(รีวิว) 10 วันใน Switzerland ดินแดนแห่งความฝัน

สวัสดีครับ รอบนี้ จะพาทุกท่านมาตะลุย 10 วันใน Switzerland ดินแดนที่ใครทุกคนใฝ่ฝัน ชีวิตนี้ต้องได้ไปสักครั้ง ครับผม จุ๊บๆจุ๊บๆ

ทริปนี้ Go No Plans ขอพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนแห่งธรรมชาติที่ใครหลายคนใฝ่ฝันที่จะไปเยือนสักครั้งในชีวิต ในครั้งนี้ เป็นการเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์แค่ประเทศเดียวเลย เพื่อพ่อกับแม่จะได้อิ่มเอมกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ แอดต้องบอกเลยว่าเป็นการเข้าไปพักผ่อนจากการทำงาน เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่จริงๆ สายธรรมชาติไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด smilesmile

แจกแพลนเที่ยว 10 วัน ไม่รวมวันไปและกลับ ตามนี้เลย
Day1 - Zurich  
Day2 - Schaffhausen > Luzern
Day3 - Luzern
Day4 - Luzern > Titlis mt. (วันที่แอดไปฟ้าไม่เปิด เลยไม่มีรูป)
Day5 - Luzern > Interlaken
Day6 - Interlaken > Jungfraujoch
Day7 - Meiringen > Aareschlucht > Thun
Day8 - Bern > Blausee
Day9 - Schilthorn > Murren > Lauterbrunnen
Day10 - Zermatt > Matterhorn

การเดินทาง > ผมแนะนำให้ซื้อ Swiss Pass เลยเพราะสะดวกสบายสุดๆ หากไปสวิสเกิน 7 วัน ก็แนะนำให้ซื้อ Swiss Pass แบบ 15 วันไปเลยเนื่องจากมีราคาแพงกว่ากันแค่นิดเดียว และการเดินทางด้วยรถไฟที่สวิสนี้ มีราคาค่อนข้างสูงมาก แต่หากคุณถือ Swiss Pass ไว้แล้วคุณสามารถไปไหนก็ได้ กี่เที่ยวก็ได้ ไม่ต้องห่วงว่าจะหลงทางเลยครับ แพลบๆ
(ปล.ผมไปช่วงเดือนเมษายนนะครับ ช่วงนี้อากาศกำลังดีเลยครับผม)

ที่พัก wink 
Luzern > ibis budget Hotel Luzern City (2 คืน)
Interlaken > Post Hardermannli (6 คืน)
Zermatt > Stockhorn (1 คืน)
Zurich > Hotel Gregory (1 คืน)

ทริปนี้บอกเลยว่าคุ้มค่าแน่นอน แต่ค่าเสียหายก็หนักหนาเหมือนกัน เพราะสวิสนั้นเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพแพงมากๆ แถมกินไม่ยั้ง เที่ยวก็ไม่หยุด รวมๆทั้งทริปพร้อมตั๋วเครื่องบิน (Etihad airways) ก็อยู่ที่ราว 100,000 - 150,000 บาท ต่อคนเลยทีเดียว แต่ต้องบอกว่าเหมือนเราไปเติมอากาศบริสุทธิ์ให้กับชีวิต เพื่อที่จะได้กลับมาทำงานใช้หนี้อย่างตรากตรำต่อไป 5555
สวิตเซอร์แลนด์คือหนึ่งในประเทศที่ควรค่าแก่การไปเยือนสักครั้งในชีวิต หากคุณคือสายธรรมชาติ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบแสงสี เมืองที่วุ่นวาย ก็กำตังแล้วหาตั๋วบินไปที่อื่นจะดีกว่าครับ
ยังไงลองไปดูรูปกันนะ พยายามคัดมาให้แล้ว พอดีถ่ายไปเกือบ 2พันรูป แต่เลือกมาลง 42 รูปมันเป็นความลำบากมากมายเลยครับ 
พร้อมแล้วหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์กันเลยคร้าบบบ winkwink

หลังจากผ่าน ตม. เราก็เริ่มเปิดใช้งาน Swiss Pass เพื่อนั่งรถไฟเข้าเมืองกันเลยครับ
จุดแรกที่ทุกคนจะต้องพบเมื่อมาถึงสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อนั่งรถไฟจากสนามบินเข้าเมือง ที่นี้คือ สถานีรถไฟซูริคนั้นเอง ซึ่งที่นี้เป็นศูนย์กลางของการเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์แห่งหนึ่งเลย
ภายนอกสถานีรถไฟซูริค เต็มไปด้วยร้านค้ามากมายเรียงรายกันอยู่ มีทั้งแบรนด์เนมและแบรนด์ต่างๆอยู่เต็มถนนไปหมด หากใครมาซูริค ยังไงก็ต้องแวะไปเดินถนนสายนี้ ที่นี้คือ ถนน Bahnhofstrasse ซึ่งเป็นหัวใจหลักของซูริคเลยครับ

ธงชาติสวิตเซอร์แลนด์มีสีแดง ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าจ๋า และมีฉากหลังของอาคารบ้านเรือนในเมืองซูริค ดูแล้วก็แปลกตาดีเหมือนกัน

ตรงนี้คือจุดไฮไลท์มุมมหาชนของเมืองซูริคเช่นกัน เนื่องจากเป็นมุมที่สามารถเห็นโบสถ์หลักประจำเมืองทั้ง 3 โบสถ์ได้พร้อมกัน โดยจุดดนี้จะอยู่ที่ Quaibrucke นั้นเองครับ
วันต่อมานั่งรถไฟจากซูริคไปยัง Schaffhuasen ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ติดกับประเทศเยอรมัน โดยเมืองนี้เป็นเมืองที่อนุรักษ์ความเก่าแก่ของเมืองไว้ได้ในระดับหนึ่ง โดยเมืองนี้เป็นที่ตั้งของน้ำตกไรน์ (Rhine Falls) ที่มีชื่อเสียง
น้ำตกไรน์ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มาจากแม่น้ำไรน์ ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างสวิตเซอแลนด์และเยอรมัน แต่วันที่ไปฝนดันตกซะอย่างหนัก จนท้องฟ้าไม่เปิดเลย แต่น้ำตกแห่งนี้สามารถเดินได้รอบเลย ซึ่งจะเห็นน้ำตกจากหลายๆมุมครับ

วันต่อมา มาที่เมืองลูเซิร์น ซึ่งสะพานไม้ในภาพนี้ตั้งอยู่กลางเมืองและเป็นสัญลักษณ์หลักของลูเซิร์นเลย ผมชอบเมืองนี้มากๆ เพราะคิดว่าเป็นเมืองที่มีสเน่ห์มากๆแห่งนึงในสวิสเลย ใช้เวลาเดินเล่นสบายๆ ถ่ายรูปเมืองที่เมืองลูเซิร์นแห่งนี้ ก็สามารถทำให้เพลิดเพลินได้เป็นอย่างมากเลยครับ

รูปสลักสิงโตสะอื้น คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปลูเซิร์นจะต้องแวะไปกัน ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่เท่าไรครับ สามารถเดินไปได้อย่างสบายๆ ครับ ใครที่มาลูเซิร์นก็อย่าลืมแวะไปทักทายน้องสิงโตกันนะครับ

มาถึงเมืองอินเทอร์ลาเก้น ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างสองทะเลสาบ นั้นคือทะเลสาบ Brienz และทะเลสาบ Thun โดยการเดินทางโดยเรือเป็นอีกหนึ่งวิธีในการชมทะเลสาบซึ่งสามารถขึ้นได้ฟรีโดยใช้ Swiss Pass นั้นเอง บอกเลยว่าน้ำในทะเลสาบฟ้ามากๆ โดยทะเลสาบ Brienz จะมีน้ำที่สีฟ้ามากกว่า ซึ่งสวยงามน่าดูไม่เบาครับ (แต่อาจจะเหมาะกับคนที่มีเวลาค่อนข้างมากนะครับ เพราะล่องประมาณ 2 ชม.เลยทีเดียว)

วันที่ไปถึงอินเทอร์ลาเก้น โชคดีว่าฟ้าเปิดแล้ว มองไปทางไหนก็สวยครับ แต่....
วันต่อมาหิมะก็ตกในทันใด โอ้ยย มาสวิตเซอร์แลนด์ครั้งนี้เจอทั้ง ฝน ทั้งหิมะ และก็แดด ผมเองนี้ปรับตัวไม่ถูกเลย เสื้อผ้าก็ไม่ได้เตรียมมาว่าจะต้องเจออากาศหนาวเย็นขนาดนี้เหมือนกันนน

วันนี้จะเดินทางไปขึ้นยอดเขาจุงเฟรา ซึ่งผู้ที่ถือสวิสพาส จะขึ้นยอดเขาแห่งนี้ต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ บอกเลยว่าค่าขึ้นเขาจุงเฟรานี้แพงมากๆ คนนึงราวๆ 5-6 พันบาทเลยย แต่มาแล้วก็ต้องเก็บให้มันครบไปเลยละกันน
วิวระหว่างสองข้างทางไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเป็นภูเขาหิมะไปหมด ต่อให้มองไปสุดลูกหูลูกตา วิวก็ยังเป็นภูเขาหิมะอยู่เลยครับ
การขึ้นจุงเฟราก็จะมีการแวะที่สถานีต่างๆเพื่อปรับสภาพร่างกาย ไหนๆเขาให้เราลงมาพักเพื่อรอรถ เราก็ขอแว่บไปถ่ายรูปสักหน่อยครับ
รถไฟมาแล้ววว คนสวิสก็ช่างคิด เอารถไฟสีแดงแปร๊ด มาวางตัดกับหิมะสีขาว และท้องฟ้าสีฟ้า มันกลายเป็นอะไรที่ดูแล้วสวยมากเลยจ้าา
แต่พอขึ้นมาบนยอดจุงเฟราที่เราจะได้เห็นธารน้ำแข็ง พร้อมท้องฟ้าสีสดใส แต่พอขึ้นมาปุ๊ปป ฟ้าปิดเลยจ้าาา สงสัยทำกรรมไว้เยอะ 555 รอตั้งนานสองนาน เมฆก้อนนี้ก็ไม่ยอมไปไหนเลย เลยต้องตัดใจและลงเขา
ปล. บนยอดนั้นหนาวมากครับ ตอนที่ไปอุณภูมิ -10 ได้ครับ
วิวหมู่บ้านระหว่างทางลงจากจุงเฟรา ต้องบอกเลยว่าไม่ว่าที่ไหนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็จะเป็นแบบนี้ไปเกือบทุกที่ จะได้เห็นวิวบ้านเรือนสลับภูเขาจนเบื่อเลยครับ
แวะมา Spiez เนื่องจากเป็นทางผ่านระหว่างนักรถไฟ ก็ขอถ่ายรูปจากสถานีรถไฟสักหน่อย
วันนี้เราเดินทางเพื่อจะไปชมธารน้ำที่ไหลผ่านช่องเขา โดยนั่งรถไฟจากอินเทอร์ลาเก้นไปยัง เมอรินเก้น โดยระหว่างทางที่เดินไปก็จะเห็นหมู่บ้านที่มีฉากหลังเป็นภูเขาตัดกันทั้งสีเขียว สีฟ้า สีขาว เลยครับ
มาถึงสักที อาเร่ชุก (Aareschucht) เป็นช่องธารน้ำไหลผ่านภูเขาธรรมชาติ ซึ่งชาวสวิสก็ได้มาสร้างทางเดินศึกษาธรรมชาติเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมครับ
เป็นธารน้ำที่กัดเซาะช่องเขาจนเกิดเป็นธรรมชาติที่สวยงามและแปลกตาไปอีกแห่งหนึง ที่แห่งนี้ยังถูกเรียกว่า Unseen Switzerland ที่ยังไม่ค่อยมีคนเดินทางมาสักเท่าไรครับ
มากับแม่ ก็ต้องถ่ายรูปให้แม่สักนิด ยืนถ่ายตรงไหนก็สวยครับ (อวยแม่ตัวเอง) 5555
ท้องฟ้าป็นริ้วเป็นเส้นยาวๆ ทั้งท้องฟ้า ดูแล้วสบายใจมากๆเลยครับ
วันนี้มานั่งชิลๆ ริมทะเลสาบที่เมืองทูน อากาศดีดีมันก็จะสบายๆหน่อยแหละเนอะ winkwink
วันนี้จะเดินทางไปยอดเขาชิลทอร์นซึ่งมันจะต้องเดินทางผ่านเมืองเลาเทอบรูนเนน เป็นเมืองที่มีน้ำตกไหลจากหน้าผา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่สวยมากอีกแห่งหนึ่ง 

ต่อแถวขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปชิลทอร์นกันครับ
พอผ่านพ้นชั้นเมฆขึ้นมา มองไปทางไหนก็สวยครับ ถือว่าคุ้มค่าจริงๆที่ได้มาที่แห่งนี้ ที่สำคัญสวิสพาสขึ้นฟรีครับ ถ้าหันมองอีกด้านหนึงจะเป็นวิวของยอดเขาจุงเฟราครับผม
วิวของยอดเขาจุงเฟรา (ตรงกลางยอดแหลมๆ) เหมือนมาชมทะเลหมอกเลยครับผม อากาศก็เย็นนะ แต่แดดค่อนข้างแรงเลย แนะนำให้ใส่แว่นกันแดดครับ
ที่ชิลทอร์นแห่งนี้เห็นสถานที่ๆถ่ายทำหนังเรื่อง 007 ซึ่งทางสวิตเซอร์แลนด์ก็นำ 007 มาเป็นเครื่องช่วยโปรโมทภูเขาชิลทอร์นแห่งนี้ครับ ยอดเขาแห่งนี้ผมคิดว่าสวยกว่าจุงเฟรานะ เพราะคุณสามารถเห็นยอดจุงเฟราพร้อมเขารอบข้างได้อย่างชัดเจน หากวันไหนที่ฟ้าเปิด ก็จะไม่มีก้อนเมฆมารบกวนสายตาคุณเลยทั้งข้างบนท้องฟ้า และข้างล่าง ทำให้สามารถมองเห็นวิวที่พื้นได้เช่นกัน
ขากลับแวะเมือง Murren ซึ่งเป็นเมืองพักตากอากาศสำหรับคนที่มาชิลทอร์นครับ
สวยมาก สมกับเป็นประเทศในฝันครับ
นั่งเคเบิ้ลคาร์ลงมาที่เมืองเลาเทอบรูเนน แเล้วเดินเล่นในเมืองสักพัก ก็จะเห็นน้ำตกที่เป็นสัญลักษณ์หลักของเมืองนี้ ซึ่งน้ำตกมันก็วางอยู่เป็นฉากหลังของเมืองได้อย่างลงตัวมาก
วันรุ่งขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวเมืองกันซะหน่อย ไม่งั้นจะเบื่อภูเขาจนเกินไป วันนี้มาเมือง Bern ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ มาถึงจุดนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่า ซูริคตั้งหากเมืองหลวง แต่บอกเลยครับว่าคุณกำลังเข้าใจผิด 555

v
v
ขอต่อในคอมเม้นนะครับผม hahahaha
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่