จะผ่อนคลายไม่แน่นหน้าอก จากนั้น ก็เลยนั่งอาเจียนมาโดยตลอด
ทีนี้ พออาเจียนสลับกับถ่ายไปมากๆ จนคืนวันที่ 3 ของการท้องเสีย เวลาราวๆ ตีสาม รู้สึกไม่ไหวแล้ว อึดอัดพะอึดพะอมจนนอนไม่ได้
ทรมาณตัวไปหมด จึงตัดสินใจขับรถคืนนั้นไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า ต้องนอนโรงพยาบาล ผมก็ตกใจ ไม่เคยคิดว่า
ตัวเองต้องนอนโรงพยาบาลมาก่อน เลยต่อรองกับหมอว่า ไม่นอนไม่ได้เหรอ
คุณหมอบอกว่า "คุณเสียน้ำในร่างกายไปมาก อย่าห่วงงานเกินเหตุเลย ถ้าคุณกลับไปทำงาน คุณอาจช็อคได้นะ"
ขนาดเจ็บป่วยอยู่นี้ ยังห่วงอย่างอื่นมากกว่าสุขภาพเลย ต้องให้หมอเขาชี้แนะ
ก็เลยยอมจำนน แล้วเตียงรถเข็นก็มา เราก็ต้องขึ้นนอนบนเตียง ให้เขาเจาะแขนให้น้ำเกลือ แล้วถูกเข็นขึ้นรถพยาบาลเป็นครั้งแรกในชีวิต
ทุกๆที เคยเห็นแต่ในหนังในละคร ที่เขาเข็นคนเจ็บขึ้นรถพยาบาล แต่นี่ มันเกิดขึ้นจริงๆ กับเราเลยตอนนี้ บรรยากาศอึมครึมในรถพยาบาล
ทำให้นึกถึงตอนที่เรียนพระพุทธศาสนาสมัยเป็นนักเรียน ที่ตำราบอกว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ
เลยตัดสินใจออกบวช
ส่วนตัวเรา เห็นคนเหล่านี้บ่อยครั้ง ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่วันนี้ ป่วยหนักเอง ต้องขึ้นรถพยาบาลเป็นครั้งแรกเอง รู้สึกสลดใจ นึกเข้าใจได้เลยว่า
เหตุใด เจ้าชายสิทธัตถะท่าน จึงตัดสินใจออกบวช ซึ่งในทางพระพุทธศาสนา เขาก็สอนว่า บางคน สามารถสอนใจตัวเองได้
จากเหตุการณ์รอบข้างที่เห็น ดังเช่น พระบรมศาสดา แต่บางคน เช่น ตัวเรา ไม่สามารถสอนใจตัวเองได้ จากเหตุการณ์รอบข้างที่เห็น
ต้องให้เหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้นกับตัวเราเองเสียก่อน ถึงตอนนั้น จึงจะสามารถสอนใจตัวเองได้
จากนั้น ความคิดก็สะดุดไป เมื่อรถพยาบาลเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาลสาขา ไปยังโรงพยาบาลหลัก เพียงแต่ไม่ต้องเปิดหวอรถพยาบาล
เพราะเป็นเวลาตีสามกว่าๆ ถนนหนทางโล่งมาก พอมาถึงโรงพยาบาล บรรยากาศในเตียงรวม ก็มีผู้ป่วยอยู่ร่วมกันถึง 6 ท่าน
ทางเราก็พยายามฝึกสติ ตามที่ตอนดีๆ อยู่ ก็ฝึกบ้าง ไม่ฝึกบ้างมา
แต่ในยามเจ็บป่วย ทำได้ไม่ง่ายเลย สติกระเจิดกระเจิงไปตามความทรมาณของร่างกาย ก็ได้ข้อคิดเหมือนนิทานที่เรียนสมัยประถม
บอกว่า ในฤดูฝน มดต่างพากันแสวงหาอาหาร แล้วขนมาเก็บไว้ แต่แมลงอื่น เช่น ตั๊กแตน ต่างหัวเราะมดด้วยความขบขัน
ว่าต้องเก็บอาหารทำไม อาหารมีเหลือเฟือ แต่แล้วพอฤดูแล้ง อาหารกลายเป็นไม่มี พวกมดก็ได้อาหารที่เก็บไว้ เป็นที่พึ่ง
ส่วนตั๊กแตนแทบจะอดตาย จึงมาขออาหารจากมด แล้วนิทานก็จบลงตรงที่มดบอกว่า ทำไมเธอไม่รู้จักเก็บอาหารไว้ แล้วตอนนี้เป็นไงล่ะ
นี่ก็เป็นข้อคิดให้กับผู้ปฏิบัติธรรมเลยว่า ยามที่ร่างกายแข็งแรงอยู่ ให้หมั่นฝึกปฏิบัติทางความเพียรเรื่อยๆไป จะเรียนมาสายไหนอย่างไร
เช่น ฝึกสติ ฝึกกำหนดลมหายใจ ฝึกนึกนิมิต ก็ให้ฝึกฝนไปตามที่ตัวชอบตัวถนัด เพราะหากจะไปรอฝึกฝนเอาตอนยามเจ็บป่วย ด้วยเห็นว่า
มีเวลาเยอะนั้น สถานการณ์มันไม่ใช่แบบนั้น มันทุกข์ทรมาณจากความเจ็บป่วยในร่างกาย สติสตางค์ที่ฝึกฝนมา ดีไม่ดีกระจัดกระจายกระเจิดกระเจิง
ไปสิ้นเลย อีกทั้ง บรรยากาศที่ในโรงพยาบาล สื่อทีวีที่เปิดขึ้นมา ล้วนมีแต่ข่าวที่สลดใจทั้งสิ้น เช่น ข่าวการเมือง ข่าวคนฆ่าตัวตาย ข่าว
ความขัดแย้งต่างๆ ในสังคม บรรยากาศเหล่านี้ ยากที่จะทำใจให้สิ้น
แต่หลังจากทางโรงพยาบาล นำอุจจาระไปตรวจ คุณหมอก็ให้ยาที่ถูกกับโรค อาการป่วยก็ทุเลาลงตามลำดับ จนคุณหมอให้ออกจาก
โรงพยาบาลได้ในช่วงบ่ายวันรุ่งขึ้นนั้นเอง ก็ถือเป็นอีกประสบการณ์ที่จะจดจำไว้สอนใจตัวเองไปตลอดเลยครับ