จูเลียส ซีซาร์ 4/5 (พิชิตปอมปีย์ ช่วยเหลือคลีโอพัตรา ตั้งตัวเป็นเผด็จการ)
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
https://youtu.be/vxqTq23yXAA
ฟาร์ซาลัส กรีซ 48 ปี ก่อนคริสตกาล (Pharsalus, Greece 48 B.C.)
เป็นเวลากว่าหนึ่งปี จูเลียส ซีซาร์ไล่ตาม ปอมปีย์ แม็กนัสไปทั่วแถมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งกับสงครามกลางเมืองในครั้งนี้ ส่อเค้าที่จะกลายเป็นสงครามทำลายสาธารณรัฐโรมัน และตอนนี้ ในสนามรับที่ ฟาซาลัส “ซีซาร์ มาร์คแอนโทนี่และทหารกว่า 20,000 นาย กำลังประจันหน้ากับ ปอมปีย์ บรูตัสและกองทัพกว่า 40,000 คน
ในระหว่างที่สองทัพต่างประจันหน้ากันอยู่นั้น ปอมปีย์วางแผนให้กองทหารม้ากว่า 7,000 คน เข้าลอบโจมตีซีซาร์ แต่ซีซาร์นั้นสามารถโต้กลับทหารม้าด้วยวิธีการที่ฉลาดกว่า โดยซีซาร์คาดการณ์ไว้แล้วว่า ปอมปีย์นั้นมั่นใจในกองกำลังทหารม้าของตนเองเป็นอย่างมาก ซีซาร์จึงสุ่มกำลังทหารราบไว้อีกกองนึง เพื่ออ้อมมาตีกระหนาบกองทัพของปอมปีย์
โดยในตอนนี้ความได้เปรียบจึงกลายมาอยู่ที่กองทัพของซีซาร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหนึ่งในข้อได้เปรียบของซีซาร์นั้น ก็คือการนำกองทหารชุดเดิมที่เคยช่วยพิชิต “โกล” มาก่อน สำหรับกองทหารชุดนี้ ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี และมีระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่ใช่เพียงแค่กับการรบที่กล้าหาญ แต่ยังรวมถึงระเบียบวินัยที่เคร่งครัดอีกด้วย

ซึ่งต่างกับกองทัพของปอมปีย์ แม้ว่าจะมีจำนวนที่มากกว่า แต่ก็เป็นเพียงกองทัพที่มาจากที่ต่างๆ มารวมตัวกัน จึงไม่มีความเด็ดเดียวและระเบียบวินัยเทียบเท่ากับกองทัพของซีซาร์ ทำให้กองทหารของปอมปีย์ต่างพากันแตกตื่นไม่เป็นขบวน จนทำให้กองทัพของปอมปีย์นั้นแตกพ่ายอย่างยับเยิน
และแล้วหลังจากการรบจบลง “ปอมปีย์ แมคนัส”หนีไปได้ “จูเลียส ซีซาร์”จึงอ้างสิทธิ์กับชัยชนะในครั้งนี้ โดยซีซาร์นั้น สังหารคนของปอมปีย์ไปกว่า 15,000 คนและจับอีกกว่า 20,000 คนเป็นนักโทษ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “บรูตัส” บุตรชายของ “เซอร์วิเลีย” ภรรยาลับของ “ซีซาร์” ซึ่งกับชัยชนะของ จูเลียส ซีซาร์ที่ “ฟาร์ซาลัส” ในครั้งนี้ ซีซาร์รู้ดีว่าตนเองนั้น ยังไม่อาจมีอำนาจควบคุมโรมได้ หากปอมปีย์ยังมีชีวิตอยู่

โดยซีซาร์คาดการณ์ไว้ว่า ปอมปีย์นั้น คงต้องหนีไปที่ “อเล็กซานเดรีย” อย่างแน่นอน ซึ่ง“อเล็กซานเดรีย” นั้นเป็นเมืองท่าในอียิปต์ อยู่ห่างจากกรุงโรมไปทางตะวันออกกว่าพันไมล์ และเพื่อสามารถที่จะไล่ล่าตามปอมปีย์ได้อย่างเต็มที่ ซีซาร์สั่งให้ “มาร์ค แอนโทนี่” กลับไปจัดการเรื่องความสงบเรียบร้อยที่กรุงโรม ส่วนตัวซีซาร์จึงเดินทางไปอียิปต์เพื่อไล่ล่าปอมปีย์
และก็เป็นไปตามที่ซีซาร์คาดการณ์ไว้ ปอมปีย์ได้ไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพของอียิปต์ เพื่อกลับมาต่อสู้กับซีซาร์ โดยในขณะนั้น อาณาจักรอียิปต์นี้ ปกครองโดยกษัตริย์วัย 14 ปี นามว่า “โทเลมี” แต่ในขณะนั้นอียิปต์เองก็กำลังอยู่ในช่วงสงครามกลางเมืองอยู่เช่นกัน โดยก่อนที่บิดาของ”โทเลมี” จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้แต่งตั้งให้ “โทเลมี” เป็นกษัตริย์ร่วมกันกับพี่สาวของพระองค์ โดยทั้งสองพระองค์นี้ ก็ได้เสกสมรสกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากในสังคมของอียิปต์ในเวลานั้น แต่ต่อมาตอนหลังเกิดความขัดแย้งกัน และ “โทเลมี” จึงได้ตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการเพียงองค์เดียว ส่วนพี่สาวของพระองค์นั้นจึงได้หนีไป

และกับการที่ปอมปีย์มาอียิปต์ในครั้งนี้ กลับกลายเป็นความหวาดระแวงให้กับ “กษัติรย์โทเลมี” ซึ่งทางฝ่าย “โทเลมี”เอง ก็ไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับ “จูเลียส ซีซาร์” และเพื่อทำให้ซีซาร์นั้นพอใจ “กษัติรย์โทเลมี” จึงสั่งตัดหัว “ปอมปีย์ แมกนัส” โดยพระองค์นั้นคาดหวังที่จะให้ซีซาร์มาอยู่ข้างของตนเอง และต่อสู้กับฝ่ายที่กำลังต่อต้านพระองค์อยู่
แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อ “จูเลียส ซีซาร์” เดินทางมาถึงอียิปต์ ซีซาร์จึงได้รู้ว่าปอมปีย์นั้น ถูก “กษัตริย์โทเลมี” สังหารไปแล้ว ทำให้ซีซาร์รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก โดยซีซาร์นั้นคิดว่า แม้จะมีการขัดแย้งกันกับปอมปีย์อยู่ แต่ปอมปีย์เองก็เป็นถึงนายพลของโรมัน และยังมีความเกี่ยวดองกับตัวซีซาร์อีกด้วย จึงไม่สมควรที่จะประสบชะตากรรมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ ซีซาร์จึงปฏิเสธที่จะร่วมทำสงครามเพื่อกำจัดฝ่ายต่อต้านในอียิปต์ ทำให้ “กษัติรย์โทเลมี” ไม่พอใจและสั่งให้กักตัวซีซาร์ไว้ จนกว่าซีซาร์นั้นจะเปลี่ยนใจ
และเมื่อซีซาร์ปฏิเสธการสนับสนุนที่ช่วยโทเลมี จึงทำให้สถานการณ์ของซีซาร์ยิ่งมีอันตรายมากขึ้น แต่ซีซาร์กลับได้รับการช่วยเหลือจากฝ่ายต่อต้าน โดยอยู่ใต้การนำของพี่สาวกษัตริย์โทเลมี ซึ่งพระนางก็คือ “พระนางคลีโอพัตรา”
โดยพระนางคลีโอพัตรา เป็นหญิงที่มีความฉลาดและมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก ด้วยพระนางนั้น คิดอยากจะได้รับการสนับสนุน จากกองทัพของ “จูเลียส ซีซาร์” ในการช่วงชิงอำนาจในครั้งนี้ และด้วยความสามารถของ “พระนางคลีโอพัตรา” เป็นผลทำให้ “จูเลียส ซีซาร์” ตอบตกลงเข้าร่วมด้วย ทำให้คลีโอพัตราในตอนนี้พร้อมที่จะตอบโต้กษัตริย์โทเลมีกลับ
การปิดล้อมอเล็กซานเดรีย(The Siege of Alexandria)
47 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพของ “จูเลียส ซีซาร์” และกองทหารของ “พระนางคลีโอพัตรา” กว่า 20,000 คน ได้ล้อม “กษัติรย์โทเลมี” ไว้ในกรุงอเล็กซานเดรีย และหลังจากการสู้รบกัน นานหลายเดือน กองทัพกษัตริย์โทเลมีก็พ่ายแพ้ ซึ่งในขณะที่พระองค์หนีออกจากนอกเมืองนั้น โทเลมีจมน้ำสิ้นพระชนม์ในแม่น้ำไนล์ และตอนนี้ “พระนางคลีโอพัตรา” สามารถควบคุมอียิปต์ได้ทั้งหมดแล้ว และ “จูเลียส ซีซาร์” นั้นก็เสร็จภาระกิจเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่ความสัมพันธ์ของซีซาร์กับคลีโอพัตรานั้น กลายเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าแค่เรื่องทางการเมือง
ในขณะที่ “จูเลียส ซีซาร์” กำลังจัดการเรื่องต่างๆ ในอียิปต์อยู่นั้น กรุงโรมก็กำลังอยู่ในช่วงของความสับสนวุ่นวาย ทั้งเกิดจราจล และเกิดการคาดแคลนอาหารเป็นอย่างมาก โดยมาร์ค แอนโทนี่ ได้รับมอบหมายให้มาดูแลจัดการเรื่อง
แต่แม้ว่า “มาร์ค แอนโทนี่” นั้นจะเป็นทหารที่มากฝีมือ กลับไม่มีความสามารถทางการเมืองและการปกครอง และกับวิธีการแก้ปัญหาในครั้งนี้ “มาร์ค แอนโทนี่” กลับใช้วิธีความรุนแรง เพื่อสลายการจราจล จึงทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายมากยิ่งขึ้น จนมีประชาชนถูกสังหารมากหลายร้อยคน รวมถึงผู้หญิงและเด็ก ๆ

ต่อมาซีซาร์ได้รับข่าวการจราจลในกรุงโรม ร้ายแรงจนไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งซีซาร์เองไม่สามารถที่จัดการเรื่องนี้ได้หากยังอยู่ที่อียิปต์ 46 ปีก่อนคริสตกาล “จูเลียส ซีซาร์” จึงได้เดินทางกลับกรุงโรม เพื่อช่วยโรมในขณะที่กำลังจะล้มสลาย
โดยซีซาร์จำเป็นต้องจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่เพื่อมาช่วยแก้ปัญหาในครั้งนี้ ซีซาร์จึงเรียกสมาชิกรัฐสภาที่เคยอยู่ข้างปอมปีย์มาก่อน และซีซาร์เสนอการให้อภัยต่อความผิดทั้งหมดของสมาชิกรัฐสภาที่ให้การสนับสนุนปอมปีย์ แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่าต้องให้ตัว “จูเลียส ซีซาร์” นั้นถืออำนาจเบ็ดเสร็จเพียงผู้เดียว และเป็นผู้นำเผด็จการ ให้กับกรุงโรมเป็นเวลา 10 ปี
ซึ่งในอดีตนั้น ตำแหน่งเผด็จการนี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ อยู่ในช่วงเวลาที่คับขันหรือมีเรื่องฉุกเฉินทางการทหารเท่านั้น และจะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เพียงแค่ 6 เดือน แต่กับการแต่งตั้งตนเองเป็นเผด็จการนานสิบปีนั้น “จูเลียส ซีซาร์” ไม่สนใจกับกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ หรือทำเนียมเดิมที่เคยมีมา ทำให้เหล่าสมาชิกรัฐสภาต่างก็รู้สึกไม่พอใจซีซาร์เป็นอย่างมาก แต่ด้วยในขณะนั้นซีซาร์มีอำนาจอย่างมาก จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านได้ และคะแนนเสียงก็เป็นเอกฉันท์ และวาระการประชุมครั้งแรกของซีซาร์ คือการจัดหาอาหารให้กับประชาชนก่อน แล้วจึงปฏิรูปเรื่องต่างๆในกรุงโรมใหม่ทั้งหมด ทำให้ซีซาร์ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวโรมันเป็นอย่างมาก

ในขณะที่ซีซาร์นั้น วางตัวเองเหนือรัฐสภา แต่ซีซาร์ก็ยังอยากได้การสนับสนุนจากฝ่ายรัฐสภาเพิ่มขึ้น ซีซาร์จึงเรียกให้สมาชิกหลายคนเข้ามาช่วยร่างนโยบาย หนึ่งในนั้นก็คือ “บรูตัส” บุตรชายของ “เซอร์วิเลีย” ภรรยาลับของซีซาร์ ซึ่งบรูตัสเองนั้น ก็ยังเป็นคนสำคัญในกลุ่มของสมาชิกรัฐสภา และหากซีซาร์สามารถดึงบรูตัส มาเป็นพวกได้ ก็จะสามารถมีความได้เปรียบในเชิงการเมืองมากขึ้นอีกด้วย ซีซาร์จึงแต่งตั้งให้ “บรูตัส” ดำรงค์ตำแหน่งด้านการปกครอง คอยดูแลตรวจสอบในนโยบายทั้งในกรุงโรมและดินแดนทางเหนือ ก็คือ “โกล” อีกด้วย
แต่แล้วในขณะที่ซีซาร์กำลังควบคุมโรมได้อย่างเบ็ตเสร็จอยู่นั้น ซีซาร์กลับมีอาการป่วยด้วยโรคประหลาด สุดท้ายแล้วซีซาร์กับกรุงโรมจะเป็นอย่างไร พบกันตอนหน้ากับ “จูเลียส ซีซาร์” ในตอนจบครับ
จูเลียส ซีซาร์ 4/5 (พิชิตปอมปีย์ ช่วยเหลือคลีโอพัตรา ตั้งตัวเป็นเผด็จการ)
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
https://youtu.be/vxqTq23yXAA
เป็นเวลากว่าหนึ่งปี จูเลียส ซีซาร์ไล่ตาม ปอมปีย์ แม็กนัสไปทั่วแถมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งกับสงครามกลางเมืองในครั้งนี้ ส่อเค้าที่จะกลายเป็นสงครามทำลายสาธารณรัฐโรมัน และตอนนี้ ในสนามรับที่ ฟาซาลัส “ซีซาร์ มาร์คแอนโทนี่และทหารกว่า 20,000 นาย กำลังประจันหน้ากับ ปอมปีย์ บรูตัสและกองทัพกว่า 40,000 คน
ในระหว่างที่สองทัพต่างประจันหน้ากันอยู่นั้น ปอมปีย์วางแผนให้กองทหารม้ากว่า 7,000 คน เข้าลอบโจมตีซีซาร์ แต่ซีซาร์นั้นสามารถโต้กลับทหารม้าด้วยวิธีการที่ฉลาดกว่า โดยซีซาร์คาดการณ์ไว้แล้วว่า ปอมปีย์นั้นมั่นใจในกองกำลังทหารม้าของตนเองเป็นอย่างมาก ซีซาร์จึงสุ่มกำลังทหารราบไว้อีกกองนึง เพื่ออ้อมมาตีกระหนาบกองทัพของปอมปีย์
โดยในตอนนี้ความได้เปรียบจึงกลายมาอยู่ที่กองทัพของซีซาร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหนึ่งในข้อได้เปรียบของซีซาร์นั้น ก็คือการนำกองทหารชุดเดิมที่เคยช่วยพิชิต “โกล” มาก่อน สำหรับกองทหารชุดนี้ ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี และมีระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่ใช่เพียงแค่กับการรบที่กล้าหาญ แต่ยังรวมถึงระเบียบวินัยที่เคร่งครัดอีกด้วย
และแล้วหลังจากการรบจบลง “ปอมปีย์ แมคนัส”หนีไปได้ “จูเลียส ซีซาร์”จึงอ้างสิทธิ์กับชัยชนะในครั้งนี้ โดยซีซาร์นั้น สังหารคนของปอมปีย์ไปกว่า 15,000 คนและจับอีกกว่า 20,000 คนเป็นนักโทษ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “บรูตัส” บุตรชายของ “เซอร์วิเลีย” ภรรยาลับของ “ซีซาร์” ซึ่งกับชัยชนะของ จูเลียส ซีซาร์ที่ “ฟาร์ซาลัส” ในครั้งนี้ ซีซาร์รู้ดีว่าตนเองนั้น ยังไม่อาจมีอำนาจควบคุมโรมได้ หากปอมปีย์ยังมีชีวิตอยู่
และก็เป็นไปตามที่ซีซาร์คาดการณ์ไว้ ปอมปีย์ได้ไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพของอียิปต์ เพื่อกลับมาต่อสู้กับซีซาร์ โดยในขณะนั้น อาณาจักรอียิปต์นี้ ปกครองโดยกษัตริย์วัย 14 ปี นามว่า “โทเลมี” แต่ในขณะนั้นอียิปต์เองก็กำลังอยู่ในช่วงสงครามกลางเมืองอยู่เช่นกัน โดยก่อนที่บิดาของ”โทเลมี” จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้แต่งตั้งให้ “โทเลมี” เป็นกษัตริย์ร่วมกันกับพี่สาวของพระองค์ โดยทั้งสองพระองค์นี้ ก็ได้เสกสมรสกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากในสังคมของอียิปต์ในเวลานั้น แต่ต่อมาตอนหลังเกิดความขัดแย้งกัน และ “โทเลมี” จึงได้ตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการเพียงองค์เดียว ส่วนพี่สาวของพระองค์นั้นจึงได้หนีไป
แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อ “จูเลียส ซีซาร์” เดินทางมาถึงอียิปต์ ซีซาร์จึงได้รู้ว่าปอมปีย์นั้น ถูก “กษัตริย์โทเลมี” สังหารไปแล้ว ทำให้ซีซาร์รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก โดยซีซาร์นั้นคิดว่า แม้จะมีการขัดแย้งกันกับปอมปีย์อยู่ แต่ปอมปีย์เองก็เป็นถึงนายพลของโรมัน และยังมีความเกี่ยวดองกับตัวซีซาร์อีกด้วย จึงไม่สมควรที่จะประสบชะตากรรมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ ซีซาร์จึงปฏิเสธที่จะร่วมทำสงครามเพื่อกำจัดฝ่ายต่อต้านในอียิปต์ ทำให้ “กษัติรย์โทเลมี” ไม่พอใจและสั่งให้กักตัวซีซาร์ไว้ จนกว่าซีซาร์นั้นจะเปลี่ยนใจ
และเมื่อซีซาร์ปฏิเสธการสนับสนุนที่ช่วยโทเลมี จึงทำให้สถานการณ์ของซีซาร์ยิ่งมีอันตรายมากขึ้น แต่ซีซาร์กลับได้รับการช่วยเหลือจากฝ่ายต่อต้าน โดยอยู่ใต้การนำของพี่สาวกษัตริย์โทเลมี ซึ่งพระนางก็คือ “พระนางคลีโอพัตรา”
โดยพระนางคลีโอพัตรา เป็นหญิงที่มีความฉลาดและมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก ด้วยพระนางนั้น คิดอยากจะได้รับการสนับสนุน จากกองทัพของ “จูเลียส ซีซาร์” ในการช่วงชิงอำนาจในครั้งนี้ และด้วยความสามารถของ “พระนางคลีโอพัตรา” เป็นผลทำให้ “จูเลียส ซีซาร์” ตอบตกลงเข้าร่วมด้วย ทำให้คลีโอพัตราในตอนนี้พร้อมที่จะตอบโต้กษัตริย์โทเลมีกลับ
47 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพของ “จูเลียส ซีซาร์” และกองทหารของ “พระนางคลีโอพัตรา” กว่า 20,000 คน ได้ล้อม “กษัติรย์โทเลมี” ไว้ในกรุงอเล็กซานเดรีย และหลังจากการสู้รบกัน นานหลายเดือน กองทัพกษัตริย์โทเลมีก็พ่ายแพ้ ซึ่งในขณะที่พระองค์หนีออกจากนอกเมืองนั้น โทเลมีจมน้ำสิ้นพระชนม์ในแม่น้ำไนล์ และตอนนี้ “พระนางคลีโอพัตรา” สามารถควบคุมอียิปต์ได้ทั้งหมดแล้ว และ “จูเลียส ซีซาร์” นั้นก็เสร็จภาระกิจเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่ความสัมพันธ์ของซีซาร์กับคลีโอพัตรานั้น กลายเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าแค่เรื่องทางการเมือง
ในขณะที่ “จูเลียส ซีซาร์” กำลังจัดการเรื่องต่างๆ ในอียิปต์อยู่นั้น กรุงโรมก็กำลังอยู่ในช่วงของความสับสนวุ่นวาย ทั้งเกิดจราจล และเกิดการคาดแคลนอาหารเป็นอย่างมาก โดยมาร์ค แอนโทนี่ ได้รับมอบหมายให้มาดูแลจัดการเรื่อง
แต่แม้ว่า “มาร์ค แอนโทนี่” นั้นจะเป็นทหารที่มากฝีมือ กลับไม่มีความสามารถทางการเมืองและการปกครอง และกับวิธีการแก้ปัญหาในครั้งนี้ “มาร์ค แอนโทนี่” กลับใช้วิธีความรุนแรง เพื่อสลายการจราจล จึงทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายมากยิ่งขึ้น จนมีประชาชนถูกสังหารมากหลายร้อยคน รวมถึงผู้หญิงและเด็ก ๆ
โดยซีซาร์จำเป็นต้องจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่เพื่อมาช่วยแก้ปัญหาในครั้งนี้ ซีซาร์จึงเรียกสมาชิกรัฐสภาที่เคยอยู่ข้างปอมปีย์มาก่อน และซีซาร์เสนอการให้อภัยต่อความผิดทั้งหมดของสมาชิกรัฐสภาที่ให้การสนับสนุนปอมปีย์ แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่าต้องให้ตัว “จูเลียส ซีซาร์” นั้นถืออำนาจเบ็ดเสร็จเพียงผู้เดียว และเป็นผู้นำเผด็จการ ให้กับกรุงโรมเป็นเวลา 10 ปี
ซึ่งในอดีตนั้น ตำแหน่งเผด็จการนี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ อยู่ในช่วงเวลาที่คับขันหรือมีเรื่องฉุกเฉินทางการทหารเท่านั้น และจะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เพียงแค่ 6 เดือน แต่กับการแต่งตั้งตนเองเป็นเผด็จการนานสิบปีนั้น “จูเลียส ซีซาร์” ไม่สนใจกับกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ หรือทำเนียมเดิมที่เคยมีมา ทำให้เหล่าสมาชิกรัฐสภาต่างก็รู้สึกไม่พอใจซีซาร์เป็นอย่างมาก แต่ด้วยในขณะนั้นซีซาร์มีอำนาจอย่างมาก จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านได้ และคะแนนเสียงก็เป็นเอกฉันท์ และวาระการประชุมครั้งแรกของซีซาร์ คือการจัดหาอาหารให้กับประชาชนก่อน แล้วจึงปฏิรูปเรื่องต่างๆในกรุงโรมใหม่ทั้งหมด ทำให้ซีซาร์ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวโรมันเป็นอย่างมาก
แต่แล้วในขณะที่ซีซาร์กำลังควบคุมโรมได้อย่างเบ็ตเสร็จอยู่นั้น ซีซาร์กลับมีอาการป่วยด้วยโรคประหลาด สุดท้ายแล้วซีซาร์กับกรุงโรมจะเป็นอย่างไร พบกันตอนหน้ากับ “จูเลียส ซีซาร์” ในตอนจบครับ