สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ
ตอนนี้ผมอายุ 28 ปี เป็นมนุษย์เงินเดือน ผมเริ่มทำ DCA เพื่อการเกษียณอายุในกองทุน LTF, RMF ที่เป็น FIF, และกองทุนหุ้นทั่วไปที่ไม่ได้ลดหย่อนภาษีมาได้เกือบ 3 ปีแล้วครับ มีแผนจะ DCA ระยะยาวจนเกษียณตอนอายุ 60-65 ปี
ประเด็นของผมคือ ผมต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกไปต่างประเทศ ตอนนี้ก็มีแค่ลงทุนผ่าน FIF แต่ผมรู้สึกว่า total expense ratio ของ FIF แต่ละกองในไทยค่อนข้างแพง คือ 1.5-2% ต่อปี แถมมีค่า front-end fee อีก 1-1.5% ทั้งที่กองเหล่านี้เป็นแค่ feeder fund คือเอาเงินของนักลงทุนไปลงทุนในกองทุนที่ต่างประเทศอีกทีนึง แล้ว feeder fund ก็ต้องเสียค่าบริหารให้กับ master fund อีกทีนึง เท่ากับว่านักลงทุนรายย่อยอย่างผมถูกคิดค่าบริหารซ้อนกันเป็น 2 ครั้ง ทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ได้จริงลดลงจาก master fund พอสมควร (ผมลองเปรียบเทียบผลตอบแทนของกองลูก TMBGQG กับกองแม่ Wellington global quality growth fund usd s accumulating unhedged ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีใน 3 ปีหลังสุดอยู่ที่ 11.64% กับ 15.58% ตามลำดับ ซึ่งห่างกันเกือบ 4% ต่อปี) ผมเลยพยายามหาทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศด้วยวิธีอื่นครับ
เท่าที่หามาคิดว่ามีอยู่ 4 วิธีดังนี้
1. ลงทุนหุ้นรายตัวในต่างประเทศ โดยเปิดพอร์ตลงทุนต่างประเทศ
ที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้ลงทุนหุ้นรายตัวด้วยตัวเองเท่าไร เพราะไม่ได้มีเวลาศึกษาบริษัทอย่างจริงจัง และก็ไม่ได้มีความรู้ด้านการวิเคราะห์ธุรกิจมาก ยิ่งเป็นหุ้นต่างประเทศน่าจะยิ่งไปกันใหญ่ ก็เลยคิดว่าอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับตัวเองเท่าไร อีกอย่างคือค่าธรรมเนียมการซื้อขายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับที่ไทย เท่าที่ผมหาข้อมูลมาคือค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ถูกที่สุดในไทยจะอยู่ที่ 10$ ต่อการเทรด แถมมีค่าธรรมเนียมในการแปลงสกุลเงินอีก และก็อาจจะมีเรื่องภาษีในประเทศนั้นๆด้วย เลยคิดว่าจากปัจจัยทั้งหมดนี้ วิธีนี้น่าจะไม่ work สำหรับผม
2. ลงทุน ETF ในต่างประเทศ โดยเปิดพอร์ตลงทุนต่างประเทศ
เข้าใจว่าขั้นตอนและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเหมือนกับการซื้อขายหุ้นรายตัวทุกอย่าง เพียงแต่เราไม่ต้องศึกษาบริษัทจดทะเบียนแต่ละบริษัทเอง แต่ต้องไปศึกษารายละเอียดของ ETF แต่ละกอง ซึ่งที่ผมเล็งไว้ก็เป็นพวกกอง passive เพราะไม่ซับซ้อนและค่าธรรมเนียมต่ำมากๆ เช่น The SPDR S&P 500 ETF (SPY) หรือ Vanguard Total World Stock ETF (VT) ซึ่งทั้งคู่มี expense ratio แค่ 0.09% ต่อปี ซึ่งเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากๆ แต่ผมไม่เคยลงทุนโดยตรงใน ETF ต่างประเทศจริงๆ เลยไม่แน่ใจว่าพอลงทุนจริงแล้ว มันมีความยากลำบากอะไรเพิ่มเติมที่ผมอาจจะยังไม่รู้อีกมั้ยครับ ลองหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตแล้วก็ไม่ค่อยเห็นว่ามีคนไทยไปลงทุน ETF โดยตรงที่ต่างประเทศเลยครับ เลยยิ่งสงสัยว่ามันมีอุปสรรคอะไรบางอย่างหรือเปล่าที่ทำให้คนไม่นิยมลงทุนวิธีนี้กัน หรืออาจะเป็นเพราะค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในการซื้อขายแต่ละครั้งที่ค่อนข้างแพง (10$) ทำให้ไม่คุ้มถ้าจะ DCA เดือนละไม่กี่พันบาท (ถ้า DCA ใน ETF ต่างประเทศเดือนละ 10,000 บาท โดน fee ไป 10$ ก็ถือว่าเยอะมาก (ประมาณ 3% กว่าๆ) อาจจะต้องลงทุนเป็นรายไตรมาสแทน ยกเว้นว่า DCA เดือนละหลายหมื่น อาจจะพอคุ้มบ้าง
3. ลงทุน mutual fund ในต่างประเทศโดยตรง
วิธีนี้เท่าที่ผมศึกษามา อย่างในอเมริกา ถ้าไม่ใช่ US resident (คือไม่มีที่อยู่ใน US) ก็จะไม่สามารถซื้อ mutual fund ได้ เช่น US citizen ที่ไปทำงานประจำที่ประเทศอื่น ในทางกลับกัน ถ้าเป็น foreigner ที่ไปทำงานประจำที่ US ก็สามารถซื้อได้ แม้จะไม่ใช่ US citizen อันนี้ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกมั้ย ใครมีความรู้หรือประสบการณ์ในส่วนนี้ช่วยบอกหน่อยนะครับ คือถ้าผมเข้าใจถูก ก็แปลว่าผมไม่มีสิทธิ์ซื้อ mutual fund ในต่างประเทศได้โดยตรง เพราะผมทำงานที่ไทย ซึ่งผมเสียดายมากๆ
4. ลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล
วิธีนี้ผมไม่มีประสบการณ์เลย และน่าจะไม่มีไปตลอด เพราะเข้าใจว่าต้องมีทรัพย์สินเยอะประมาณนึง ถึงจะใช้บริการนี้ได้
สรุปคือผมต้องการถามว่าในความเห็นของท่าน วิธีในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศแบบ DCA วิธีใดเหมาะสมที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนครับ
ผมคิดว่าทางเลือกที่ดูพอเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับผม นอกเหนือไปจากการลงทุนใน FIF ในไทย คือการลงทุน ETF โดยตรงที่ต่างประเทศ แต่ติดตรงที่อาจจะต้องเพิ่มจำนวนเงินการลงทุนต่อครั้งให้มากขึ้น เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียม
ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจข้อมูลส่วนไหนผิดหรือเปล่า หากท่านใดช่วยเสริม ชี้แนะหรือแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ
ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านครับ
ใครมีประสบการณ์ลงทุนที่ต่างประเทศในหุ้นรายตัว, ETF, หรือ mutual fund โดยเฉพาะที่อเมริกาบ้างครับ ขอปรึกษาหน่อยครับ
ตอนนี้ผมอายุ 28 ปี เป็นมนุษย์เงินเดือน ผมเริ่มทำ DCA เพื่อการเกษียณอายุในกองทุน LTF, RMF ที่เป็น FIF, และกองทุนหุ้นทั่วไปที่ไม่ได้ลดหย่อนภาษีมาได้เกือบ 3 ปีแล้วครับ มีแผนจะ DCA ระยะยาวจนเกษียณตอนอายุ 60-65 ปี
ประเด็นของผมคือ ผมต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกไปต่างประเทศ ตอนนี้ก็มีแค่ลงทุนผ่าน FIF แต่ผมรู้สึกว่า total expense ratio ของ FIF แต่ละกองในไทยค่อนข้างแพง คือ 1.5-2% ต่อปี แถมมีค่า front-end fee อีก 1-1.5% ทั้งที่กองเหล่านี้เป็นแค่ feeder fund คือเอาเงินของนักลงทุนไปลงทุนในกองทุนที่ต่างประเทศอีกทีนึง แล้ว feeder fund ก็ต้องเสียค่าบริหารให้กับ master fund อีกทีนึง เท่ากับว่านักลงทุนรายย่อยอย่างผมถูกคิดค่าบริหารซ้อนกันเป็น 2 ครั้ง ทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ได้จริงลดลงจาก master fund พอสมควร (ผมลองเปรียบเทียบผลตอบแทนของกองลูก TMBGQG กับกองแม่ Wellington global quality growth fund usd s accumulating unhedged ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีใน 3 ปีหลังสุดอยู่ที่ 11.64% กับ 15.58% ตามลำดับ ซึ่งห่างกันเกือบ 4% ต่อปี) ผมเลยพยายามหาทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศด้วยวิธีอื่นครับ
เท่าที่หามาคิดว่ามีอยู่ 4 วิธีดังนี้
1. ลงทุนหุ้นรายตัวในต่างประเทศ โดยเปิดพอร์ตลงทุนต่างประเทศ
ที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้ลงทุนหุ้นรายตัวด้วยตัวเองเท่าไร เพราะไม่ได้มีเวลาศึกษาบริษัทอย่างจริงจัง และก็ไม่ได้มีความรู้ด้านการวิเคราะห์ธุรกิจมาก ยิ่งเป็นหุ้นต่างประเทศน่าจะยิ่งไปกันใหญ่ ก็เลยคิดว่าอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับตัวเองเท่าไร อีกอย่างคือค่าธรรมเนียมการซื้อขายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับที่ไทย เท่าที่ผมหาข้อมูลมาคือค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ถูกที่สุดในไทยจะอยู่ที่ 10$ ต่อการเทรด แถมมีค่าธรรมเนียมในการแปลงสกุลเงินอีก และก็อาจจะมีเรื่องภาษีในประเทศนั้นๆด้วย เลยคิดว่าจากปัจจัยทั้งหมดนี้ วิธีนี้น่าจะไม่ work สำหรับผม
2. ลงทุน ETF ในต่างประเทศ โดยเปิดพอร์ตลงทุนต่างประเทศ
เข้าใจว่าขั้นตอนและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเหมือนกับการซื้อขายหุ้นรายตัวทุกอย่าง เพียงแต่เราไม่ต้องศึกษาบริษัทจดทะเบียนแต่ละบริษัทเอง แต่ต้องไปศึกษารายละเอียดของ ETF แต่ละกอง ซึ่งที่ผมเล็งไว้ก็เป็นพวกกอง passive เพราะไม่ซับซ้อนและค่าธรรมเนียมต่ำมากๆ เช่น The SPDR S&P 500 ETF (SPY) หรือ Vanguard Total World Stock ETF (VT) ซึ่งทั้งคู่มี expense ratio แค่ 0.09% ต่อปี ซึ่งเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากๆ แต่ผมไม่เคยลงทุนโดยตรงใน ETF ต่างประเทศจริงๆ เลยไม่แน่ใจว่าพอลงทุนจริงแล้ว มันมีความยากลำบากอะไรเพิ่มเติมที่ผมอาจจะยังไม่รู้อีกมั้ยครับ ลองหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตแล้วก็ไม่ค่อยเห็นว่ามีคนไทยไปลงทุน ETF โดยตรงที่ต่างประเทศเลยครับ เลยยิ่งสงสัยว่ามันมีอุปสรรคอะไรบางอย่างหรือเปล่าที่ทำให้คนไม่นิยมลงทุนวิธีนี้กัน หรืออาจะเป็นเพราะค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในการซื้อขายแต่ละครั้งที่ค่อนข้างแพง (10$) ทำให้ไม่คุ้มถ้าจะ DCA เดือนละไม่กี่พันบาท (ถ้า DCA ใน ETF ต่างประเทศเดือนละ 10,000 บาท โดน fee ไป 10$ ก็ถือว่าเยอะมาก (ประมาณ 3% กว่าๆ) อาจจะต้องลงทุนเป็นรายไตรมาสแทน ยกเว้นว่า DCA เดือนละหลายหมื่น อาจจะพอคุ้มบ้าง
3. ลงทุน mutual fund ในต่างประเทศโดยตรง
วิธีนี้เท่าที่ผมศึกษามา อย่างในอเมริกา ถ้าไม่ใช่ US resident (คือไม่มีที่อยู่ใน US) ก็จะไม่สามารถซื้อ mutual fund ได้ เช่น US citizen ที่ไปทำงานประจำที่ประเทศอื่น ในทางกลับกัน ถ้าเป็น foreigner ที่ไปทำงานประจำที่ US ก็สามารถซื้อได้ แม้จะไม่ใช่ US citizen อันนี้ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกมั้ย ใครมีความรู้หรือประสบการณ์ในส่วนนี้ช่วยบอกหน่อยนะครับ คือถ้าผมเข้าใจถูก ก็แปลว่าผมไม่มีสิทธิ์ซื้อ mutual fund ในต่างประเทศได้โดยตรง เพราะผมทำงานที่ไทย ซึ่งผมเสียดายมากๆ
4. ลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล
วิธีนี้ผมไม่มีประสบการณ์เลย และน่าจะไม่มีไปตลอด เพราะเข้าใจว่าต้องมีทรัพย์สินเยอะประมาณนึง ถึงจะใช้บริการนี้ได้
สรุปคือผมต้องการถามว่าในความเห็นของท่าน วิธีในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศแบบ DCA วิธีใดเหมาะสมที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนครับ
ผมคิดว่าทางเลือกที่ดูพอเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับผม นอกเหนือไปจากการลงทุนใน FIF ในไทย คือการลงทุน ETF โดยตรงที่ต่างประเทศ แต่ติดตรงที่อาจจะต้องเพิ่มจำนวนเงินการลงทุนต่อครั้งให้มากขึ้น เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียม
ไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจข้อมูลส่วนไหนผิดหรือเปล่า หากท่านใดช่วยเสริม ชี้แนะหรือแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ
ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านครับ