ออกจาก comfort zone เข้าสู่ Holy Zone 🌈
การตัดสินใจออกจากพื้นที่ที่เรารู้สึกว่าสบาย ดี มีอนาคต บางครั้งมันก็ตัดสินใจยากเหมือนกันแหะ 🤔
👉 ตั้งแต่เด็กเราเกิดในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ พ่อแม่แยกทางกัน มีพี่สาว 2 คน ตอนเด็กๆ ต่างคนต่างต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง (เพราะเนื่องจากแม่ไม่สามารถหาเงินมาใช้ในค่าใช้จ่ายของบ้านคนเดียวไหวได้) เลยต้องช่วยกันทำงานเพื่อให้เรามีเงินไปโรงเรียน มีเงินจ่ายค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน เรียนจันทร์ - ศุกร์ แล้วทำงาน Part time เสาร์ อาทิตย์ ทำแบบนี้ตั้งแต่ ม.1
📌 มันเลยเป็นความคิดตั้งแต่เด็กๆ ว่า เรียนจบจะต้องสอบราชการให้ได้ จะต้องซื้อบ้าน ซื้อรถ มีงานที่มั่นคง (เพื่อมาทดแทนในสิ่งที่ตอนเด็กเราไม่มี) หลังจากนั้นเป้าหมายในการเรียนก็ถูกจำกัดความแค่ว่า เรียนอะไรก็ได้ สายไหนก็ได้ ที่จบมามีคนรับเข้าทำงานเยอะๆ สามารถสอบราชการได้ คิดวนเวียนเรื่องงานตั้งแต่ตอน อายุ 15 ปี ฝึกงานก็ลงสถานที่ราชการ เรียนก็เลือกสาขาและวุฒิที่ราชการจะรับมากที่สุด ... จนเราไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย ...
🔥 เมื่อถึงช่วงชีวิตที่จบ ปวส. ก็คิดแค่ว่าจะไม่เรียนต่อและ เรามีทุนเท่านี้ เรียนแค่นี้พอ งานราชการเปิดรับเยอะมากถ้าใช้วุฒิ ปวส. (แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นดั่งใจคิด .... การสอบราชการไม่ใช่เรื่องง่าย) ต้องมีทั้งเงิน ความรู้ และที่สำคัญคือ "เส้นสายในการเข้าทำงานนั่นเอง" ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกที่ที่ต้องมีเส้นสาย แต่ยอมรับว่าเกือบทุกที่มีขั้นตอนและกระบวนการทำงานแบบนี้จริงๆ 🤨
🌟 และสุดท้ายก็ได้กลับมาเรียนมหาวิทยาลัยต่อด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทำให้มีเงินเรียน มีคณะที่สามารถเทียบโอนวุฒิได้ และมีโอกาสได้ทำงานในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ... นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่ในพื้นที่ comfort zone 555 เล่ามาตั้งนานเพิ่งเข้าประเด็น 😂ทำไมถึงเราเรียกว่า comfort zone หรอ ก็เพราะว่าเราเรียน ม.นี้ และเราได้มีโอกาสไปสอบเป็นพนักงานพิเศษใน ม. เราเรียนจันทร์ - ศุกร์และทำงาน จันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่ 08.00 - 17.00 น. และทำงานต่อช่วง 16.00 - 21.00 น. เห็นอะไรไหมนะ !! ใช่แล้ว 55 เวลาทำงานกับเวลาเรียนมันซ้อนทับกันช่วง 16.00 น. นั่นเอง การเรียนในม.บางเทอมเลิกเร็ว บางเทอมเลิกช้า ถ้าเทอมไหนเลิกช้าหลัง 16.00 น. เราก็ต้องทำการขออาจารย์ออกจากห้องเรียนก่อนเพื่อวิ่งไปทำงานให้ทันเวลา ตามงานจากเพื่อน คอยถาม คอยลอกเพื่อน (555 จริงๆ) และสุดท้ายเราก็ผูกพันกับม.แห่งนี้ ได้รู้จักอาจารย์เยอะขึ้นผ่านการทำงาน ได้มีรุ่นพี่รุ่นน้อง ได้มีเพื่อนร่วมงาน มันจึงทำให้เรามั่นใจว่าที่นี่แหละคือ comfort zone ที่แท้จริง หลังจากเรียนจบก็ตั้งใจจะสอบบรรจุที่ ม. นี้
👐 เราสอบบรรจุที่ม.นี้ 4 ครั้ง สอบข้อเขียนติด 2 ครั้งแต่ละครั้งเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อย ผลสุดท้ายเราก็ไม่ผ่านสัมภาษณ์ เพราะอาจจะมีผู้ใหญ่รู้จักไม่พอ มีประสบการณ์ไม่มากพอ การเลือกตำแหน่งสอบก็เลือกตามที่คิดว่าคนสมัครน้อย เรามีโอกาสติดเยอะ (แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เราชอบและอยากทำจริงๆ) เพราะคำว่ามั่นคง มีอนาคต มันค้ำคอเราอยู่ สุดท้ายมีผู้ใหญ่มาบอกว่า ปีหน้า 2020 จะมีคนเกษียณ จะถึงคิวเราแล้วนะ จะเป็นโอกาสของเราแล้วนะ
🤩 นาทีที่ได้ยินนั้น เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราคิดมาตลอดตั้งแต่อายุ 15 มันจะเป็นจริงแล้วใช่ไหม (ใช่ มันจะถึงคิวของเราแล้ว 55) สุดท้ายเราก็รับความหวังที่ทุกคนตั้งใจจะให้เรา งานเราไม่ถนัด เราก็ต้องอดทนทำเพื่อความมั่นคงที่เราอยากมี งานบางอย่างมันไม่ใช่ตัวเรา เราก็ต้องท่องไว้ว่าอนาคตของเรานะ เราเป็นแบบนี้อยู่ 8 เดือน กดดันตัวเอง ข่มใจตัวเอง กลับมาร้องไห้กับสิ่งที่ตัวเองทำ สุดท้ายก็เกิดความคิดนึงขึ้นมาว่า พอได้หรือยัง ? เลิกทำเพื่อคนอื่นได้หรือยัง? จะกดดันตัวเองเพื่อความสุขของคนอื่นทำไม? เราอยากเห็นครอบครัวเรามั่นคงเราเลยผูกมัดตัวเองให้เดินในทางที่ไม่ใช่ตัวเอง สุดท้ายแม่ก็มาพูดว่า ไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะ ทำงานไปถ้าเครียดก็ถอยออกมา เดี๋ยวร่างกายจะแย่ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพไปกันอีก นาทีนั้น เหมือนเราได้รับการปลดปล่อยจากคำพูดของแม่และคำพูดของคนที่เรารัก เราร้องไห้และกับมามองตัวเองว่า ตั้งแต่เด็กจนโตเราจะกดดันตัวเองเพื่ออะไร เราจะฝืนตัวเองทำไม นาทีนั้นเหมือนเราได้กับมามีสันติสุขในใจอีกครั้ง ตั้งแต่วันนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะลาออก และตัดสินใจที่จะออกจากวงการราชการที่เราคิดว่ามั่นคง มีอนาคต (ตามในความคิดเรา)
🌈 อีกนิดนะจะจบแล้ว 555 หลังจากที่เรากลับมายืนด้วยตัวเองได้ กลับมาสดใสอีกครั้ง กล้าที่จะออกจาก comfort zone แล้ว เราก็มาคิดทบทวนว่า จริงๆแล้วงานแต่ละที่มีอะไรที่แตกต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องอดทน เราไม่จำเป็นต้องฝืน สภาพแวดล้อม เพื่อนร่วมงาน ขอบเขตของงาน ถ้าไม่ใช่อย่าฝืนเลย ถ้าเราสอบบรรจุได้ เราก็ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่เราแบบนี้ ไปอีก 20 ปี 30 ปี 40 ปี เลยหรอ ? ซึ่งไม่ใช่เราคนนึงและ 555 เพราะเรากล้าที่จะออกมา จริงๆแล้วการทำงานมันขึ้นอยู่ที่ Lifestyle ของตัวเราเองล้วนๆ เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เมื่อเรากล้าที่จะก้าวออกมา ช่วงแรกปรับตัวค่อยข้างยากมาก แต่เชื่อว่า ถ้ามันใช่สำหรับเราแม้เราทำงานหนักแค่ไหน เราเหนื่อย แต่เราจะมีความสุข เราจะเต็มล้น เราจะพัฒนาต่อไปได้ เราจะไปได้ไกล ถ้าเราเจอ Lifestyle ของตัวเอง แล้วเลือกงานที่เหมาะสมกับตัวเราเอง อย่าเลือกเพราะอยากให้ครอบครัวสบายขึ้น แต่จงเลือกเพราะมันเป็นสิ่งเรารัก ถึงวันหนึ่งเราได้งานที่ทำให้ครอบครัวเราสบาย แต่ถ้าเราไม่มีความสุข คิดว่าครอบครัวเราจะมีความสุขไหมกับสิ่งที่เราหามาให้เขาแต่เราดันนั่งทุกข์ใจกับสิ่งที่ไม่ใช่ Lifestyle ของเรา ♥
------------------------------------------------------
ยาวมากจริงๆ แต่อยากจะแบ่งปันจริงๆ มันเป็นอะไรที่ดีที่เรากล้าออกมาแล้วเข้ามาสู่พื้นที่ ที่ทำตามเสียงหัวใจตัวเอง เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่นานนัก เลือกที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุด ทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย ผ่านทางตัวเอง เป็นพระพรกับผู้อื่น หากเราทุกข์อยู่เราจะเอาความสุขที่ไหนไปหยิบยื่นและแบ่งปันให้ผู้อื่นกันนะ 😁
😇นับจากวันนั้นที่ตัดสินใจออกมา ตอนนี้ได้เริ่มงานใหม่มา 1 เดือนแล้ว งานนี้เป็นงานที่ทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง Lifestyle เราเป็นแบบนี้ เราก็ควรจะใช้ในสิ่งที่เรามีเพื่อให้กับคนอื่นที่ยังขาด เราได้สร้างคน ช่วยเหลือผู้คน ผ่านทางการใช้ชีวิตของเรา ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เราพูดได้เลยว่า การออกจาก comfort zone มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ลองออกมาสิแล้วเราจะรู้ว่าโลกนี้มันยังมีอะไรอีกมากมายที่ยังรอเราอยู่ ♥
พระเจ้าเสริมกำลังทุกๆคนนะฮะ บทความนี้อยากให้เป็นประโยชน์ต่อใครอีกหลายๆคนที่มีปัญหาทำนองเดียวกัน ยังไงก็ .. ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกๆคนน้า .. ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ขอบคุณค่ะ
ปล. ตอนนี้ได้วางแผนชีวิตในเส้นทางใหม่ และได้เริ่มงานที่ใหม่แล้วนะคะ ตัดสินใจไม่ผิดเลยจริงๆ ท้ายสุดแล้ว "ถ้าเรามีใจ มันก็จะมีทางให้เราไปเสมอ ♥"
เราเชื่อแบบนั้น
ออกจาก comfort zone เข้าสู่ Holy Zone 🌈
การตัดสินใจออกจากพื้นที่ที่เรารู้สึกว่าสบาย ดี มีอนาคต บางครั้งมันก็ตัดสินใจยากเหมือนกันแหะ 🤔
👉 ตั้งแต่เด็กเราเกิดในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ พ่อแม่แยกทางกัน มีพี่สาว 2 คน ตอนเด็กๆ ต่างคนต่างต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง (เพราะเนื่องจากแม่ไม่สามารถหาเงินมาใช้ในค่าใช้จ่ายของบ้านคนเดียวไหวได้) เลยต้องช่วยกันทำงานเพื่อให้เรามีเงินไปโรงเรียน มีเงินจ่ายค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน เรียนจันทร์ - ศุกร์ แล้วทำงาน Part time เสาร์ อาทิตย์ ทำแบบนี้ตั้งแต่ ม.1
📌 มันเลยเป็นความคิดตั้งแต่เด็กๆ ว่า เรียนจบจะต้องสอบราชการให้ได้ จะต้องซื้อบ้าน ซื้อรถ มีงานที่มั่นคง (เพื่อมาทดแทนในสิ่งที่ตอนเด็กเราไม่มี) หลังจากนั้นเป้าหมายในการเรียนก็ถูกจำกัดความแค่ว่า เรียนอะไรก็ได้ สายไหนก็ได้ ที่จบมามีคนรับเข้าทำงานเยอะๆ สามารถสอบราชการได้ คิดวนเวียนเรื่องงานตั้งแต่ตอน อายุ 15 ปี ฝึกงานก็ลงสถานที่ราชการ เรียนก็เลือกสาขาและวุฒิที่ราชการจะรับมากที่สุด ... จนเราไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย ...
🔥 เมื่อถึงช่วงชีวิตที่จบ ปวส. ก็คิดแค่ว่าจะไม่เรียนต่อและ เรามีทุนเท่านี้ เรียนแค่นี้พอ งานราชการเปิดรับเยอะมากถ้าใช้วุฒิ ปวส. (แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นดั่งใจคิด .... การสอบราชการไม่ใช่เรื่องง่าย) ต้องมีทั้งเงิน ความรู้ และที่สำคัญคือ "เส้นสายในการเข้าทำงานนั่นเอง" ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกที่ที่ต้องมีเส้นสาย แต่ยอมรับว่าเกือบทุกที่มีขั้นตอนและกระบวนการทำงานแบบนี้จริงๆ 🤨
🌟 และสุดท้ายก็ได้กลับมาเรียนมหาวิทยาลัยต่อด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทำให้มีเงินเรียน มีคณะที่สามารถเทียบโอนวุฒิได้ และมีโอกาสได้ทำงานในมหาวิทยาลัยนั่นเอง ... นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่ในพื้นที่ comfort zone 555 เล่ามาตั้งนานเพิ่งเข้าประเด็น 😂ทำไมถึงเราเรียกว่า comfort zone หรอ ก็เพราะว่าเราเรียน ม.นี้ และเราได้มีโอกาสไปสอบเป็นพนักงานพิเศษใน ม. เราเรียนจันทร์ - ศุกร์และทำงาน จันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่ 08.00 - 17.00 น. และทำงานต่อช่วง 16.00 - 21.00 น. เห็นอะไรไหมนะ !! ใช่แล้ว 55 เวลาทำงานกับเวลาเรียนมันซ้อนทับกันช่วง 16.00 น. นั่นเอง การเรียนในม.บางเทอมเลิกเร็ว บางเทอมเลิกช้า ถ้าเทอมไหนเลิกช้าหลัง 16.00 น. เราก็ต้องทำการขออาจารย์ออกจากห้องเรียนก่อนเพื่อวิ่งไปทำงานให้ทันเวลา ตามงานจากเพื่อน คอยถาม คอยลอกเพื่อน (555 จริงๆ) และสุดท้ายเราก็ผูกพันกับม.แห่งนี้ ได้รู้จักอาจารย์เยอะขึ้นผ่านการทำงาน ได้มีรุ่นพี่รุ่นน้อง ได้มีเพื่อนร่วมงาน มันจึงทำให้เรามั่นใจว่าที่นี่แหละคือ comfort zone ที่แท้จริง หลังจากเรียนจบก็ตั้งใจจะสอบบรรจุที่ ม. นี้
👐 เราสอบบรรจุที่ม.นี้ 4 ครั้ง สอบข้อเขียนติด 2 ครั้งแต่ละครั้งเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อย ผลสุดท้ายเราก็ไม่ผ่านสัมภาษณ์ เพราะอาจจะมีผู้ใหญ่รู้จักไม่พอ มีประสบการณ์ไม่มากพอ การเลือกตำแหน่งสอบก็เลือกตามที่คิดว่าคนสมัครน้อย เรามีโอกาสติดเยอะ (แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เราชอบและอยากทำจริงๆ) เพราะคำว่ามั่นคง มีอนาคต มันค้ำคอเราอยู่ สุดท้ายมีผู้ใหญ่มาบอกว่า ปีหน้า 2020 จะมีคนเกษียณ จะถึงคิวเราแล้วนะ จะเป็นโอกาสของเราแล้วนะ
🤩 นาทีที่ได้ยินนั้น เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราคิดมาตลอดตั้งแต่อายุ 15 มันจะเป็นจริงแล้วใช่ไหม (ใช่ มันจะถึงคิวของเราแล้ว 55) สุดท้ายเราก็รับความหวังที่ทุกคนตั้งใจจะให้เรา งานเราไม่ถนัด เราก็ต้องอดทนทำเพื่อความมั่นคงที่เราอยากมี งานบางอย่างมันไม่ใช่ตัวเรา เราก็ต้องท่องไว้ว่าอนาคตของเรานะ เราเป็นแบบนี้อยู่ 8 เดือน กดดันตัวเอง ข่มใจตัวเอง กลับมาร้องไห้กับสิ่งที่ตัวเองทำ สุดท้ายก็เกิดความคิดนึงขึ้นมาว่า พอได้หรือยัง ? เลิกทำเพื่อคนอื่นได้หรือยัง? จะกดดันตัวเองเพื่อความสุขของคนอื่นทำไม? เราอยากเห็นครอบครัวเรามั่นคงเราเลยผูกมัดตัวเองให้เดินในทางที่ไม่ใช่ตัวเอง สุดท้ายแม่ก็มาพูดว่า ไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะ ทำงานไปถ้าเครียดก็ถอยออกมา เดี๋ยวร่างกายจะแย่ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพไปกันอีก นาทีนั้น เหมือนเราได้รับการปลดปล่อยจากคำพูดของแม่และคำพูดของคนที่เรารัก เราร้องไห้และกับมามองตัวเองว่า ตั้งแต่เด็กจนโตเราจะกดดันตัวเองเพื่ออะไร เราจะฝืนตัวเองทำไม นาทีนั้นเหมือนเราได้กับมามีสันติสุขในใจอีกครั้ง ตั้งแต่วันนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะลาออก และตัดสินใจที่จะออกจากวงการราชการที่เราคิดว่ามั่นคง มีอนาคต (ตามในความคิดเรา)
🌈 อีกนิดนะจะจบแล้ว 555 หลังจากที่เรากลับมายืนด้วยตัวเองได้ กลับมาสดใสอีกครั้ง กล้าที่จะออกจาก comfort zone แล้ว เราก็มาคิดทบทวนว่า จริงๆแล้วงานแต่ละที่มีอะไรที่แตกต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องอดทน เราไม่จำเป็นต้องฝืน สภาพแวดล้อม เพื่อนร่วมงาน ขอบเขตของงาน ถ้าไม่ใช่อย่าฝืนเลย ถ้าเราสอบบรรจุได้ เราก็ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่เราแบบนี้ ไปอีก 20 ปี 30 ปี 40 ปี เลยหรอ ? ซึ่งไม่ใช่เราคนนึงและ 555 เพราะเรากล้าที่จะออกมา จริงๆแล้วการทำงานมันขึ้นอยู่ที่ Lifestyle ของตัวเราเองล้วนๆ เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เมื่อเรากล้าที่จะก้าวออกมา ช่วงแรกปรับตัวค่อยข้างยากมาก แต่เชื่อว่า ถ้ามันใช่สำหรับเราแม้เราทำงานหนักแค่ไหน เราเหนื่อย แต่เราจะมีความสุข เราจะเต็มล้น เราจะพัฒนาต่อไปได้ เราจะไปได้ไกล ถ้าเราเจอ Lifestyle ของตัวเอง แล้วเลือกงานที่เหมาะสมกับตัวเราเอง อย่าเลือกเพราะอยากให้ครอบครัวสบายขึ้น แต่จงเลือกเพราะมันเป็นสิ่งเรารัก ถึงวันหนึ่งเราได้งานที่ทำให้ครอบครัวเราสบาย แต่ถ้าเราไม่มีความสุข คิดว่าครอบครัวเราจะมีความสุขไหมกับสิ่งที่เราหามาให้เขาแต่เราดันนั่งทุกข์ใจกับสิ่งที่ไม่ใช่ Lifestyle ของเรา ♥
------------------------------------------------------
ยาวมากจริงๆ แต่อยากจะแบ่งปันจริงๆ มันเป็นอะไรที่ดีที่เรากล้าออกมาแล้วเข้ามาสู่พื้นที่ ที่ทำตามเสียงหัวใจตัวเอง เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่นานนัก เลือกที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุด ทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย ผ่านทางตัวเอง เป็นพระพรกับผู้อื่น หากเราทุกข์อยู่เราจะเอาความสุขที่ไหนไปหยิบยื่นและแบ่งปันให้ผู้อื่นกันนะ 😁
😇นับจากวันนั้นที่ตัดสินใจออกมา ตอนนี้ได้เริ่มงานใหม่มา 1 เดือนแล้ว งานนี้เป็นงานที่ทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง Lifestyle เราเป็นแบบนี้ เราก็ควรจะใช้ในสิ่งที่เรามีเพื่อให้กับคนอื่นที่ยังขาด เราได้สร้างคน ช่วยเหลือผู้คน ผ่านทางการใช้ชีวิตของเรา ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เราพูดได้เลยว่า การออกจาก comfort zone มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ลองออกมาสิแล้วเราจะรู้ว่าโลกนี้มันยังมีอะไรอีกมากมายที่ยังรอเราอยู่ ♥
พระเจ้าเสริมกำลังทุกๆคนนะฮะ บทความนี้อยากให้เป็นประโยชน์ต่อใครอีกหลายๆคนที่มีปัญหาทำนองเดียวกัน ยังไงก็ .. ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกๆคนน้า .. ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ขอบคุณค่ะ
ปล. ตอนนี้ได้วางแผนชีวิตในเส้นทางใหม่ และได้เริ่มงานที่ใหม่แล้วนะคะ ตัดสินใจไม่ผิดเลยจริงๆ ท้ายสุดแล้ว "ถ้าเรามีใจ มันก็จะมีทางให้เราไปเสมอ ♥"
เราเชื่อแบบนั้น