สวัสดีค่ะ เราไม่เคยคิดเลยว่าเราจะต้องมานั่งเขียนประสบการณ์ที่เราได้เจอมาแบบนี้ลงในพันทิป เราเคยแต่เข้ามาอ่าน ไม่เคยคิดว่าจะเจอเรื่องร้ายๆ กับตัวเองเลย ทั้งที่เราคิดว่าอะไรๆ กำลังไปได้สวย แต่สุดท้ายครอบครัวของเราที่ยังไม่ทันได้เริ่มก็ต้องพังทลายลงในพริบตา ไม่พูดเยอะเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า (ยาวหน่อยนะคะ)
เรากับสามีเรารู้จักกันที่ทำงานเก่า แต่ต่อมาเราทั้งคู่ได้ลาออกจากงานนั้น แล้วสามีเราก็ได้งานประจำ ส่วนเราก็ได้งานเป็นเลขานุการผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่งที่ จ.สมุทรปราการ ต่อมาที่ทำงานเราต้องการพนักงานเราเลยแนะนำสามีให้มาสมัครงานที่บริษัทเรา แต่สถานที่ทำงานอยู่กันคนละที่นะคะ เราทำที่สำนักงานใหญ่ ส่วนสามีเราทำที่สาขาย่อย ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม สามีเราก็ได้เข้าทำงานในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้จัดการโรงงาน
เรากับสามีเป็นคนใต้ด้วยกันทั้งคู่แต่อยู่คนละจังหวัด พวกเราแต่งงานกันเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน 2018 พอถึงสิ้นเดือนกรกฏาคมเรารู้ว่าเราท้อง เพราะประจำเดือนเราไม่มาเลยไปซื้อที่ตรวจมาตรวจ พอรู้ว่าท้องเรากับสามีก็ตกใจน่ะ ไม่คิดว่าจะมีลูกเร็วขนาดนี้ แต่เราสองคนก็คุยกันว่าจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี
เดือนกันยายน 2018 สามีเราพาเราไปฝากครรภ์และดูแลเราตามปกติ ตอนเราท้องแก่ก็มีอารมณ์แบบน้อยใจสามีมากขึ้น รู้สึกว่าสามีไม่ใส่ใจเราเหมือนเดิม เรานอนร้องไห้บ่อยมาก แต่ไม่เคยบอกเขา เราฝันว่าสามีเราไปมีผู้หญิงคนอื่นประมาณ 3 ครั้ง เราก็บอกเขานะว่าเราฝันแบบนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไร บางครั้งเราอ่านข่าวแล้วเห็นว่ามีข่าวเกี่ยวกับแม่เลี้ยงเดี่ยวบ่อยมาก เราก็คุยกับเขานะ ว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวเยอะจัง ทำไมผู้ชายเป็นแบบนี้นะ อีกอย่างเราเคยถามเขาว่าเธออยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ไหม สามีเราเขาก็ตอบนะว่าอยากสิ เราก็บอกเขาไปว่า งั้นเรามาสร้างครอบครัวของเรากันนะ!
จนปลายเดือนเมษายน 2019 เราคลอดลูก เรารู้สึกมีความสุขมาก ได้เจอหน้าลูกสักที สามีเราลางาน 1 อาทิตย์เพื่อมาดูแลเรากับลูก สามีบอกว่าจะให้แม่เขาขึ้นมาเลี้ยงลูก ซึ่งเราก็โอเค สามีเราเลยวางแผนกลับบ้านที่ใต้ประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อไปรับแม่มากรุงเทพฯ
ตอนนั้นเราก็บอกเขาแหละว่าไปนานเกินไปหรือเปล่า เราต้องอยู่บ้านคนเดียว เลี้ยงลูกคนเดียว เนื่องจากเป็นคุณแม่มือใหม่เราก็เลยกลัวๆ และขอให้เขากลับมาเร็วขึ้นหน่อย แต่เขาไม่พูดอะไร ตอนหลังก็รู้ว่าเขาจองตั๋วเครื่องบินไปกลับตามที่เขาวางแผนไว้ คือวันที่ 24-30 พฤษภาคม 2019 เราเลยต้องขอให้ญาติของเรามาอยู่เป็นเพื่อนเราเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ช่วงที่เขาไม่อยู่เราก็ติดต่อกันผ่านวีแช็ตแบบปกติ แต่พอเราวิดีโอคอลหาเขาเพราะอยากคุยกับแม่สามีเพื่อให้เขาได้เห็นหลานแต่สามีกลับไม่รับสาย และเริ่มตอบแช็ตช้ากว่าปกติ สามีบอกเราว่าแบตหมด สายชาร์ตแบตไม่ดี ต้องขยับสายอยู่บ่อยๆ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ใช่คนที่ขี้ระแวง หรือคอยตามจิก คนใกล้ตัวจะรู้ดีว่าเราเป็นคนที่เชื่อใจ ไว้ใจสามีเรามาก และมั่นใจมากว่าเขาจะไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่ดี หรือทรยศความไว้ใจของเรา เราก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรในเคสนี้
30 พฤษภาคม 2019 เวลา 04:23 เราตื่นมาให้นมลูก แล้วก็มีผู้ชายคนนึงทักเรามาทางแช๊ตของเฟซบุ๊ก เราก็ตอบกลับ “สวัสดีค่ะ” ตามมารยาท เราเข้าไปดูเฟซเขา เลื่อนลงมาเจอรูปโพรไฟล์ของปีก่อนซึ่งเป็นรูปคู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เรารู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้มากแต่ก็คิดไม่ออกว่าคือใคร เราส่งถามเขาไปว่า “มีธุระอะไรหรอค่ะ??” แต่เขาก็เงียบไป เราเลยนอนต่อ แต่พอเราตื่นมาก็เจอข้อความจากเขาที่อ่านแล้วมีแต่คำถามกับตัวเอง!
เขาบอกเราว่าเขาจับได้ว่าภรรยาของเขากับสามีเราแอบมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกันเชิงชู้สาว!!!! ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แต่เขาเริ่มระแคะระคายตั้งแต่ต้นปี 2019 และบอกให้ภรรยาเขาเลิกกับสามีเรา เพื่อเห็นแก่เด็กในท้อง (ลูกของเรา) ตอนที่เขารู้เขายังหาทางติดต่อเราไม่ได้ เลยไม่มีโอกาสจะบอกเรา
พอเราอ่านแล้วเรานี่ช็อกมาก แต่ยังไม่อยากจะปักใจเชื่อ เลยบอกเขาไปว่าเราจะรอถามสามีตอนที่เขากลับมาเพื่อให้แน่ใจก่อนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง! แต่ที่เราช็อกมากไปอีกคือ เขาบอกว่าตอนนี้สามีเรากับภรรยาเขาอาจจะเดินทางไปใต้ด้วยกัน!!
30 พ.ค. 2019 เวลาประมาณ บ่าย 3-4 โมง สามีเรากลับถึงบ้าน เราก็ขอมือถือของเขามาดูเพราะเราอยากเช็คเผื่อจะมีข้อมูลอะไรบ้าง (ปกติเรารู้รหัสผ่านนะแต่เราไม่เคยเช็คแบบสืบหาความลับ ก่อนหน้านี้แค่เอามาส่งรูปที่ถ่ายด้วยกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยมีท่าทีที่ผิดปกติ แต่ครั้งนี้เขามีท่าทีหวงมือถือมากเป็นพิเศษ ถึงกับขนาดเดินตามเรา พอเราใส่รหัสและเปิดเข้าไลน์เท่านั้นแหละ เขาถามเราว่าจะทำอะไร
ในขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงส่งไลน์มาบอกว่า “ตัวเองส่งของให้เค้าด้วยน่ะ” หื้อ...รู้สึกหน้าชา แล้วสามีเราก็พูดว่า “เธอจะทำอะไร นี่มันสิทธิส่วนบุคคลน่ะ” เราก็เลยเอามือถือคืนให้เขาไป (ของที่ว่าก็คือหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นลาออกจากที่ทำงานก็ยังเก็บของไม่หมด เลยส่งมาบอกให้สามีเราช่วยส่งของที่เหลือกลับไปให้หน่อย)
เราต้องตะลึงอีกรอบก็เพราะหลังจากที่ได้รับของสามีของผู้หญิงคนนั้นก็บอกให้เปิดกล่องไปรษณีย์ต่อหน้าเขาเลย ปรากฏว่า สามีเราแอบส่งแหวนเพชรไปให้เป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า สามีผู้หญิงบอกให้ส่งแหวนคืนเพราะสิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันไม่ถูกต้อง แต่ผู้หญิงไม่ยอมคืน เราเห็นข้อความในบันทึกของเขาทีหลังว่าเขาสัญญาว่าจะรักษาไว้อย่างดี เรานี่อึ้งไปเลย เพราะขนาดเรายังไม่เคยได้ของขวัญอะไรแบบนี้ ตอนแต่งงานกันเราก็แต่งกันแบบเรียบง่าย สินสอดทองหมั้นทางบ้านเราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เพราะเข้าใจว่าเขามีภาระเยอะ ขอเพียงให้ดูแลกันให้ดีๆ ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อเรารู้เรื่องทั้งหมดเราเลยให้เขาอ่านข้อความที่สามีผู้หญิงคนนั้นส่งมาหาเรา แล้วถามเขาว่า มันคือเรื่องจริงหรอ คำตอบตอบที่เราได้คือ...จริง!
เท่านั้นแหละน้ำตาไหลแบบไม่หยุดเลย ไม่คิดว่าคนที่เราไว้ใจ ตั้งใจจะฝากอีกครึ่งชีวิตที่เหลือไว้กับเขา จะทำกับเราได้เจ็บแสบขนาดนี้ เราบอกเขาว่า เราจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเราที่ใต้และจะเอาลูกไปด้วย ที่จริงตอนนั้นเรารับไม่ได้นะ อารมณ์เราดิ่งลงสุดๆ แต่เราพยายามควบคุมอารมณ์ เราไม่ได้โวยวายเลย คุยกับสามีด้วยเหตุและผล แต่ตอนนั้นแม่สามีและญาติๆ อยู่ด้วย ก็เลยไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรเยอะ
ตอนนั้นเราไม่รู้จะปรึกษาใคร ไม่อยากจะบอกพ่อแม่เพราะกลัวพ่อแม่เสียใจ ญาติๆ เราทุกคนรักและเอ็นดูสามีเรามาก รักเหมือนลูกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ในที่สุดเราเลยตัดสินใจบอกพี่สาวเรา ตอนแรกพี่สาวก็เคารพในการตัดสินใจของเรานะ และบอกว่าถ้าเราอยากกลับบ้านก็กลับเพราะเข้าใจความรู้สึกเรา แต่คุยไปคุยมาพี่สาวเขาเหมือนพยายามให้เรามองอีกมุมหนึ่งของชีวิต เขาพูดมาประโยคหนึ่งว่า “ความเป็นครอบครัวยังไม่ทันได้เริ่มเลย ลองให้โอกาสเขาดูสักครั้งไหม ให้โอกาสเขาก็เหมือนให้โอกาสตัวเอง ให้โอกาสลูกได้อยู่กับพ่อ ถ้าเขาทำไม่ได้แล้วต้องแยกทางกัน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะเราพยายามทำดีที่สุดแล้ว อีกอย่างเราจะมีคำตอบและเหตุผลที่ดีพอไว้อธิบายให้ลูกฟัง”
หลังจากนั้นพี่สาวเราก็โทรมาคุยกับสามีเราด้วยเพื่อหาสาเหตุของการนอกใจเผื่อจะได้ปรับตัวเข้าหากันใหม่ได้ และเพื่อเตือนสติว่าเขาทำอะไรลงไป พยายามให้สามีเราคิดถึงครอบครัว ขนาดพี่เราพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดคุยแบบใจเย็นมาก ไม่ด่า ไม่ดุเขาสักคำ เขาก็ยังเงียบไม่ยอมเปิดใจ เอาแต่เงียบ ก่อนวางสายก็บอกแค่ว่าความคิดเห็นไม่ตรงกันแต่จะลองมาคุยกับเราอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นานสามีเราก็ไปปรึกษาพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าเลือกเรากับลูกหรือเลือกผู้หญิงคนนั้นดี พี่ชายเขาบอกว่าถ้าเป็นเขา เขาจะเลือกครอบครัว!! (อันนี้เรามารู้ทีหลัง) หลังจากคุยเสร็จสามีก็เดินมาบอกเราว่าเขาจะเลือกครอบครัว
ส่วนเราก็ตอบสามีไปว่า “เราจะอยู่ต่อ เพราะเราอยากให้โอกาสเขาและให้โอกาสตัวเราเอง เราไม่อยากเดินจากไปแบบปิดกั้นโอกาส เพราะถ้าเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง เรากลัวว่าจะมาเสียใจภายหลัง ที่ทำให้ลูกมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์”
หลังจากนั้นเราก็ลองคุยรายละเอียดกับเขานะว่าเรื่องระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นเป็นมายังไง และมีอะไรที่ทำให้เลือกที่จะเดินจากเรากับลูกไป และมีอะไรที่เราต้องปรับตัว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก บอกแค่ว่า “มันเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เขาลืมมันไปหมดแล้ว แล้วจำไม่ได้ว่าไม่พอใจเราเรื่องอะไร แต่ถ้ามันเกิดเหตุการณ์แบบเดิมขึ้นมาใหม่ เขาจะรีบบอกเราให้แก้ไขปรับปรุง”
เราถามเขาว่ายังรักเราไหม เขาบอกเราว่า “ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเราไม่เหมือนเดิม คือเขาไม่มีความรักแบบหนุ่มสาวให้เรา มีให้แต่ความรักในแบบครอบครัว ส่วนความรักที่มีให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นความรักแบบหนุ่มสาว” เราฟังแล้วก็แอบคิดว่า "เออ..ความรักแบบครอบครัวก็ดีนะ มันยั่งยืนและยาวนานกว่าความรักแบบชู้สาว"
เราลืมบอกว่าสามีของผู้หญิงคนนั้นบอกเราว่า สามีเราได้คุยตกลงกับผู้หญิงคนนั้นเรื่องลูกของเราด้วย แต่เราไม่รู้รายละเอียด บอกแค่ว่ามีคุยเรื่องลูกของเรากันไว้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็เอ็นดูลูกเรา และถ้าเรารู้เรื่องนี้จากปากคนอื่น สามีจะบอกเราว่าเขาตัดสินใจเลือกผู้หญิงคนนั้น แต่ถ้าเกิดลูกเราอายุได้ 6 เดือนหรือ 1 ปี แล้วเรายังไม่รู้เรื่อง สามีเราก็จะเป็นคนมาบอกเราเอง
พอเราถามสามีว่าจริงไหม เขาบอกว่า จริง! มีคุยกันไว้ ....นกบินวนบนหัวเลยจ้า นี่วางแผนกันไปไกลมากขนาดนี้เลยเหรอ คำตอบของเขาทำให้เราเริ่มไม่มั่นใจว่าที่เขาเลือกครอบครัวนี่เป็นความต้องการและเกิดจากความสำนึกได้ของเขาจริงๆ ไหม เพราะถ้าไม่ใช่ เราก็กำลังให้โอกาสกับคนที่ไม่ได้อยากได้โอกาส แต่เขาแค่พยายามฝืนรับเอาไป
หลังจากนั้นสามีเราขอเวลาประมาณ 4 วัน เพื่อคุยข้อสรุปและยุติความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเราก็โอเค ในคืนสุดท้ายเขาสองคนโทรคุยกันจนถึงประมาณตี 2 เราคิดไปคิดมารู้สึกว่าตัวเองใจดี ใจเย็น หรือว่าเราโง่กันแน่! แต่เราก็มีข้อตกลงกับเขานะคะว่าหลังจากนี้ก็ขอว่าอย่าติดต่อกันอีก จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเขาก็รับปากเรา!
หลังจากที่ตกลงกันแล้วนั้น ช่วงแรกๆ แววตาสามีเราเศร้ามาก เศร้าตลอดเวลา ร้องไห้ ตาแดง แบบคนทำใจไม่ได้ เหมือนวัยรุ่นอกหัก พี่ชายเขาก็พยายามแวะมาหาบ่อยๆ ชวนไปออกกำลังกายเพื่อให้ลืมและกลับมาเหมือนเดิมไวไว จนผ่านไปได้สักอาทิตย์กว่าๆ เรารู้สึกได้ว่าเขาดีขึ้นและเริ่มยิ้มได้
21 มิถุนายน 2019 สามีเรามีนัดสัมภาษณ์งานที่รัชดาฯ เวลาบ่าย 3 โมง ใช้เวลาสัมภาษณ์ไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ แต่เขาโทรมาบอกเราว่าเขาจะเดินเล่นและหาอะไรกินแถวนั้น ซึ่งมันผิดปกติมากเพราะปกติถ้าเขาทำธุระเสร็จก็จะกลับบ้านเลย
ในวันเดียวกันนั้นสามีผู้หญิงคนนั้นก็ส่งข้อความมาหาเราว่าภรรยาเขาออกจากบ้านบอกเขาว่าจะไปธุระที่ห้างแถวบ้าน แต่แต่งตัวแต่งหน้าเต็มมากทั้งที่ปกติไม่แต่ง โทรไปหาก็ไม่รับสาย แล้วก็กลับถึงบ้านดึก พอถามก็บอกไม่ได้ไปเจอ แต่กลับมีบัตรค่าทางด่วนลงแถวจตุจักรติดกระเป๋ามาด้วย ทำให้เรื่องนี้ยิ่งมีเงื่อนงำไปอีก!
เรารอสามีกลับบ้านแต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยกัน ตกดึกเราเลยขอมือถือมาเช็ค และรอจนวันถัดมาเราก็ถามเขาตรงๆ ว่าเธอยังติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอยู่และแอบไปเจอกันมาหลังสัมภาษณ์งานเสร็จใช่ไหม? เขาก็ยืนกรานว่าไม่ได้ไปเจอ ส่วนเรายืนยันกับสามีว่า เขาสองคนไปเจอกันมาและไล่เรียงเหตุการณ์เลยว่าเป็นมายังไง สามีเราเงียบจ้า เถียงต่อไม่ได้ ไม่ขอโทษ แล้วถามเราว่าเรารู้ได้ยังไง!! (สามีเราเป็นคนปากแข็งมาก ถ้าไม่มีหลักฐานจะไม่มีทางยอมรับ และถึงมีหลักฐานก็ไม่ยอมอ้าปากพูด เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก) และนี่เป็นสาเหตุให้เราต้องงัดหลักฐานจากโทรศัพท์ของเขามาดูว่ายังคงมีบัญชีไลน์ของผู้หญิงคนนั้นค้างอยู่ในเครื่องทั้งๆ ที่เราบล็อกและลบบัญชีทิ้งไปแล้วตั้งแต่ตกลงกันครั้งก่อน และให้เขาดูว่าเมื่อวานเขาเดินทางไปไหนมาบ้าง และจุดหมายปลายทางของสามีเราก็อยู่แถวยานจตุจักรเหมือนกัน!
สามีเราบอกว่า ไม่อยากให้เราคิดมาก เขาคิดว่าแค่ไปเจอกันเฉยๆ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เลยไม่ได้บอกเรา!
ความยาวไม่พอ อ่านต่อได้ที่นี่นะคะ --->
https://ppantip.com/topic/39182183
เมื่อสามีเป็นชู้กับเมียคนอื่นตอนเราท้อง กับการให้อภัยที่ไร้ค่า (ตอนที่ 1/2)
เรากับสามีเรารู้จักกันที่ทำงานเก่า แต่ต่อมาเราทั้งคู่ได้ลาออกจากงานนั้น แล้วสามีเราก็ได้งานประจำ ส่วนเราก็ได้งานเป็นเลขานุการผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่งที่ จ.สมุทรปราการ ต่อมาที่ทำงานเราต้องการพนักงานเราเลยแนะนำสามีให้มาสมัครงานที่บริษัทเรา แต่สถานที่ทำงานอยู่กันคนละที่นะคะ เราทำที่สำนักงานใหญ่ ส่วนสามีเราทำที่สาขาย่อย ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม สามีเราก็ได้เข้าทำงานในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้จัดการโรงงาน
เรากับสามีเป็นคนใต้ด้วยกันทั้งคู่แต่อยู่คนละจังหวัด พวกเราแต่งงานกันเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน 2018 พอถึงสิ้นเดือนกรกฏาคมเรารู้ว่าเราท้อง เพราะประจำเดือนเราไม่มาเลยไปซื้อที่ตรวจมาตรวจ พอรู้ว่าท้องเรากับสามีก็ตกใจน่ะ ไม่คิดว่าจะมีลูกเร็วขนาดนี้ แต่เราสองคนก็คุยกันว่าจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี
เดือนกันยายน 2018 สามีเราพาเราไปฝากครรภ์และดูแลเราตามปกติ ตอนเราท้องแก่ก็มีอารมณ์แบบน้อยใจสามีมากขึ้น รู้สึกว่าสามีไม่ใส่ใจเราเหมือนเดิม เรานอนร้องไห้บ่อยมาก แต่ไม่เคยบอกเขา เราฝันว่าสามีเราไปมีผู้หญิงคนอื่นประมาณ 3 ครั้ง เราก็บอกเขานะว่าเราฝันแบบนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไร บางครั้งเราอ่านข่าวแล้วเห็นว่ามีข่าวเกี่ยวกับแม่เลี้ยงเดี่ยวบ่อยมาก เราก็คุยกับเขานะ ว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวเยอะจัง ทำไมผู้ชายเป็นแบบนี้นะ อีกอย่างเราเคยถามเขาว่าเธออยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ไหม สามีเราเขาก็ตอบนะว่าอยากสิ เราก็บอกเขาไปว่า งั้นเรามาสร้างครอบครัวของเรากันนะ!
จนปลายเดือนเมษายน 2019 เราคลอดลูก เรารู้สึกมีความสุขมาก ได้เจอหน้าลูกสักที สามีเราลางาน 1 อาทิตย์เพื่อมาดูแลเรากับลูก สามีบอกว่าจะให้แม่เขาขึ้นมาเลี้ยงลูก ซึ่งเราก็โอเค สามีเราเลยวางแผนกลับบ้านที่ใต้ประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อไปรับแม่มากรุงเทพฯ
ตอนนั้นเราก็บอกเขาแหละว่าไปนานเกินไปหรือเปล่า เราต้องอยู่บ้านคนเดียว เลี้ยงลูกคนเดียว เนื่องจากเป็นคุณแม่มือใหม่เราก็เลยกลัวๆ และขอให้เขากลับมาเร็วขึ้นหน่อย แต่เขาไม่พูดอะไร ตอนหลังก็รู้ว่าเขาจองตั๋วเครื่องบินไปกลับตามที่เขาวางแผนไว้ คือวันที่ 24-30 พฤษภาคม 2019 เราเลยต้องขอให้ญาติของเรามาอยู่เป็นเพื่อนเราเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ช่วงที่เขาไม่อยู่เราก็ติดต่อกันผ่านวีแช็ตแบบปกติ แต่พอเราวิดีโอคอลหาเขาเพราะอยากคุยกับแม่สามีเพื่อให้เขาได้เห็นหลานแต่สามีกลับไม่รับสาย และเริ่มตอบแช็ตช้ากว่าปกติ สามีบอกเราว่าแบตหมด สายชาร์ตแบตไม่ดี ต้องขยับสายอยู่บ่อยๆ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ใช่คนที่ขี้ระแวง หรือคอยตามจิก คนใกล้ตัวจะรู้ดีว่าเราเป็นคนที่เชื่อใจ ไว้ใจสามีเรามาก และมั่นใจมากว่าเขาจะไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่ดี หรือทรยศความไว้ใจของเรา เราก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรในเคสนี้
30 พฤษภาคม 2019 เวลา 04:23 เราตื่นมาให้นมลูก แล้วก็มีผู้ชายคนนึงทักเรามาทางแช๊ตของเฟซบุ๊ก เราก็ตอบกลับ “สวัสดีค่ะ” ตามมารยาท เราเข้าไปดูเฟซเขา เลื่อนลงมาเจอรูปโพรไฟล์ของปีก่อนซึ่งเป็นรูปคู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เรารู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้มากแต่ก็คิดไม่ออกว่าคือใคร เราส่งถามเขาไปว่า “มีธุระอะไรหรอค่ะ??” แต่เขาก็เงียบไป เราเลยนอนต่อ แต่พอเราตื่นมาก็เจอข้อความจากเขาที่อ่านแล้วมีแต่คำถามกับตัวเอง!
เขาบอกเราว่าเขาจับได้ว่าภรรยาของเขากับสามีเราแอบมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกันเชิงชู้สาว!!!! ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แต่เขาเริ่มระแคะระคายตั้งแต่ต้นปี 2019 และบอกให้ภรรยาเขาเลิกกับสามีเรา เพื่อเห็นแก่เด็กในท้อง (ลูกของเรา) ตอนที่เขารู้เขายังหาทางติดต่อเราไม่ได้ เลยไม่มีโอกาสจะบอกเรา
พอเราอ่านแล้วเรานี่ช็อกมาก แต่ยังไม่อยากจะปักใจเชื่อ เลยบอกเขาไปว่าเราจะรอถามสามีตอนที่เขากลับมาเพื่อให้แน่ใจก่อนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง! แต่ที่เราช็อกมากไปอีกคือ เขาบอกว่าตอนนี้สามีเรากับภรรยาเขาอาจจะเดินทางไปใต้ด้วยกัน!!
30 พ.ค. 2019 เวลาประมาณ บ่าย 3-4 โมง สามีเรากลับถึงบ้าน เราก็ขอมือถือของเขามาดูเพราะเราอยากเช็คเผื่อจะมีข้อมูลอะไรบ้าง (ปกติเรารู้รหัสผ่านนะแต่เราไม่เคยเช็คแบบสืบหาความลับ ก่อนหน้านี้แค่เอามาส่งรูปที่ถ่ายด้วยกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยมีท่าทีที่ผิดปกติ แต่ครั้งนี้เขามีท่าทีหวงมือถือมากเป็นพิเศษ ถึงกับขนาดเดินตามเรา พอเราใส่รหัสและเปิดเข้าไลน์เท่านั้นแหละ เขาถามเราว่าจะทำอะไร
ในขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงส่งไลน์มาบอกว่า “ตัวเองส่งของให้เค้าด้วยน่ะ” หื้อ...รู้สึกหน้าชา แล้วสามีเราก็พูดว่า “เธอจะทำอะไร นี่มันสิทธิส่วนบุคคลน่ะ” เราก็เลยเอามือถือคืนให้เขาไป (ของที่ว่าก็คือหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นลาออกจากที่ทำงานก็ยังเก็บของไม่หมด เลยส่งมาบอกให้สามีเราช่วยส่งของที่เหลือกลับไปให้หน่อย)
เราต้องตะลึงอีกรอบก็เพราะหลังจากที่ได้รับของสามีของผู้หญิงคนนั้นก็บอกให้เปิดกล่องไปรษณีย์ต่อหน้าเขาเลย ปรากฏว่า สามีเราแอบส่งแหวนเพชรไปให้เป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า สามีผู้หญิงบอกให้ส่งแหวนคืนเพราะสิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันไม่ถูกต้อง แต่ผู้หญิงไม่ยอมคืน เราเห็นข้อความในบันทึกของเขาทีหลังว่าเขาสัญญาว่าจะรักษาไว้อย่างดี เรานี่อึ้งไปเลย เพราะขนาดเรายังไม่เคยได้ของขวัญอะไรแบบนี้ ตอนแต่งงานกันเราก็แต่งกันแบบเรียบง่าย สินสอดทองหมั้นทางบ้านเราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เพราะเข้าใจว่าเขามีภาระเยอะ ขอเพียงให้ดูแลกันให้ดีๆ ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อเรารู้เรื่องทั้งหมดเราเลยให้เขาอ่านข้อความที่สามีผู้หญิงคนนั้นส่งมาหาเรา แล้วถามเขาว่า มันคือเรื่องจริงหรอ คำตอบตอบที่เราได้คือ...จริง!
เท่านั้นแหละน้ำตาไหลแบบไม่หยุดเลย ไม่คิดว่าคนที่เราไว้ใจ ตั้งใจจะฝากอีกครึ่งชีวิตที่เหลือไว้กับเขา จะทำกับเราได้เจ็บแสบขนาดนี้ เราบอกเขาว่า เราจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเราที่ใต้และจะเอาลูกไปด้วย ที่จริงตอนนั้นเรารับไม่ได้นะ อารมณ์เราดิ่งลงสุดๆ แต่เราพยายามควบคุมอารมณ์ เราไม่ได้โวยวายเลย คุยกับสามีด้วยเหตุและผล แต่ตอนนั้นแม่สามีและญาติๆ อยู่ด้วย ก็เลยไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรเยอะ
ตอนนั้นเราไม่รู้จะปรึกษาใคร ไม่อยากจะบอกพ่อแม่เพราะกลัวพ่อแม่เสียใจ ญาติๆ เราทุกคนรักและเอ็นดูสามีเรามาก รักเหมือนลูกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ในที่สุดเราเลยตัดสินใจบอกพี่สาวเรา ตอนแรกพี่สาวก็เคารพในการตัดสินใจของเรานะ และบอกว่าถ้าเราอยากกลับบ้านก็กลับเพราะเข้าใจความรู้สึกเรา แต่คุยไปคุยมาพี่สาวเขาเหมือนพยายามให้เรามองอีกมุมหนึ่งของชีวิต เขาพูดมาประโยคหนึ่งว่า “ความเป็นครอบครัวยังไม่ทันได้เริ่มเลย ลองให้โอกาสเขาดูสักครั้งไหม ให้โอกาสเขาก็เหมือนให้โอกาสตัวเอง ให้โอกาสลูกได้อยู่กับพ่อ ถ้าเขาทำไม่ได้แล้วต้องแยกทางกัน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะเราพยายามทำดีที่สุดแล้ว อีกอย่างเราจะมีคำตอบและเหตุผลที่ดีพอไว้อธิบายให้ลูกฟัง”
หลังจากนั้นพี่สาวเราก็โทรมาคุยกับสามีเราด้วยเพื่อหาสาเหตุของการนอกใจเผื่อจะได้ปรับตัวเข้าหากันใหม่ได้ และเพื่อเตือนสติว่าเขาทำอะไรลงไป พยายามให้สามีเราคิดถึงครอบครัว ขนาดพี่เราพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดคุยแบบใจเย็นมาก ไม่ด่า ไม่ดุเขาสักคำ เขาก็ยังเงียบไม่ยอมเปิดใจ เอาแต่เงียบ ก่อนวางสายก็บอกแค่ว่าความคิดเห็นไม่ตรงกันแต่จะลองมาคุยกับเราอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นานสามีเราก็ไปปรึกษาพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าเลือกเรากับลูกหรือเลือกผู้หญิงคนนั้นดี พี่ชายเขาบอกว่าถ้าเป็นเขา เขาจะเลือกครอบครัว!! (อันนี้เรามารู้ทีหลัง) หลังจากคุยเสร็จสามีก็เดินมาบอกเราว่าเขาจะเลือกครอบครัว
ส่วนเราก็ตอบสามีไปว่า “เราจะอยู่ต่อ เพราะเราอยากให้โอกาสเขาและให้โอกาสตัวเราเอง เราไม่อยากเดินจากไปแบบปิดกั้นโอกาส เพราะถ้าเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง เรากลัวว่าจะมาเสียใจภายหลัง ที่ทำให้ลูกมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์”
หลังจากนั้นเราก็ลองคุยรายละเอียดกับเขานะว่าเรื่องระหว่างเขากับผู้หญิงคนนั้นเป็นมายังไง และมีอะไรที่ทำให้เลือกที่จะเดินจากเรากับลูกไป และมีอะไรที่เราต้องปรับตัว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก บอกแค่ว่า “มันเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เขาลืมมันไปหมดแล้ว แล้วจำไม่ได้ว่าไม่พอใจเราเรื่องอะไร แต่ถ้ามันเกิดเหตุการณ์แบบเดิมขึ้นมาใหม่ เขาจะรีบบอกเราให้แก้ไขปรับปรุง”
เราถามเขาว่ายังรักเราไหม เขาบอกเราว่า “ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเราไม่เหมือนเดิม คือเขาไม่มีความรักแบบหนุ่มสาวให้เรา มีให้แต่ความรักในแบบครอบครัว ส่วนความรักที่มีให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นความรักแบบหนุ่มสาว” เราฟังแล้วก็แอบคิดว่า "เออ..ความรักแบบครอบครัวก็ดีนะ มันยั่งยืนและยาวนานกว่าความรักแบบชู้สาว"
เราลืมบอกว่าสามีของผู้หญิงคนนั้นบอกเราว่า สามีเราได้คุยตกลงกับผู้หญิงคนนั้นเรื่องลูกของเราด้วย แต่เราไม่รู้รายละเอียด บอกแค่ว่ามีคุยเรื่องลูกของเรากันไว้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็เอ็นดูลูกเรา และถ้าเรารู้เรื่องนี้จากปากคนอื่น สามีจะบอกเราว่าเขาตัดสินใจเลือกผู้หญิงคนนั้น แต่ถ้าเกิดลูกเราอายุได้ 6 เดือนหรือ 1 ปี แล้วเรายังไม่รู้เรื่อง สามีเราก็จะเป็นคนมาบอกเราเอง
พอเราถามสามีว่าจริงไหม เขาบอกว่า จริง! มีคุยกันไว้ ....นกบินวนบนหัวเลยจ้า นี่วางแผนกันไปไกลมากขนาดนี้เลยเหรอ คำตอบของเขาทำให้เราเริ่มไม่มั่นใจว่าที่เขาเลือกครอบครัวนี่เป็นความต้องการและเกิดจากความสำนึกได้ของเขาจริงๆ ไหม เพราะถ้าไม่ใช่ เราก็กำลังให้โอกาสกับคนที่ไม่ได้อยากได้โอกาส แต่เขาแค่พยายามฝืนรับเอาไป
หลังจากนั้นสามีเราขอเวลาประมาณ 4 วัน เพื่อคุยข้อสรุปและยุติความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเราก็โอเค ในคืนสุดท้ายเขาสองคนโทรคุยกันจนถึงประมาณตี 2 เราคิดไปคิดมารู้สึกว่าตัวเองใจดี ใจเย็น หรือว่าเราโง่กันแน่! แต่เราก็มีข้อตกลงกับเขานะคะว่าหลังจากนี้ก็ขอว่าอย่าติดต่อกันอีก จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเขาก็รับปากเรา!
หลังจากที่ตกลงกันแล้วนั้น ช่วงแรกๆ แววตาสามีเราเศร้ามาก เศร้าตลอดเวลา ร้องไห้ ตาแดง แบบคนทำใจไม่ได้ เหมือนวัยรุ่นอกหัก พี่ชายเขาก็พยายามแวะมาหาบ่อยๆ ชวนไปออกกำลังกายเพื่อให้ลืมและกลับมาเหมือนเดิมไวไว จนผ่านไปได้สักอาทิตย์กว่าๆ เรารู้สึกได้ว่าเขาดีขึ้นและเริ่มยิ้มได้
21 มิถุนายน 2019 สามีเรามีนัดสัมภาษณ์งานที่รัชดาฯ เวลาบ่าย 3 โมง ใช้เวลาสัมภาษณ์ไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ แต่เขาโทรมาบอกเราว่าเขาจะเดินเล่นและหาอะไรกินแถวนั้น ซึ่งมันผิดปกติมากเพราะปกติถ้าเขาทำธุระเสร็จก็จะกลับบ้านเลย
ในวันเดียวกันนั้นสามีผู้หญิงคนนั้นก็ส่งข้อความมาหาเราว่าภรรยาเขาออกจากบ้านบอกเขาว่าจะไปธุระที่ห้างแถวบ้าน แต่แต่งตัวแต่งหน้าเต็มมากทั้งที่ปกติไม่แต่ง โทรไปหาก็ไม่รับสาย แล้วก็กลับถึงบ้านดึก พอถามก็บอกไม่ได้ไปเจอ แต่กลับมีบัตรค่าทางด่วนลงแถวจตุจักรติดกระเป๋ามาด้วย ทำให้เรื่องนี้ยิ่งมีเงื่อนงำไปอีก!
เรารอสามีกลับบ้านแต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยกัน ตกดึกเราเลยขอมือถือมาเช็ค และรอจนวันถัดมาเราก็ถามเขาตรงๆ ว่าเธอยังติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอยู่และแอบไปเจอกันมาหลังสัมภาษณ์งานเสร็จใช่ไหม? เขาก็ยืนกรานว่าไม่ได้ไปเจอ ส่วนเรายืนยันกับสามีว่า เขาสองคนไปเจอกันมาและไล่เรียงเหตุการณ์เลยว่าเป็นมายังไง สามีเราเงียบจ้า เถียงต่อไม่ได้ ไม่ขอโทษ แล้วถามเราว่าเรารู้ได้ยังไง!! (สามีเราเป็นคนปากแข็งมาก ถ้าไม่มีหลักฐานจะไม่มีทางยอมรับ และถึงมีหลักฐานก็ไม่ยอมอ้าปากพูด เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก) และนี่เป็นสาเหตุให้เราต้องงัดหลักฐานจากโทรศัพท์ของเขามาดูว่ายังคงมีบัญชีไลน์ของผู้หญิงคนนั้นค้างอยู่ในเครื่องทั้งๆ ที่เราบล็อกและลบบัญชีทิ้งไปแล้วตั้งแต่ตกลงกันครั้งก่อน และให้เขาดูว่าเมื่อวานเขาเดินทางไปไหนมาบ้าง และจุดหมายปลายทางของสามีเราก็อยู่แถวยานจตุจักรเหมือนกัน!
สามีเราบอกว่า ไม่อยากให้เราคิดมาก เขาคิดว่าแค่ไปเจอกันเฉยๆ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เลยไม่ได้บอกเรา!
ความยาวไม่พอ อ่านต่อได้ที่นี่นะคะ ---> https://ppantip.com/topic/39182183