ย้อนไทม์ไลน์ วัฒนธรรม iPhone 12 ปี 24 รุ่น

กระทู้ข่าว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรารู้จัก iPhone ในฐานะจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยี นับตั้งแต่ปี 2550 ที่ Steve Job แนะนำ iPhone รุ่นแรกให้โลกรู้จักในวันที่ 9 มกราคม ด้วยสมาร์ทโฟนขนาดหน้าจอ 3.5 นิ้ว ที่มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานสุดล้ำของผู้ใช้ในยุคนั้น 

ก่อนที่ปีต่อมา iPhone 3G กลับมา ถึงแม้หน้าจอไม่ได้ต่างไปจากเดิม แต่ก็เป็นรุ่นเปิดโลกอินเทอร์เน็ต และรองรับ 3G รุ่นแรก ขณะที่ iPhone 3GS ที่ออกมาปี 2552 ที่มีนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของ S ซึ่งมาพร้อมเข็มทิศ และพลังแห่งสปีด

ยุคของหน้าจอ 3.5 สิ้นสุดที่รุ่นของ iPhone 4 และ iPhone 4s ที่เปิดตัวในปี 2553 และ 2554 ตามลำดับ สำหรับ iPhone 4 มาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า All New Design กรอบเหลี่ยม กระจกล้วน ส่วน iPhone 4s เป็นการมาครั้งแรกของระบบสั่งการด้วยเสียงอัจฉริยะ หรือ Siri 

แต่แล้ว iPhone ก็เริ่มศักราชหน้าจอขนาด 4.0 กับ iPhone 5 ในปี 2555 และเป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินเปิดตัวพอร์ต Lightning ซึ่งกำลังจะมาเปลี่ยนเรื่องราวในอนาคตแบบที่หลายคนในยุคนั้นไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น 

ถัดมาในปี 2556 มีการปรากฏตัวของ iPhone 2 รุ่น คือ iPhone 5s ที่มาพร้อมกับระบบสแกนนิ้ว Touch ID ครั้งแรก ตามมาด้วย iPhone 5c ที่แม้จะไม่มี Touch ID เหมือนกับ iPhone 5S แต่มีสีสันสดใสเป็นไฮไลท์ ที่เปิดตัวในราคาย่อมเยาว์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา 

ในปี 2557 Apple ได้เปิดตัวออกมาอีก 2 รุ่น ได้แก่ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น มีการออกแบบหน้าจอใหม่ทั้งหมด มีขนาด 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้วตามลำดับ และมียอดการสั่งจองทุบสถิติถล่มทลายจน apple ต้องบันทึกสถิติไว้ อีก 2 รุ่นที่ปล่อยออกมาในปีใกล้กัน มีขนาดหน้าจอเท่า iPhone 6 คือ iPhone 6s และ 6s Plus มาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษคือ ระบบสัมผัสแบบ 3D Touch เป็นครั้งแรก และได้เพิ่มสีพิเศษอีกหนึ่งสีคือ สีทองกุหลาบ (โรสโกลด์) จากเดิมที่มีสีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง

ต่อมาในปี 2559 ช่วงเดือนมีนาคม ได้เปิดตัว iPhone SE ที่มีแรงบัลดาลใจในการพัฒนาต่อยอดมาจาก iPhone 5S มีขนาดหน้าจอแสดงผลอยู่ที่ 4 นิ้ว และมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับ iPhone 5S เกือบทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างจาก iPhone 5S ก็คือฮาร์ดแวร์ที่นำฮาร์ดแวร์ของ iPhone 6S มาใส่ไว้ใน iPhone SE อีกหนึ่งรุ่นที่ปล่อยออกมาช่วงต้นกันยายนในปีเดียวกัน คือ iPhone 7, 7 Plus ความพิเศษของทั้ง 2 รุ่นคือความสามารถในการป้องกันน้ำและป้องกันฝุ่น อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ Apple ตัดสินใจนำแจ็คหูฟังออกจาก iPhone และใช้พอร์ต Lightning ในการเชื่อมต่อหูฟังแทน

ในช่วงหลังๆ iPhone ค่อนข้างให้ความสำคัญกับกล้องเป็นพิเศษ อย่างเช่นรุ่นนี้ที่ มีการปรับปรุงกล้องถ่ายรูปด้านหน้าให้มีความละเอียดมากขึ้นจากความละเอียด 5 ล้านพิกเซลเป็น 7 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องถ่ายรูปด้านหลังมีความละเอียดเท่ากับ iPhone 6S แต่มีการเพิ่มเลนส์สำหรับการถ่ายรูปเข้าไปอีก 6 เลนส์ รูรับแสง f/1.8 แต่สำหรับ iPhone 7 Plus นั้นได้มีการเพิ่มกล้องถ่ายรูปคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเลนส์ telephoto ทำให้สามารถซูมแบบ Optical zoom ได้ 2 เท่า และซูมแบบ Digital zoom ได้ 10 เท่า รูรับแสง f/2.8 เรียกได้ว่า เอาใจคอถ่ายรูปสุดๆ

ส่วนปี 2560 เป็นปีของ iPhone 8, 8 Plus และ iPhone X สำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เหมือนกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่แตกต่างที่การเพิ่มกระจกนิรภัยทั้งด้านหน้าและด้านหลังทำให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น และนับเป็นการเปิดศักราชใหม่กับการชาร์จแบบไร้สาย นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มความสามารถของกล้องถ่ายรูปให้สามารถถ่ายรูปในโหมดที่หลากหลายขึ้น

สำหรับ iPhone X นับเป็นรุ่นแบบ Hi-End เพราะมีเทคโนโลยีล้ำสมัย มีออกแบบหน้าจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว ถูกดีไซน์ให้มีขอบจอที่เล็กลง ตัดปุ่มด้านหน้าของเครื่องออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งานหน้าจอแสดงผลให้มากขึ้น  มาพร้อมกับกล้องหลังคู่ ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้างความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 ซึ่งประกอบด้วยชุดเลนส์หกชิ้น ที่มาพร้อมกับเลนส์ telephoto รูรับแสง f/2.4 และมี Flash LED แบบทรูโทน ส่วนกล้องหน้า “TrueDepth” มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และมีเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ซึ่งใช้ร่วมกับแอนิโมจิ และ Face ID การปลดล็อคด้วยใบหน้า ส่วนระบบการชาร์จจะเป็นสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จแบบเร็วได้แล้วในพอร์ต Lightning ถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบครันในการถ่ายรูปเป็นอย่างมากเพราะมีเหล่าฟีเจอร์ที่คอยสนับสนุนในการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก

iPhone 2018 ออกมา 3 รุ่นตาม ได้แก่ iPhone Xs และ iPhone Xs Max ที่เป็นหน้าจอ OLED สองขนาด กับ iPhone XR ที่เป็นหน้าจอ LCD มีราคาถูกลงมา โดยทุกรุ่นจะมีดีไซน์แนวเดียวกับ iPhone X มีรอยบากกันหมดทุกรุ่น ถึงเวลาบอกลา iPhone ดีไซน์เดิมๆ แล้ว 

iPhone XS & iPhone XS Max ดีไซน์สไตล์เดียวกับ iPhone X ใช้วัสดุเกรดเดียวกับเครื่องมือผ่าตัด พร้อมกระจกหน้าจอที่แข็งแกร่งที่สุดในวงการสมาร์ทโฟน มี 3 สี Gold, Silver, Space Gray กันน้ำได้ iPhone XS หน้าจอ OLED Super Retina 5.8 นิ้ว และ iPhone XS Max จอใหญ่ 6.5 นิ้ว ทั้ง 2 รุ่นรองรับ 3D Touch ความพิเศษ Face ID กับกล้อง TrueDepth ที่อยู่ในรอยบาก มีระบบความปลอดภัย Secure Enclave ทำงานได้รวดเร็วกว่าเดิม

เอาใจคนชอบถ่ายภาพด้วย กล้องหลัง 2 เลนส์ เป็นเซ็นเซอร์ตัวใหม่ Wide-angel 12MP มี f/1.8 + Telephoto 12MP f/2.4 พร้อมแฟลช True Tone ส่วนกล้องหน้า RGB 7MP f/2.2 พร้อม IR camera และ Dot Projector เซ็นเซอร์เร็วกว่าเดิม รวมถึงมีตัวประมวลผลภาพจะทำงานร่วมกับ Neural Engine ช่วยให้ประมวลผลการถ่ายภาพได้ฉลาดกว่าเดิม และมีฟีเจอร์อื่นๆ อีกเยอะมาก

สำหรับความอึดของแบตนั้น iPhone XS แบตเตอรี่อยู่ได้นานกว่า iPhone X 30 นาที ส่วน iPhone XS Max อยู่ได้นานกว่า iPhone X 90 นาที

อีกรุ่นคือ iPhone XR ดีไซน์สไตล์เดียวกับ iPhone X มีให้เลือกหลากหลายสีสัน มีทั้งสีขาว, ดำ, ฟ้า, ชมพู, เหลือง หน้าจอ LCD Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้วตาม มีหน้าจอใหญ่กว่า iPhone 8 Plus แต่ตัวเครื่องเล็กกว่าเดิม แต่ไม่มี 3D Touch รุ่นนี้มีกล้องหลังเลนส์เดียว Wide-angel 12MP เป็นเซ็นเซอร์ตัวใหม่ f/1.8 แต่ก็ยังสามารถถ่าย Portrait Mode ด้วยการปรับภาพให้ภาพหลังวัตถุเบลอหลังจากถ่ายแล้ว สำหรับแบตเตอรี่อยู่ได้นานกว่า iPhone 8 Plus 90 นาที

และใหม่ล่าสุดของ iPhone 2019 ที่เปิดตัวใหม่พร้อมกัน 3 รุ่นคือ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro MAX สำหรับรุ่นแรก iPhone 11 ที่ถูกเคลมว่ามี CPU เร็วที่สุดในจักรวาลสมาร์ทโฟน มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 6.1 นอกจากนี้ยังมี 6 สีโทนพาสเทลให้เลือกสรรตามใจชอบ และเอาใจคนถ่ายภาพด้วยกล้อง 2 ตัวหลัง ตัวแรก 12 ล้านพิกเซล WIDE Camera ระยะ 26 mm F-stop 1.8 ตัวที่2 ระยะ 12 ล้านพิกเซล ULTRA WIDE Camera ระยะ 13 mm F-stop 2.4 และไม่พอเพราะแบตเตอรี่อึดกว่า iphoneXR 1 ชั่วโมง ตบท้ายด้วยคุณสมบัติกันน้ำลึก 2 เมตร นาน 30 นาที

สำหรับอีก 2 รุ่น คือ iPhone 11 Pro ขนาดจอ 5.8 นิ้ว และมีขนาดหน้าจอแสดงผลเล็กกว่า iPhone 11 Pro MAX ที่มีหน้าจอ 6.5 และยังถูกเคลมว่าใหญ่ที่สุด คุณสมบัติของ 2 รุ่นนี้คือ มีกล้อง 3 ตัว เยอะที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยตัวแรก 12 ล้านพิกเซล WIDE Camera ระยะ 26 mm F-stop 1.8 ตัวที่ 2 ระยะ 12 ล้านพิกเซล TELEPHOTO Camera ระยะ 52 mm F-stop 2.0 และตัวที่3 ระยะ 12 ล้านพิกเซล ULTRA WIDE Camera ระยะ 13 mm F-stop 2.4 มาพร้อมกับสี 4 สีโทนเข้มขรึม midnight green, sliver, space gray และ gold และยังมีคุณสมบัติกันน้ำลึก 4 เมตรอีกด้วย ทั้ง 2 รุ่นแตกต่างกันที่ iPhone11 Pro แบตเตอรี่อึดว่า iPhone XS 4 ชั่วโมง แต่ iPhone11 Pro Max แบตอึดกว่า iPhone XS Max 5 ชั่วโมง

สังเกตได้ว่าในช่วงหลัง iPhone หันมาเน้นการพัฒนาฟีเจอร์ด้านการถ่ายภาพเป็นหลัก แม้ว่าจะไม่ได้มีนวัตกรรมที่หวือหวาออกมาให้เห็นมากเท่าแบรนด์อื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา แต่การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทำให้ยัง iPhone ยังคงได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกอยู่เสมอ และเป็นที่น่าจับตาว่าในปีต่อไป Apple จะใช้กลยุทธ์ หรืออะไรมามัดใจลูกค้าในอนาคต

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/846944

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่