เมื่อต้องเดินทางตามลำพัง ไปยังเมืองที่ไม่ได้อยู่ในความใฝ่ฝันมาก่อนอย่าง สิงคโปร์ เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากบอส
สิ่งที่พบเจอในการเดินทางครั้งนี้ กลายเป็นประสบการณ์ล้ำค่าของเรา ที่ช่วยเปิดหู เปิดตา และเปิดใจให้รับรู้ถึงความงดงามของการเดินทางอีกรูปแบบหนึ่ง
สิงคโปร์ เป็นต่างประเทศที่เที่ยวง่ายของนักเดินทางชาวไทย เฉพาะคนใกล้ตัวเราหลายคน ก็ไปสิงคโปร์บ่อยกว่าไปสิงห์บุรีเสียอีก (สิงหปุระเหมือนกัน)
อาจเป็นเพราะไม่ต้องขอวีซ่า ค่าเครื่องบินถูกเพราะอยู่ไม่ไกล ความสะดวกในการเดินทางเมื่ออยู่ที่สิงคโปร์ ความสะอาดและความปลอดภัยที่ใครๆ ก็ยอมรับเป็นเสียงเดียวกัน
และที่สำคัญคือ ความศิวิไลซ์ของสิงคโปร์ ที่ทำให้สิงคโปร์เหมาะจะเป็นบทที่หนึ่งของการเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนของคนไทย หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องติดอยู่ในลิสต์ของจุดหมายปลายทาง ที่นักเดินทางทั่วโลกต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต
แต่ดูเหมือนคุณสมบัติเหล่านั้นของสิงคโปร์...ไม่ได้ดึงดูดคนอย่างเราเอาเสียเลย
เราก็ชอบท่องเที่ยวเหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไปนั่นแหละ แต่เราชอบเที่ยวแนวธรรมชาติ ทั้งทะเล น้ำตก ภูเขา และแนววัฒนธรรม
เชียงใหม่ กระบี่ เลยเป็นที่ที่เราไปบ่อยที่สุดในไทย
เราเคยไปต่างประเทศแค่ครั้งเดียวคือ ไต้หวัน ทริปต่างแดนครั้งแรก ถ้าไม่นับข้ามเขตไป ปาดังเบซาร์ สองชั่วโมงตอนเด็กกับพ่อแม่
เที่ยวต่างประเทศครั้งแรกก็อยากให้เป็นทริปที่สำคัญและน่าจดจำ เลยเลือกเป็นประเทศจีน เพราะได้ครบทั้ง ธรรมชาติที่สวยงามอลังการ วัฒนธรรมที่เก่าแก่สืบทอดมาอย่างยาวนาน และด้วยความที่อยากกลับไปสัมผัสแผ่นดินของบรรพบุรุษด้วย
แต่ท้ายที่สุด ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ก็เคาะออกมาเป็นไต้หวันแทน ซึ่งจะว่าไปไต้หวันนี่ก็จีนแท้ๆ ดั้งเดิมเหมือนกัน ภูมิประเทศอาจไม่ยิ่งใหญ่เท่า แต่ด้านวัฒนธรรม จีนไต้หวันยังรักษาไว้ได้ดีกว่าจีนแผ่นดินใหญ่เสียอีก
พอได้ไปสัมผัสไต้หวันจริงๆ นอกจากเรื่องทัศนียภาพและวัฒนธรรมที่ตามหา เราได้พบกับความเจริญของสังคมเมือง ความมีระเบียบวินัย และรู้หน้าที่ของพลเมืองส่วนใหญ่เป็นครั้งแรก
เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นในกรุงเทพมหานครมาก่อน ยิ่งทำให้ประทับใจในการเดินทางต่างแดนครั้งนี้ และอยากจะกลับไปไต้หวันอีกเสมอเมื่อมีโอกาส
ระหว่างคิดว่า ทริปต่อไปจะเป็นที่ไหนดีระหว่าง อินเดีย กับ จีน เราก็ได้รับใบสั่งให้ไปสิงคโปร์เพื่อปฏิบัติภารกิจบางอย่าง ซึ่งอันที่จริง ภารกิจนี้ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร แค่บินไปวันเดียว เสร็จงานบินกลับค่ำวันนั้นเลยก็ยังได้
แต่เหมือนบอสคงอยากให้เราได้ไปเปิดหูเปิดตา เลยจองเที่ยวบินพร้อมห้องพักให้สองคืน บวก pocket money เสร็จงานก็มีเวลาเที่ยวต่ออีกสองวัน
ทริปฉุกละหุกนี้ ต้องบอกว่าไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ เพราะการขอวีซ่าครั้งแรก ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ไปต่างประเทศครั้งแรก นอนดอร์มครั้งแรก จบไปแล้วตั้งแต่ทริปไต้หวัน
เมืองท่าอย่าง สิงคโปร์ หรือ ฮ่องกง คงจะมีแต่ความเจริญด้านวัตถุ มีแต่ตึกสูงๆ เป็นทิวแถว คงไม่มีอะไรให้คนอย่างเราตามหา คงไม่มีอะไรให้เราจดจำ นี่คือความรู้สึกก่อนจะออกเดินทาง
เมื่อถึงเวลาเดินทาง ก็จัดกระเป๋า แล้วไปขึ้นเครื่องบินโดยที่ไม่หาข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ก็เห็นเขาว่าง่าย งั้นก็ด้นสดได้เลย ยกเว้นที่พักที่ถูกจองไว้แล้วตามใบสั่งเท่านั้น
อึดใจเดียวก็มาถึงสนามบิน Changi แล้ว เปิดโทรศัพท์ก็ปรับเวลาอัตโนมัติ เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ผ่านด่านตรวจมานั่งงงๆ อึนๆ พักนึง ประมาณว่า เออ! มาถึงแล้วนะ
แล้วเริ่มวางแผนคร่าวๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่ในช่วงสามวันนี้
คงไม่เล่าว่าแผนวันแรกคืออะไร ไปที่ไหนเวลาเท่าไหร่ ขึ้นรถสายไหน เพราะเชื่อว่านักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่มากันบ่อยแล้ว คลิปแนะนำที่ท่องเที่ยวที่กินในสิงคโปร์ก็เยอะมาก จนดูไม่หมด
เลยเขียนเป็น บันทึกความทรงจำการท่องเที่ยวของตัวเองดีกว่า ว่ามุมมองที่มีต่อสิงคโปร์ก่อนมา และหลังมา เปลี่ยนไปอย่างไร รวมทั้งความประทับใจที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ นี้
ก่อนจะมา สิงคโปร์ในความเข้าใจของเราคือ ร้อน สภาพอากาศในกรุงเทพฯ ก็แย่มากแล้ว นี่ใกล้เส้นศูนย์สูตรขนาดนี้ จะมีอารมณ์เดินชมเมืองชิลชิลได้ไง จินตนาการถึงเหงื่อท่วมตัวขณะเดินในสิงคโปร์
แต่พอมาถึง เฮ้ย! มันก็ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นนี่หว่า! คือรู้สึกไม่ต่างจากตอนอยู่กรุงเทพฯ คือที่นี่มันคงมีหน้าร้อนแหละ แต่สภาพอากาศแบบนี้นี่ชิลมาก
เคยเดินแถวนิมมานฯ เชียงใหม่ ช่วงมีนาคม เหมือนเดินตามหลังหลวงปู่เค็ม ฉะนั้น อากาศที่สิงคโปร์นี่ สิวๆ เลย อาจจะเป็นเพราะมีลมทะเลพัดตลอด ความร้อนเลยไม่สะสมก็เป็นได้
ก่อนจะมา คิดว่าสิงคโปร์มีแต่ตึกแต่ปูน มาถึงพบว่า อุเหม่! เขียวกว่าบ้านเฮานักขนาด ตามถนนหนทางปลูกต้นไม้ร่มรื่นเต็มไปหมด นี่อาจเป็นอีกสาเหตุที่เมืองสิงคโปร์ไม่ร้อนอย่างที่เรานึก
ก่อนจะมา รู้สึกว่าสิงคโปร์แคบ ดูจากแผนที่ เกาะเล็กมาก เดินก็น่าจะถึงหมด พื้นที่คงประมาณเกาะสีชัง คนบนเกาะน่าจะรู้จักกันหมดทุกคน เจอหน้ากันทุกวันในรถไฟฟ้า
พอมาถึงจริงๆ พบว่ามันก็ไม่ได้แคบขนาดนั้นนะ มันก็กว้างใช้ได้เลยแหละ เดินสามวันยังเก็บได้ไม่กี่ที่เอง เช็คกูเกิลถึงรู้ว่าขนาดใหญ่กว่าภูเก็ตอีก ที่แคบจริงๆ คือมุมมองเราเองต่างหาก
การคมนาคม การจราจร เป็นสิ่งแรกๆ ที่สังเกตเห็น สิงคโปร์มีรถน้อยมาก เมื่อเทียบกับมหานครอย่างกรุงเทพฯ แต่นั่นทำให้การจราจรมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้คนไม่ต้องเสียเวลาชีวิตไปกับการเดินทาง
มีเวลาทำงานเต็มประสิทธิภาพ มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ได้ใช้ชีวิตมากกว่าเราวันละสองสามชั่วโมง นี่อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์พัฒนาได้อย่างรวดเร็วแบบที่เห็น
รถส่วนตัวมีน้อยได้ เพราะมีระบบขนส่งมวลชนที่ยอดเยี่ยม อยู่ที่นี่เดินทางด้วย MRT สะดวกรวดเร็วที่สุดแล้ว แถมราคายังถูกมากๆ อีกด้วย เราเดินทางด้วย MRT สามวันยังไม่ถึงสิบเหรียญเลย เทียบกับบ้านเรา ไปกลับสองเที่ยว วันเดียวร้อยกว่าบาทแล้ว ยังไม่นับเปลี่ยนสถานีแบบข้ามค่ายต้องจ่ายอีกต่อ
นอกจากราคาจะสมเหตุสมผล MRT ยังครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่บนเกาะเป็นใยแมงมุม ทำให้เราสามารถปิดจ๊อบที่ได้รับมอบหมายสามจุดในเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น เห็นแบบนี้แล้วก็อยากให้รถไฟฟ้าทุกสายในกรุงเทพฯ เปิดใช้งานเร็วๆ ปัญหาการจราจรบ้านเราจะได้ดีขึ้น
ไม่เพียงแต่ MRT ที่สะดวกสบาย ทางเดินเท้าในสิงคโปร์ยังน่าเดินมากๆ บาทวิถีกว้าง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ถนนมาขวางเกะกะ ไม่มีมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า สมเป็นเมืองที่พัฒนาแล้ว เหมือนกับที่เห็นที่ ไทเป
คนเมืองสัญจรด้วยเท้า ปั่นจักรยาน เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ลำดับความสำคัญคือคนเดินเท้ามาก่อน รถยนต์ส่วนบุคคลอยู่ท้ายสุด รถติดจึงน้อยกว่าที่บ้านเรา
เมื่อทางเท้าสะดวก ปลอดภัย น่าเดิน พลเมืองก็ได้ออกกำลังกาย รถยนต์น้อย ถนนปลอดภัย มลพิษทางอากาศน้อย ต้นไม้ร่มรื่น เมืองสวยสะอาดตา สุขภาพกายก็ดี สุขภาพจิตก็ดีตาม
แต่ไม่ใช่ว่าที่นี่คนเดินเท้าจะทำอะไรก็ได้ เรามาถึงจะข้ามถนนตรงทางม้าลาย พอเห็นไม่มีรถก็ข้ามเลยตามนิสัย สักพักถึงได้สังเกตเห็นว่า ทุกแยกมีไฟจราจรให้คนข้ามถนนกดขอสัญญาณ
คือที่กรุงเทพฯ ก็มีนานแล้ว แต่มันไม่ได้ใช้กันจริงจังทั่วไป มันเป็นเรื่องของวินัยในการใช้ทางสัญจรที่น่าชื่นชม
หลังจากนั้นก็ไม่กล้าข้ามถนนสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่รู้จะโดนจับปรับไหม ได้ยินว่าที่นี่โหดมาก อาจโดนตำรวจจับได้โดยไม่รู้ตัว แต่ก็แอบเห็นคนข้ามเลยเหมือนกันนะ
ในเรื่องจราจรพูดถึงด้านดีของที่นี่มาหมดแล้ว ด้านแย่ก็มีให้เห็นอยู่อย่างหนึ่ง คือทัศนคติของคนมีรถยนต์ขับ ในสามวันที่นี่เราเห็นคนขับรถมารยาททรามอยู่เจ็ดแปดราย คือไม่ใส่ใจคนข้ามถนน
บางคันขับมาเร็ว คนข้ามถนนอยู่ห้าหกคนก็ไม่สนใจ บีบแตรใส่อย่างเดียวไม่เบรคเลย เกือบชนคนข้ามถนนเลยทีเดียว เห็นสองสามครั้งแรก ก็ยังไม่คิดอะไรมาก ตอนหลังนี่ชักสงสัยว่า…
คนพวกนี้มีอคติอะไรกับคนข้ามถนนหรือเปล่า?
เรื่องต่อมาคือ ความสะอาด เออ! เฮ้ย! บ้านเมืองเขาสะอาดจริงๆ อย่างที่ได้ยินนั่นแหละ พอมีบ้างบางมุมที่ไม่น่าดู แต่เทียบกับบ้านเราแล้ว ห่างไกลกันมากจริงๆ ทางเดินสวยสะอาดตา ไม่มีกองขยะเหม็นเน่าพันปี ไม่มีขี้หมาเปียกขี้หมาแห้งบนพื้นปูน ไม่มีหลุมบ่อน้ำขังสกปรกตามบาทวิถี สิ่งนี้มันสะท้อนถึงจิตสำนึกต่อส่วนรวมที่คาดว่าหายากมากๆ ในบางประเทศ
ต่อให้บ้านเมืองพัฒนาไปเท่ากันได้ แต่ความเห็นแก่ตัว ก็จะเป็นที่มาของกองขี้หมาบนทางเท้า น้ำล้างหม้อไหของร้านอาหารหาบเร่แผงลอยที่กัดเซาะผิวทาง และเป็นสาเหตุของน้ำกระฉอกใส่ตีนเวลาเราเดินย่ำ
ที่สิงคโปร์ไม่ใช่แค่ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน แต่ร้านรวงที่ติดถนนก็มีวินัย วางสินค้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่รกรุงรังหรือเกะกะกีดขวางทางเดินทางสัญจร ดูสบายตาเวลาเดินผ่าน
คู่กับเรื่องความสะอาด ก็คือความปลอดภัย
เรื่องแรกคือความปลอดภัยจากการก่อสร้าง ในสถานที่ที่มีการก่อสร้าง จะมีการปักปันเขตอย่างชัดเจน มีรั้วรอบขอบชิด ปิดบังสายตาคนภายนอก ทั้งดูสะอาดและปลอดภัย ไม่มีการสร้างกำแพงรุกล้ำออกมาในบริเวณที่สาธารณะ หรือวางวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ บนทางสัญจร
ต่างกับที่บ้านเราจริงๆ บางทีเจาะถนน แล้วเอาอะไรต่อมิอะไรมาวางขวางบนทางเท้าจนเดินไม่ได้ แล้วปล่อยอยู่อย่างนั้นเป็นเดือนๆ ไม่มีการดูแลความปลอดภัยให้กับพลเมืองที่ต้องอาศัยสัญจร
สิงคโปร์ ไม่ได้ยาว 8 เมตร วันแรกไม่อยากไป วันต่อไปไม่อยากกลับ