รวมไฮไลต์ ROAD TRIP เกาะใต้นิวซีแลนด์ต้นฤดูหนาว ผจญภัย 14 วัน x 7 กิจกรรมสนุก ๆ ไปให้สุดด้วย Skydiving + Hiking วิวโหด


Kia ora! (แปลสวัสดีในภาษาเมารี) วันนี้โป้งจะมารีวิวทริปขับรถเที่ยวเกาะใต้หลังเรียนจบ (คอร์สภาษาระยะสั้น) ในนิวซีแลนด์กันให้ฟัง โดยความดีงามของทริปนี้เกิดขึ้นในวันที่ 16-30 มิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นช่วงเข้าหน้าหนาวพอดี ตามยอดเขามีหิมะปกคลุมยังไม่หนามากทำให้สามารถเดินเขาได้แบบไม่ต้องพกอุปกรณ์เยอะ ส่วนพื้นถนนยังสามารถขับรถได้สะดวกโดยไม่ต้องหยิบโซ่พันล้อออกมาใช้ โดยทริปนี้นอกจากจะมีโป้งกับคุณแฟนก็จะมีเพื่อน ๆ บินตามมาสมทบจากเมืองไทยอีก  4 คน รวมเป็น 6  ชีวิตในรถแวนหนึ่งคัน จะมันส์กันขนาดไหน ตามไปดูเลยค่ะ~!! ... ยิ่งใครที่สายลุยหน่อย ๆ และรักการผจญภัยอย่างกิจกรรมเดินเขา ยิ่งต้องมามุง! แถมในตอนท้ายมีแจกแพลนเที่ยวและแจงงบอย่างละเอียดด้วย : ) 

เล่าเรื่องเกี่ยวกับนิวซีแลนด์นิดนึง จะได้เห็นภาพโดยรวม
หากใครสงสัยว่า ทำไมต้องมีการเรียกว่าเกาะเหนือและเกาะใต้ นั่นก็เพราะนิวซีแลนด์เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีลักษณะเป็นเกาะกลางทะเล โดยประเทศถูกแบ่งเป็นสองฝั่งแบบขาดออกจากกันชัดเจนในแนวดิ่ง (เหนือ-ใต้) ซึ่งระยะห่างจากเกาะทั้งสองยาวประมาณ 65 กิโลเมตร ที่สำคัญคือไม่มีสร้างสะพานเชื่อมใด ๆ ทั้งสิ้น และที่เจ๋งไปกว่านั้นก็คือ ภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศของเกาะทั้งสองฝั่ง ซึ่งได้แก่ เกาะเหนือและเกาะใต้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! ส่วนตัวเรียนภาษาที่เกาะเหนือมา 6 เดือน และได้มีโอกาสไป Road Trip รอบเกาะเหนือก่อนไปลุยเกาะใต้ สังเกตได้เลยว่า วิวเกาะเหนือจะเน้นภูเขาสีเขียว ชายหาด และมหาสมุทรสุดกว้างขวาง ในขณะที่เกาะใต้จะเป็นภูเขาหิมะและทะเลสาบสีฟ้าชวนมอง ^^ นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมการรีวิวเที่ยวครั้งนี้ ถึงต้องระบุคำว่า 'เกาะใต้' ไว้นะคะ ส่วนรีวิวของเกาะเหนือจะตามมาเร็ว ๆ นี้ค่า ^^  เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากเที่ยวให้ทั่วประเทศนิวซีแลนด์แบบครบทั้งสองเกาะแนะนำให้เผื่อไว้เลย 3 สัปดาห์ (พวกเราใช้กันไป 7 ในเกาะเหนือ + 14 วันในเกาะใต้) 

ส่วนเรื่องภาษาในนิวซีแลนด์ นอกจากจะใช้ภาษาอังกฤษกันทั่วไปแล้ว ที่นี่เค้ายังให้ความสำคัญกับคนเมารีซึ่งเป็นเผ่าพื้นเมืองของประเทศด้วย ดังนั้นป้ายสัญลักษณ์และชื่อสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะสถานที่สำคัญ ๆ จะเป็นภาษาเมารีหมดเลยและออกเสียงด้วยสระ 5 ตัวเท่านั้น ได้แก่ a, e, i, o, u คราวนี้เวลาต้องอ่านชื่อสถานที่จะได้ไม่เกิดความงงหรือสงสัยกันเนอะว่าทำไมภาษาไม่คุ้นเคยเลย ส่วนตัวเราอยู่ที่นี่มาซักพักก็แอบหลงเสน่ห์ภาษาเมารีมาด้วยเหมือนกัน ฟังดูมีเสน่ห์และมีความขลังไม่น้อย ส่วนวัฒนธรรมและงานศิลปะเมารีก็จะพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศเลยค่ะ ซึ่งให้อารมณ์เดียวกันกับชาวเกาะประเทศอื่น ๆ ใครที่เคยดูการ์ตูนเรื่อง Moana จะต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะความเป็นอยู่และงานแกะสลักจะอิงถึงเทพเจ้าฝั่งแปซิฟิกเป็นส่วนมาก 

มา ๆ ได้เวลาออกเที่ยวกันจริง ๆ แล้ว!
v
v
เริ่มกันที่ Day 1: Christchurch Airport > Lake Tekapo
หลังจากโบกมืออำลา Auckland เมืองที่น่ารักและดูแลเรามาตลอด 6 เดือน ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องไปเกาะใต้แล้ว ต้องบอกเลยว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเราเที่ยวกันแต่ในเกาะเหนือ และเริ่มหลงรักการเดินเขาจากทริป Tongariro ถึงจะมีโปรบินไปเกาะใต้ในราคา $39 ก็ยังไม่เคยไปสัมผัสซักครั้ง กะเที่ยวหลังเรียนจบทีเดียวเลย


วิวภูเขาที่มองเห็นจากบนเครื่องก็จะกรี๊ดเบอร์นี้ ยิ่งชอบภูเขา ยิ่งหัวใจเต้นรัวตลอด แต่เรื่องที่ทำให้ตกใจที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องสภาพอากาศที่ไม่ดี ทำให้เครื่องไม่สามารถลงจอดได้ตามเวลา กัปตันได้แต่บอกว่าจะลองวนดู ถ้าไม่ไหวก็ต้องบินกลับไปตั้งหลักที่เกาะเหนือ ส่วนตัวก็เพิ่งรู้มาเหมือนกันว่า การบินลงเกาะใต้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลายครั้งที่เครื่องไม่สามารถลงจอดได้และต้องไปจอดที่ Wellington ของเกาะเหนือแทน ในขณะที่บางไฟลท์ต้องลองบินวนอยู่อย่างนั้น ทั้งหมดทั้งมวลคืออาจมีผลต่อคนที่วางแพลนเที่ยวแบบกระชั้นชิดไว้นั่นเอง 


ถือว่าโชคยังเข้าข้างพวกเราอยู่ สุดท้ายกัปตันก็โชว์เทพ ลงจอดได้อย่างนิ่มนวล ^^ พวกเราก็จัดการเดินไปขึ้นรถตู้ของบริษัทเช่ารถ Apex Car Rental ที่ทำการจองไว้ทันที สำหรับเรื่องอินเทอร์เน็ต แนะนำให้ติดต่อบริษัทค่ายสัญญาณอย่าง Spark หรือ Vodafone ในสนามบินได้เลยนะคะ จากนั้นก็เลือกแพ็ตเกจเหมาะ ๆ เน้นใช้งานเน็ต ซึ่งเพื่อนที่มาสมทบจากไทยใช้ราคา $39 ก็อยู่คุ้มทั้งทริป บอกไว้นิดว่าเน็ตที่นี่ช้าและแพงมาก แอบคิดว่าเค้ากะจะให้คนใช้เวลากับธรรมชาติสวย ๆ ของเธอสินะ ... ซึ่งเห็นด้วย 100% ค่ะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เราแทบไม่ใช้เน็ตนอกบ้านเลย ทั้งเรื่องของการประหยัดและเรื่องการเก็บบรรยากาศธรรมชาติรอบตัวไปด้วย ถือว่าที่ประเทศนี้ยังไม่ใช่สังคมก้มหน้าเท่าไหร่นะ : ) 

กลับมาที่เรื่องเช่ารถ หลักฐานที่ต้องเตรียมไปก็คือ ใบขับขี่สากลและบัตรเครดิตที่ใช้จองรถ นอกจากนี้คนที่ลงชื่อเป็นผู้ขับรถจะต้องเข้ารับการทดสอบในลักษณะตอบคำถามกับเจ้าหน้าที่บริษัทเช่ารถด้วย ซึ่งตอนแรกหนุ่ม ๆ ก็มีใจเต้นตึกตักกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ผ่านฉลุยค่ะ เพราะเทสแค่เรื่องความปลอดภัยและการตอบสนองต่อสัญญาณพื้นฐานเท่านั้น ***สิ่งสำคัญคือเรื่องความเร็ว! เพราะที่นี่เค้าเคร่งมากจริง ๆ เรื่องขับรถเร็วเกินกำหนด โดยเกาะใต้เฉลี่ยอยู่ที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเห็นป้ายตั้งแต่ 20 - 100 ฉะนั้นอย่าลืมช่วยกันมองและเตือนเรื่องความเร็วกันนะ เพราะถ้าโดนขึ้นมาเนี่ยค่าปรับโหดเอาเรื่อง เริ่มตั้งแต่ $80 และเคสหนัก ๆ อาจโดนยึดรถกันเลยทีเดียว ... Save Trip นะจ๊ะ

สำหรับการมาเที่ยวช่วงฤดูหนาวของเกาะใต้ อย่าลืมเช่าและศึกษาวิธีการใส่โซ่พันล้อมาด้วยนะ ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่บริษัทเช่ารถจะดูแลและสอนเราเอง ซึ่งเราใช้งานโซ่นี้ไปครั้งเดียวเท่านั้นในวันที่ต้องขับขึ้นภูเขาหิมะไปเล่นสกี  


หลังจากรับรถแล้วก็ดิ่งไปที่ Lake Tekapo ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันกับ Church of the Good Shepard ทันที โดยตั้งใจวิ่งเส้น Inland Scenic Route เพื่อชมวิวเมือง Christchurch นั่นเอง ... สวยสดชื่น สบายตาสุด ๆ ... จริง ๆ มีแพลนจะไปคาเฟ่สวย ๆ ที่ Mt John University Observatory ด้วยนะ ซึ่งจะเห็นวิว Lake Tekapo จากมุมสูง แต่ด้วยเสียเวลากับเที่ยวบินและการรับรถ พวกเราก็ตัดสินใจไป Lake Tekapo ฝั่ง Church of the Good Shepard แทน 


ถึงแล้วจ้า จุดหมายแรกของทริป Church of the Good Shepherd **ใครเอาขาตั้งกล้องมาสามารถถ่ายทางช้างเผือกได้เลย ร่ำลือกันว่าช่วงที่เห็นดาวจะสวยสุด ๆ แต่พวกเราไปถึงตอนเย็น ๆ เลยยังไม่มีดาวมาให้หวือหวาเท่าไหร่ ... แต่ความฟ้า ม่วง ชมพูของท้องฟ้ายามเย็นที่นี่มันติดตาจริง ๆ 

ใครวางแผนเที่ยวนิวซีแลนด์อย่าลืมเช็คเวลาพระอาทิตย์ตกกันด้วยนะคะ ถึงจะเป็นช่วง Daylight Saving ก็มืดเร็วอยู่ดี พระอาทิตย์ตกประมาณ 5.30  pm แต่ 4.30 pm แสงก็หมดแล้วค่ะ สายถ่ายรูปวางแพลนเวลากันดี ๆ น้าา


ถ้าหันหลังให้ Church of the Good Shepherd ก็จะเป็นวิว Lake Tekapo แบบนี้ ... สวยว๊าวสุด ๆ ยิ่งมาช่วงที่มีไอซ์ซิ่งโรยที่ยอดภูเขารอบ ๆ คือดีย์ วิวอลังการมากจริง ๆ ... แต่แอบทรมานเรื่องอากาศนิดนึง เพราะเลขตัวเดียวยามเย็นนี่ทำเอามือชาไปหมด 


Day 2: Lake Tekapo > Mt.Cook วันนี้ที่รอคอย~
วันนี้เราจะมุ่งหน้าจาก Lake Tekapo ไปยัง Mt.Cook กันค่ะ ซึ่ง Mt.Cook ถือว่าเป็น Iconic ของภูเขาในนิวซีแลนด์เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าคิดถึงวิวนิวซีแลนด์แบบที่คุ้นตาและทำให้ต้องควักตังค์ในกระเป๋าได้ ก็ต้องเป็นวิวภูเขาลูกนี้แหละพร้อมกับทะเลสาบสีฟ้าใสกว้าง ๆ เลย : )

Lake Tekapo ว่าสวยแล้ว .... พอมาเจอ Lake Pukaki ระหว่างทาง ก็ตัดสินใจไม่ได้เลยว่าใครสวยกว่ากัน 

 

วิวระหว่างทางเข้าไปยัง Mt.Cook Village ตื่นตา ตื่นใจ ตื่นเต้น~! 


มาถึงไฮไลต์ของวัน ‘Sealy Tarns Track’ ซึ่งโป้งยกให้เป็นที่สุดของทริปนี้เลย! ... สวยล้มละลาย สวยน้ำตาไหล .... ด้วยส่วนตัวที่ชอบเดินเขาเลยมองว่าเป็น “สวรรค์” ของการเดินเขาเลยล่ะ เพราะ Track หรือเส้นทางเดินเขานี้จะพาเราลัดเลาะต้นไม้ไปในช่วงแรก ๆ ต่อด้วยการไต่ระดับด้วยการเดินขึ้นบันไดหลักพันขั้น ยิ่งสูงยิ่งใกล้ภูเขาลูกสวย ๆ ใหญ่ ๆ และพอเดินไปซักพักก็พบว่าตัวเองถูกโอบล้อมด้วยภูเขาหิมะซะแล้ว เรียกได้ว่า Amazing สุด ๆ ... มงลงกับวิวนี้จริง ๆ ยกตำแหน่งวิวที่สวยที่สุดในชีวิตให้ไปเลย!! ทำลายทุกสถิติที่เคยเจอมาในชีวิต พิเศษคือระหว่างเดินมีหิมะตกใส่เบา ๆ ด้วย ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกันที่มีหิมะตกเบา ๆ สวย ๆ ให้พอซาบซึ้งกับความดีงามของธรรมชาติ ซีนนี้ได้ใจไปเต็ม ๆ และสัญญากับตัวเองว่าจะกลับมาอีกให้ได้ ครั้งต่อไปจะเดินให้ถึง Mueller Hut เลยด้วย (Sealy Tarns Track เป็นส่วนหนึ่งของ Mueller Hut Track ที่ต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 3 ชั่วโมง) สำหรับ Track นี้พวกเราใช้เวลากันไปราว 7 ชั่วโมง ในขณะที่ป้ายบอกทางหลอกว่า 3-4 ชั่วโมงเอง สงสัยจะแวะถ่ายรูปกันเพลิน แต่ก็ยอมเสียเวลา เพราะแต่ละจุด แต่ละความสูงมันสวยไม่เหมือนกันจริง ๆ ยิ่งสูง ยิ่งสวย ยิ่งมีพลังอยากเดินต่อ! ไว้จะรีวิวเฉพาะ Sealy Tarns Track ให้ดูกันวันหลังนะคะ ... รักการเดินเขาไปอีกร้อยเท่าเลย! 


ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ พอหันหลังก็จะเป็นวิวนี้ ดีต่อใจเหลือเกิน


หลังจากจบทริปของวันที่ป้ายสิ้นสุดทางเดิน Sealy Tarns Track ก็เดินลงจากเขากันอย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณคุณพระจันทร์ที่คอยสาดแสงสว่างขนาดนี้ให้ ซึ่งสว่างกว่าไฟถนนอีก! (ในบริเวณนี้ไม่มีไฟถนนนะคะ ถ้าจะเดินตอนฟ้ามืดแล้วต้องเตรียมไฟฉายไปเอง)  และด้วยไฟสปอร์ตไลต์จากธรรมชาตินี้เอง พวกเราก็เดินกลับไปยังจุดจอดรถได้อย่างปลอดภัย อาริกาโตะ~! 

สำหรับใครที่จะเดิน Track นี้ แนะนำให้พักในบริเวณ Mt.Cook Village เลย เพราะสามารถจอดรถใกล้ ๆ ที่พักแล้วมาเดินเขากันได้ทันที สะดวกมาก ๆ
อย่าลืมเตรียมแรงกายและแรงใจกันมาไว้ให้ดี ถึงจะเหนื่อยหน่อยเพราะต้องเดินไต่บันไดขึ้นไป 2,200 ขั้น แต่บอกได้เลยว่าคุ้มค่าสุด ๆ


ส่วนนี่เป็นที่พักที่จองกับ Agoda - Aoraki Court Motel
วิวคือที่สุดมาก ๆ Good Morning กันด้วยภาพแบบนี้ : ) แถมได้มองเห็นภูเขาที่พวกเราไปผจญภัยกันมาเมื่อวานอีก ฟินแท้~
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่