กลายเป็นประเด็นใหญ่โตไปแล้ว กรณีที่มีการเผยแพร่ภาพการฝึกซ้อมแบบปิดลับของทีมชาติไทย ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต สังเวียนแข้งจริง ภายใต้การดูแลของ อากิระ นิชิโนะ หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวญี่ปุ่น ที่ไม่ต้องการให้แผนการเล่นรั่วไหลสู่คู่แข่ง
โดยมีรายงานว่าภาพดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในสื่อเวียดนามนั้น ได้มาจากผู้สื่อข่าวเวียดนาม ที่เดินทางเข้ามาติดตามทำข่าวการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ที่มีสื่อ "เหงียน" จำนวนหนึ่งเข้าพักโรงแรมใกล้สนามแข่งขันถ่ายมาจากระเบียงห้องพัก ซึ่งหลังจากนั้นด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวของสื่อไทย และเวียดนาม จึงได้มีการส่งภาพดังกล่าวมาให้ พร้อมระบุว่า เป็นภาพลับที่สื่อไทยไม่มีแน่นอน เมื่อเห็นภาพดังนั้นสื่อไทยเจ้าดังกล่าวจึงโพสต์ภาพลงในแฟนเพจ เพื่อแจ้งว่ามีภาพการซ้อมของทีมชาติไทย หลุดทางโลกออนไลน์ นัยว่าเพื่อเป็นการเตือน ทว่าหลังจากนั้นก็ได้มีการลบออกจากเพจของสื่อไทย
ซึ่งแม้จะลบออกอย่างรวดเร็ว ทว่ามีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่เห็นภาพดังกล่าว พร้อมตำหนิสื่อไทยเจ้าดังกล่าวถึงความไม่เหมาะสมที่นำมาเสนอต่อสาธารณะ โดยลืมนึกว่าเจตนาของสื่อดังกล่าวเป็นเพียงการส่งคำเตือนไปยังสมาคมฟุตบอลฯ
สำหรับความสำคัญของการฝึกซ้อมในวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมานั้น คือวันแรกที่เหล่าบรรดาผู้เล่นจากลีกต่างประเทศ อาทิ ชนาธิป สรงกระสินธ์ (คอนซาโดเล่ ซัปโปโร), ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (โออิตะ ทรินิตะ), ธีราทร บุญมาทัน (โยโกฮาม่า เอฟ.มารินอส) รวมถึง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (โอเอช ลูเวิน) ต่างเดินทางกลับมาซ้อมกับทีมชาติไทยในครั้งแรก ภายใต้การคุมทีมของ นิชิโนะ
กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ผิดมารยาท อีกทั้งยังประสานกับโรงแรมที่พักบริเวณใกล้เคียงกับสนามแข่งขัน เพื่อขอความร่วมมือให้เชิญผู้เข้ารับบริการลงมาอยู่ในพื้นที่ชั้นล่างทั้งหมด
จริงๆ เรื่องราวทุกอย่างน่าจะจบตั้งแต่การให้สัมภาษณ์และการแก้ปัญหาของ พล.ต.อ.สมยศ ไปแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อวันพุธที่ 4 กันยายน มีการขยายเรื่องราวดังกล่าวผ่านแฟนเพจที่อยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย อาทิ Fair, ฟุตบอลทีมชาติไทย ฯลฯ เนื้อหาใจความระบุว่า มีการส่ง พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เจ้าของพื้นที่ลงสืบสวนข้อเท็จจริง
พร้อมระบุว่าในการกระทำการครั้งนี้ของสื่อเวียดนาม มีคนไทยรู้เห็นเป็นใจให้การสนับสนุน และเหมือนชี้เป้าว่าเป็นสื่อมวลชนสายกีฬาด้วยข้อความว่า
"คราวนี้ก็ไม่ยากที่จะสืบสวนต่อ เขาไม่ใช่คนไทยเท่านั้นแต่อาจจะเป็นนักข่าวกีฬา กีฬาฟุตบอล สำนักใดสำนักหนึ่ง? (ต้องสืบสวนให้รู้ให้ได้) หรืออาจจะรู้แล้ว เห็นหลังไวๆ กำลังจะคว้าคอเสื้อพลิกมาดูหน้า... หรือหากมีประชาชนคนไทยโดยเฉพาะคอบอลที่รักชาติท่านใดรู้เบาะแสช่วยแจ้งมาที่สมาคมฯด้วยจะได้ตรวจทานว่าตรงกันหรือไม่?"
"กรณีนี้คงไม่ผิดฐานอนาจารเหมือนกับถ้ำมองไปแอบดูคนอาบน้ำ แต่ต้องถามว่า มารยาท ศีลธรรม จรรยาบรรณ ของผู้กระทำและร่วมกระทำมีหรือไม่..?"
"ยิ่งถ้าเป็นคนไทย เป็นนักข่าวสายกีฬา โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล แล้วไปร่วมกระทำก็ไม่ต่างกับการไปทำตัวเป็นไส้ศึก เกลือเป็นหนอน หนอนบ่อนไส้ คนขายชาติ เราเคยศึกษาประวัติศาสตร์กันมา กรุงศรีอยุธยาต้องเสียกรุงให้กับพม่าเป็นครั้งที่สองเพราะอะไร?"
"ช้างศึกกำลังจะทำศึก ขอพี่น้องประชาชนคนไทยมารวมพลังกันส่งแรงใจไปเชียร์ช้างศึกไทย และกำจัดคนขายชาติที่ทำตัวเป็นไส้ศึกให้หมดสิ้นไป"
ทั้งนี้น่าสังเกตว่า แถลงการณ์ที่ยืดยาวดังกล่าวนั้น มีเนื้อหาค่อนข้างปลุกเร้าแฟนบอลให้ช่วยกันหาผู้เป็นไส้ศึก หากแต่ไม่มีการระบุว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร หรือบอกกล่าวว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่? ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามีข้อกฏหมายใดที่จะดำเนินคดีได้ และหากพบเจอบุคคลต้นตอ แม้ไม่สามารถดำเนินดคีได้ก็น่าจะเรียกมาตักเตือนอย่างเหมาะสมตามวิถีที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ยังมีการยกตัวอย่างการเสียกรุงศรีอยุธยาราชธานีแห่งอาณาจักรโบราณว่าแตกพ่ายแก่พม่า ด้วยพิษของไส้ศึกนั้น ค่อนข้างจะหลุดประเด็นไปไกล เนื่องจากต่อให้ฟุตบอลทีมชาติไทย แพ้ให้กับ เวียดนาม จริงก็เป็นเพียงแค่กีฬาที่ผลการแข่งขันสามารถออกได้ทุกหน้า แพ้ ชนะ เสมอ ไม่ได้มีผลเสียหายต่อการสูญเสียเอกราชเช่นอดีตราชธานีเก่าแต่อย่างใด
เป็นที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าหากมีการทราบตัวผู้กระทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้จริง ทำไมจึงไม่มีการระบุตัวตนให้ชัด หากแต่กลับทำให้คลุมเคลือว่าเป็นสื่อสายกีฬา และยังมีข้อความระบุอีกว่าเป็น "สายกีฬาฟุตบอล" ซึ่งทำให้มีแฟนบอลจำนวนมากพุ่งเป้าไปที่สื่อสายฟุตบอลไทยที่มีคดีความฟ้องร้องกับสมาคมฟุตบอลฯ ในหลายคดีทันที ทั้งที่สมาคมฟุตบอลฯ เองก็ทราบในข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัย แต่กลับไม่รอให้ทุกอย่างชัดเจนแล้วค่อยแถลงให้แฟนบอลรับทราบทีเดียวไปเลย
ซึ่งการกระทำดังกล่าวน่าเคลือบแคลงถึงเจตนาของสมาคมฟุตบอลฯ ว่าตกลงต้องการจะหาหนอนบ่อนไส้ หรืออยากผลักสื่อคู่กรณีออกไปให้แฟนบอลประชาทัณฑ์กันแน่?
https://mgronline.com/sport/detail/9620000085090
วันนี้ว่าไม่ตั้งกระทู้แล้วนา เห็นข่าวนี้มันแหม่งๆ ขอตั้งหน่อยละกัน.....ขอให้โชคดีสำหรับกองเชียร์ทุกท่านนะครับ ถ้าไทยชนะหรือเสมอคืนนี้มาคุยกัน ถ้าแพ้ ขอหายไปเงียบๆ สัก 2-3 วันนะครับ 555
ถามเจตนา "ส.บอล" หา “หนอนบ่อนไส้” หรือชี้เป้ากระทืบสื่อ? เผยแพร่: 4 ก.ย. 2562 17:48 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
โดยมีรายงานว่าภาพดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในสื่อเวียดนามนั้น ได้มาจากผู้สื่อข่าวเวียดนาม ที่เดินทางเข้ามาติดตามทำข่าวการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ที่มีสื่อ "เหงียน" จำนวนหนึ่งเข้าพักโรงแรมใกล้สนามแข่งขันถ่ายมาจากระเบียงห้องพัก ซึ่งหลังจากนั้นด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวของสื่อไทย และเวียดนาม จึงได้มีการส่งภาพดังกล่าวมาให้ พร้อมระบุว่า เป็นภาพลับที่สื่อไทยไม่มีแน่นอน เมื่อเห็นภาพดังนั้นสื่อไทยเจ้าดังกล่าวจึงโพสต์ภาพลงในแฟนเพจ เพื่อแจ้งว่ามีภาพการซ้อมของทีมชาติไทย หลุดทางโลกออนไลน์ นัยว่าเพื่อเป็นการเตือน ทว่าหลังจากนั้นก็ได้มีการลบออกจากเพจของสื่อไทย
ซึ่งแม้จะลบออกอย่างรวดเร็ว ทว่ามีแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่เห็นภาพดังกล่าว พร้อมตำหนิสื่อไทยเจ้าดังกล่าวถึงความไม่เหมาะสมที่นำมาเสนอต่อสาธารณะ โดยลืมนึกว่าเจตนาของสื่อดังกล่าวเป็นเพียงการส่งคำเตือนไปยังสมาคมฟุตบอลฯ
สำหรับความสำคัญของการฝึกซ้อมในวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมานั้น คือวันแรกที่เหล่าบรรดาผู้เล่นจากลีกต่างประเทศ อาทิ ชนาธิป สรงกระสินธ์ (คอนซาโดเล่ ซัปโปโร), ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (โออิตะ ทรินิตะ), ธีราทร บุญมาทัน (โยโกฮาม่า เอฟ.มารินอส) รวมถึง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (โอเอช ลูเวิน) ต่างเดินทางกลับมาซ้อมกับทีมชาติไทยในครั้งแรก ภายใต้การคุมทีมของ นิชิโนะ
กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่ผิดมารยาท อีกทั้งยังประสานกับโรงแรมที่พักบริเวณใกล้เคียงกับสนามแข่งขัน เพื่อขอความร่วมมือให้เชิญผู้เข้ารับบริการลงมาอยู่ในพื้นที่ชั้นล่างทั้งหมด
จริงๆ เรื่องราวทุกอย่างน่าจะจบตั้งแต่การให้สัมภาษณ์และการแก้ปัญหาของ พล.ต.อ.สมยศ ไปแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อวันพุธที่ 4 กันยายน มีการขยายเรื่องราวดังกล่าวผ่านแฟนเพจที่อยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย อาทิ Fair, ฟุตบอลทีมชาติไทย ฯลฯ เนื้อหาใจความระบุว่า มีการส่ง พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เจ้าของพื้นที่ลงสืบสวนข้อเท็จจริง
พร้อมระบุว่าในการกระทำการครั้งนี้ของสื่อเวียดนาม มีคนไทยรู้เห็นเป็นใจให้การสนับสนุน และเหมือนชี้เป้าว่าเป็นสื่อมวลชนสายกีฬาด้วยข้อความว่า
"คราวนี้ก็ไม่ยากที่จะสืบสวนต่อ เขาไม่ใช่คนไทยเท่านั้นแต่อาจจะเป็นนักข่าวกีฬา กีฬาฟุตบอล สำนักใดสำนักหนึ่ง? (ต้องสืบสวนให้รู้ให้ได้) หรืออาจจะรู้แล้ว เห็นหลังไวๆ กำลังจะคว้าคอเสื้อพลิกมาดูหน้า... หรือหากมีประชาชนคนไทยโดยเฉพาะคอบอลที่รักชาติท่านใดรู้เบาะแสช่วยแจ้งมาที่สมาคมฯด้วยจะได้ตรวจทานว่าตรงกันหรือไม่?"
"กรณีนี้คงไม่ผิดฐานอนาจารเหมือนกับถ้ำมองไปแอบดูคนอาบน้ำ แต่ต้องถามว่า มารยาท ศีลธรรม จรรยาบรรณ ของผู้กระทำและร่วมกระทำมีหรือไม่..?"
"ยิ่งถ้าเป็นคนไทย เป็นนักข่าวสายกีฬา โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล แล้วไปร่วมกระทำก็ไม่ต่างกับการไปทำตัวเป็นไส้ศึก เกลือเป็นหนอน หนอนบ่อนไส้ คนขายชาติ เราเคยศึกษาประวัติศาสตร์กันมา กรุงศรีอยุธยาต้องเสียกรุงให้กับพม่าเป็นครั้งที่สองเพราะอะไร?"
"ช้างศึกกำลังจะทำศึก ขอพี่น้องประชาชนคนไทยมารวมพลังกันส่งแรงใจไปเชียร์ช้างศึกไทย และกำจัดคนขายชาติที่ทำตัวเป็นไส้ศึกให้หมดสิ้นไป"
ทั้งนี้น่าสังเกตว่า แถลงการณ์ที่ยืดยาวดังกล่าวนั้น มีเนื้อหาค่อนข้างปลุกเร้าแฟนบอลให้ช่วยกันหาผู้เป็นไส้ศึก หากแต่ไม่มีการระบุว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร หรือบอกกล่าวว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายหรือไม่? ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามีข้อกฏหมายใดที่จะดำเนินคดีได้ และหากพบเจอบุคคลต้นตอ แม้ไม่สามารถดำเนินดคีได้ก็น่าจะเรียกมาตักเตือนอย่างเหมาะสมตามวิถีที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ยังมีการยกตัวอย่างการเสียกรุงศรีอยุธยาราชธานีแห่งอาณาจักรโบราณว่าแตกพ่ายแก่พม่า ด้วยพิษของไส้ศึกนั้น ค่อนข้างจะหลุดประเด็นไปไกล เนื่องจากต่อให้ฟุตบอลทีมชาติไทย แพ้ให้กับ เวียดนาม จริงก็เป็นเพียงแค่กีฬาที่ผลการแข่งขันสามารถออกได้ทุกหน้า แพ้ ชนะ เสมอ ไม่ได้มีผลเสียหายต่อการสูญเสียเอกราชเช่นอดีตราชธานีเก่าแต่อย่างใด
เป็นที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าหากมีการทราบตัวผู้กระทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้จริง ทำไมจึงไม่มีการระบุตัวตนให้ชัด หากแต่กลับทำให้คลุมเคลือว่าเป็นสื่อสายกีฬา และยังมีข้อความระบุอีกว่าเป็น "สายกีฬาฟุตบอล" ซึ่งทำให้มีแฟนบอลจำนวนมากพุ่งเป้าไปที่สื่อสายฟุตบอลไทยที่มีคดีความฟ้องร้องกับสมาคมฟุตบอลฯ ในหลายคดีทันที ทั้งที่สมาคมฟุตบอลฯ เองก็ทราบในข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัย แต่กลับไม่รอให้ทุกอย่างชัดเจนแล้วค่อยแถลงให้แฟนบอลรับทราบทีเดียวไปเลย
ซึ่งการกระทำดังกล่าวน่าเคลือบแคลงถึงเจตนาของสมาคมฟุตบอลฯ ว่าตกลงต้องการจะหาหนอนบ่อนไส้ หรืออยากผลักสื่อคู่กรณีออกไปให้แฟนบอลประชาทัณฑ์กันแน่?
https://mgronline.com/sport/detail/9620000085090
วันนี้ว่าไม่ตั้งกระทู้แล้วนา เห็นข่าวนี้มันแหม่งๆ ขอตั้งหน่อยละกัน.....ขอให้โชคดีสำหรับกองเชียร์ทุกท่านนะครับ ถ้าไทยชนะหรือเสมอคืนนี้มาคุยกัน ถ้าแพ้ ขอหายไปเงียบๆ สัก 2-3 วันนะครับ 555