กระทู้แรกในชีวิตที่ขอมีพื้นที่ได้เขียนไว้ให้หลายคนได้เห็นภาพการมาอยู่ ตปท ว่ามันไม่ได้มีแต่ภาพสวยงามแบบที่เข้าใจ พี่เป็นคนที่ชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้มีใครในบ้านเคยเรียน ตป เลย แต่ไม่รู้ทำไม กลับมีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าชอบ รู้สึกว่าคนที่พูดได้มากกว่า 1 ภาษานั้นเก่ง และเราอยากเป็นคนเก่งแบบนั้นบ้าง
พอตอนเรียนก็ใฝ่ฝันอยากจะเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรม เพราะอยากได้พูดภาษาอังกฤษ และอยากไปเที่ยว ตปท
พอโตขึ้นมาอีกหน่อยในระดับมหาวิทยาลัย เริ่มมีเพื่อนที่แผนไปเรียนต่อ ตป ก็เริ่มมีความมุ่งมั่นว่า วันนึงชั้นจะต้องไปอยู่เมืองนอกให้ได้ แล้วก็ทำได้ แต่.....
พอมาอยู่เข้าจริงๆ มีหลากหลายสิ่งมาก ที่มันแตกต่างจากภาพฝัน มันไม่ง่ายเลยกับการที่ต้องต่อสู้กับความคิดถึงบ้าน ไม่ง่ายเลยกับการที่ต้องทำอาหารกินเอง เพราะเราทำอาหารไม่เป็น สมัยอยู่ กทม พี่ทำงานออฟฟิศ ชีวิตฝากท้องกับร้านข้าวแกง หรือไม่ก็เซเว่น ภาษาอังกฤษที่เล่าเรียนมา และมั่นใจกับมันมากๆ ว่าชั้นคือ 1 ในตองอู พอมาอยู่จริง แค่จะสั่ง ช็อคโกแลตร้อนกิน ยังสั่งไม่ได้ เพราะเด็กเสริฟฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆ ไม่เข้าใจ หลายครั้งที่ พอเดินเข้าไปในร้านอาหาร พนักงานไม่ใส่ใจ เพราะขี้เกียจสื่อสารกับพวกหัวดำ เพราะอาจจะมองว่าเราอาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง เลยไม่ค่อยใส่ใจต้อนรับ ผิดกับเวลาที่เดินเข้าไปพร้อมสามี (สามีเป็นคนออสเตรเลียนะคะ) พนักงานจะเข้ามาต้อนรับ แต่ก็ทักและพูดกับสามีเราโดยไม่เห็นหัวเราซะงั้น
ต่อมาพี่จึงลงทุนจ้างอาจารย์มาสอนภาษาเพื่อปรับสำเนียงโดยตรงเลย ถึงสำเนียงจะดีขึ้น แต่เค้าก็ยังคงมองเราเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ดี การจะหางานทำที่เป็นงานออฟฟิศที่นี่ ความหวังช่างริบรี่ ขนาดคนในประเทศเค้าเองยังตกงาน พอไปทำงานร้านอาหาร ก็เจอเจ้าของร้านคนไทยด้วยกันเองเอาเปรียบ ให้ไปฝึกงานแต่ไม่จ่ายค่าจ้าง ซึ่งมันผิดกฎหมายของที่ออสเตรเลีย ต่อให้ฝีกงานก็ต้องได้รับค่าจ้าง สามีจึงจะฟ้องร้านอาหารไทยแห่งนี้ เค้าจึงเจรจาว่าจะจ่าย แต่ก็จ่ายต่ำกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำอยู่ดี (ร้านอาหารทั่วไปในออสเตรเลียจะจ่ายต่ำกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด) สามีก็ยืนยันว่าจะฟ้อง แต่พี่ขอให้จบ เพราะพี่เพิ่งมาอยู่ใหม่ อยากมีเพื่อนมากกว่ามีศัตรู สามีหัวเสียมาก ยังยืนยันที่จะเอาเรื่อง พี่ก็ยื้อไว้จนทะเลาะกัน แล้วก็ขอร้องให้เค้าปล่อยผ่านไป
สภาพอากาศมันก็โหดร้ายมาก ออสเตรเลียใหญ่กว่าประเทศไทย 15 เท่า ภูมิอากาศในประเทศเค้าเองในแต่ละโซนพื้นที่จึงไม่เหมือนกัน พี่มาอยู่ในโซนหนาว หนาวแบบอั้นๆ หนาวอยู่อย่างนั้นแต่หิมะไม่ตก (นึกถึงเวลาที่บ้านเราร้อนอบอ้าว แต่ไม่มีฝนตกนะคะ พี่เรียกแบบนั้นว่าร้อนแบบอั้นๆ 555+ คือถ้าฝนตกไปเลยมันก็จะเย็นขึ้น) ส่วนการหนาวแบบอั้นๆ คือถ้าหิมะตกมาเลย เราก็จะใส่เสื้อผ้าแบบหนาวหิมะ แต่นี่คือไม่มีหิมะ มันก็กลายเป็นต้องใส่กัน 3-4 ชั้น/วัน ใส่จนเป็นแหนมเลย จะลุกจะนั่งไม่ได้คล่องตัวเหมือนที่อยู่ กทม เลยสักนิด
ความมั่นใจที่เคยมีตามแบบฉบับสาวออฟฟิศเริ่มถดถอย บวกเข้ากับการทำอาหารไม่เป็น แล้วต้องมาหัดทำอาหารกินเองในทุกมื้อ เพราะการซื้อกินแต่ละมื้อที่นี่แพงเทพๆ เมื่อต้องเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง อะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องทำ และอะไรที่เคยทำก็ไม่มีให้ทำนั่นคืองาน เพราะยังคงต้องอยู่แต่กับบ้าน สุดท้ายกลายเป็นซึมเศร้าจนต้องพบจิตแพทย์เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว (2018) ต้องพบจิตแพทย์อยู่ 4 เดือนเต็ม เพื่อพูดคุยบำบัด แต่ไม่ได้ใช้ยา ปรับเปลี่ยนทัศนคติ และเดินทางกลับไทยไปเยี่ยมบ้านเมื่อต้นปีนี้ เพื่อให้บรรเทาอาการคิดถึงบ้าน ปัจจุบันดีขึ้น แต่จะดีมากกว่านี้ถ้าได้ออกไปทำงานนอกบ้านในแบบที่เคยทำเหมือนเมื่อตอนอยู่ กทม
ความคิดน้อยหรืออาจเรียกว่าไม่คิดก็ได้นะ ที่ตัดสินใจย้ายประเทศตามสามีมา ตอนตัดสินใจเพราะคิดว่ามันคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันน่าสนุก มันตื่นเต้น แต่เราไม่เคยศึกษาว่าควรต้องเตรียมตัวอะไรบ้างก่อนจะมา ด้วยความที่เป็นสาวมั่นมากเกิน คิดว่าตัวเองเก่งเทพแล้ว จึงคิดว่าตัวท็อปอย่างชั้นจะหางานได้ไม่ยาก นั่นเลยคือสิ่งที่เรียกว่าพลาดแรง
บอกเล่าไว้เป็นประสบการณ์นะคะ ใครที่คิดจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ขอให้ศึกษาให้รอบคอบและเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่าที่พี่ทำ สำหรับพี่มาแล้วก็ต้องไปให้สุด แต่จะสุดทางไหน แล้วจะมาเล่าต่อไปนะคะ
ขอให้ทุกคนมีความสุข และสนุกกับสิ่งที่ทำค่ะ
พี่โอ๋ ออสเตรเลีย
ปสก 1 ปีกว่า ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในออสเตรเลีย ไม่ได้สวยงามและไม่ได้ง่ายตามภาพฝัน
พอตอนเรียนก็ใฝ่ฝันอยากจะเรียนการท่องเที่ยวและการโรงแรม เพราะอยากได้พูดภาษาอังกฤษ และอยากไปเที่ยว ตปท
พอโตขึ้นมาอีกหน่อยในระดับมหาวิทยาลัย เริ่มมีเพื่อนที่แผนไปเรียนต่อ ตป ก็เริ่มมีความมุ่งมั่นว่า วันนึงชั้นจะต้องไปอยู่เมืองนอกให้ได้ แล้วก็ทำได้ แต่.....
พอมาอยู่เข้าจริงๆ มีหลากหลายสิ่งมาก ที่มันแตกต่างจากภาพฝัน มันไม่ง่ายเลยกับการที่ต้องต่อสู้กับความคิดถึงบ้าน ไม่ง่ายเลยกับการที่ต้องทำอาหารกินเอง เพราะเราทำอาหารไม่เป็น สมัยอยู่ กทม พี่ทำงานออฟฟิศ ชีวิตฝากท้องกับร้านข้าวแกง หรือไม่ก็เซเว่น ภาษาอังกฤษที่เล่าเรียนมา และมั่นใจกับมันมากๆ ว่าชั้นคือ 1 ในตองอู พอมาอยู่จริง แค่จะสั่ง ช็อคโกแลตร้อนกิน ยังสั่งไม่ได้ เพราะเด็กเสริฟฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆ ไม่เข้าใจ หลายครั้งที่ พอเดินเข้าไปในร้านอาหาร พนักงานไม่ใส่ใจ เพราะขี้เกียจสื่อสารกับพวกหัวดำ เพราะอาจจะมองว่าเราอาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง เลยไม่ค่อยใส่ใจต้อนรับ ผิดกับเวลาที่เดินเข้าไปพร้อมสามี (สามีเป็นคนออสเตรเลียนะคะ) พนักงานจะเข้ามาต้อนรับ แต่ก็ทักและพูดกับสามีเราโดยไม่เห็นหัวเราซะงั้น
ต่อมาพี่จึงลงทุนจ้างอาจารย์มาสอนภาษาเพื่อปรับสำเนียงโดยตรงเลย ถึงสำเนียงจะดีขึ้น แต่เค้าก็ยังคงมองเราเป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ดี การจะหางานทำที่เป็นงานออฟฟิศที่นี่ ความหวังช่างริบรี่ ขนาดคนในประเทศเค้าเองยังตกงาน พอไปทำงานร้านอาหาร ก็เจอเจ้าของร้านคนไทยด้วยกันเองเอาเปรียบ ให้ไปฝึกงานแต่ไม่จ่ายค่าจ้าง ซึ่งมันผิดกฎหมายของที่ออสเตรเลีย ต่อให้ฝีกงานก็ต้องได้รับค่าจ้าง สามีจึงจะฟ้องร้านอาหารไทยแห่งนี้ เค้าจึงเจรจาว่าจะจ่าย แต่ก็จ่ายต่ำกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำอยู่ดี (ร้านอาหารทั่วไปในออสเตรเลียจะจ่ายต่ำกว่าค่าแรงงานขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด) สามีก็ยืนยันว่าจะฟ้อง แต่พี่ขอให้จบ เพราะพี่เพิ่งมาอยู่ใหม่ อยากมีเพื่อนมากกว่ามีศัตรู สามีหัวเสียมาก ยังยืนยันที่จะเอาเรื่อง พี่ก็ยื้อไว้จนทะเลาะกัน แล้วก็ขอร้องให้เค้าปล่อยผ่านไป
สภาพอากาศมันก็โหดร้ายมาก ออสเตรเลียใหญ่กว่าประเทศไทย 15 เท่า ภูมิอากาศในประเทศเค้าเองในแต่ละโซนพื้นที่จึงไม่เหมือนกัน พี่มาอยู่ในโซนหนาว หนาวแบบอั้นๆ หนาวอยู่อย่างนั้นแต่หิมะไม่ตก (นึกถึงเวลาที่บ้านเราร้อนอบอ้าว แต่ไม่มีฝนตกนะคะ พี่เรียกแบบนั้นว่าร้อนแบบอั้นๆ 555+ คือถ้าฝนตกไปเลยมันก็จะเย็นขึ้น) ส่วนการหนาวแบบอั้นๆ คือถ้าหิมะตกมาเลย เราก็จะใส่เสื้อผ้าแบบหนาวหิมะ แต่นี่คือไม่มีหิมะ มันก็กลายเป็นต้องใส่กัน 3-4 ชั้น/วัน ใส่จนเป็นแหนมเลย จะลุกจะนั่งไม่ได้คล่องตัวเหมือนที่อยู่ กทม เลยสักนิด
ความมั่นใจที่เคยมีตามแบบฉบับสาวออฟฟิศเริ่มถดถอย บวกเข้ากับการทำอาหารไม่เป็น แล้วต้องมาหัดทำอาหารกินเองในทุกมื้อ เพราะการซื้อกินแต่ละมื้อที่นี่แพงเทพๆ เมื่อต้องเปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง อะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องทำ และอะไรที่เคยทำก็ไม่มีให้ทำนั่นคืองาน เพราะยังคงต้องอยู่แต่กับบ้าน สุดท้ายกลายเป็นซึมเศร้าจนต้องพบจิตแพทย์เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว (2018) ต้องพบจิตแพทย์อยู่ 4 เดือนเต็ม เพื่อพูดคุยบำบัด แต่ไม่ได้ใช้ยา ปรับเปลี่ยนทัศนคติ และเดินทางกลับไทยไปเยี่ยมบ้านเมื่อต้นปีนี้ เพื่อให้บรรเทาอาการคิดถึงบ้าน ปัจจุบันดีขึ้น แต่จะดีมากกว่านี้ถ้าได้ออกไปทำงานนอกบ้านในแบบที่เคยทำเหมือนเมื่อตอนอยู่ กทม
ความคิดน้อยหรืออาจเรียกว่าไม่คิดก็ได้นะ ที่ตัดสินใจย้ายประเทศตามสามีมา ตอนตัดสินใจเพราะคิดว่ามันคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันน่าสนุก มันตื่นเต้น แต่เราไม่เคยศึกษาว่าควรต้องเตรียมตัวอะไรบ้างก่อนจะมา ด้วยความที่เป็นสาวมั่นมากเกิน คิดว่าตัวเองเก่งเทพแล้ว จึงคิดว่าตัวท็อปอย่างชั้นจะหางานได้ไม่ยาก นั่นเลยคือสิ่งที่เรียกว่าพลาดแรง
บอกเล่าไว้เป็นประสบการณ์นะคะ ใครที่คิดจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ขอให้ศึกษาให้รอบคอบและเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่าที่พี่ทำ สำหรับพี่มาแล้วก็ต้องไปให้สุด แต่จะสุดทางไหน แล้วจะมาเล่าต่อไปนะคะ
ขอให้ทุกคนมีความสุข และสนุกกับสิ่งที่ทำค่ะ
พี่โอ๋ ออสเตรเลีย