ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 4
1. พงศาวดารพม่ากล่าวถึง "พระสรรพ์" แม่ทัพฝ่ายอยุทธยา ยกทัพไปรบกับมังกฺรีไชยสู (พงศาวดารไทยเรียก 'มังยิเจสู') แม่ทัพในสังกัดมหานรธา ครั้งนั้นกองทัพพระสรรพ์สังหารเจ้าเมืองสุพรรณบุรีที่ไปเข้ากับพม่าได้ แล้วตีมังกฺรีไชยสูแตกกระจาย แต่เพราะทัพของมหานรธายกทัพมาช่วยตีกระหนาบ ทัพอยุทธยาก็แตกไป
ในช่วงใกล้ฤดูน้ำหลาก พระสรรพ์ยกทัพเรือไปตีค่ายมหานรธา รบกับกองเรือพม่าอย่างสามารถ จมเรือพม่าได้ ๒๐ ลำ แต่ห้าวมากกระโดดไปบนเรือพม่าจึงถูกกองทัพพม่าจับตัวไว้ ฝ่ายอยุทธยาเห็นแม่ทัพถูกจับตัวก็พากันถอยหนีและถูกจับเป็นเชลยมาก มีการสันนิษฐานว่าพระสรรพ์ผู้นี้อาจเป็นบุคคลเดียวกับพระยาเพชรบุรีที่ยกทัพเรือไปตีพม่าในช่วงน้ำหลาก แต่ถูกสังหาร
อีกครั้งหนึ่ง "พระมนตรี" น้องมเหสีของพระเจ้าเอกทัศ (สมเด็จฯ กรมพระดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนเดียวกับจมื่นศสรรักษ์ น้องเจ้าจอมเพง เจ้าจอมแมน) อาสาออกไปรบกับพม่าเมื่อก่อนเสียกรุงไม่นาน โดยบุกออกจากพระนครทิศเหนือเข้าตีค่ายเมืองของฉับปะยากงโบ่ และสโตมังถางอย่างเข้มแข็งไม่ยอมถอย จนทหารอยุทธยาบุกเข้าค่ายพม่าไปได้ แต่ค่ายพม่าทางตะวันออกตะวันตกยกทัพหนุนมาตีกระหนาบหลายทาง จึงต้องถอยกลับพระนครโดยสูญเสียกำลังจำนวนมาก
พงศาวดารพม่ายังให้ชื่อแม่ทัพนายกองฝ่ายอยุทธยาอีกหลายคนตามที่ คห.1 ระบุไว้ แต่ส่วนใหญ่แล้วพงศาวดารพม่ามักให้ภาพว่าแม่ทัพนายกองอยุทธยาเข้มแข็งไม่กลัวเกรงข้าศึก ยกทัพออกมาหลายครั้ง แต่ละครั้งยกพลหลายหมื่นคน ปืนหลายพันกระบอก (ซึ่งมากเกินจริง เพราะถ้ารวมจำนวนทุกครั้งก็ได้หลายแสนคน) ออกไปรบพม่าแต่ก็แพ้พม่าที่มีกำลังน้อยกว่าทุกครั้งไป เป็นการนำเสนอภาพว่ากองทัพพม่ามีความเข้มแข็งมากกว่าอยุทธยาที่เข้มแข็งเช่นเดียวกันครับ
2. เรื่องเครื่องแต่งกายไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน จึงยากที่จะตอบได้ครับ แต่เนื่องจากมาอาสาราชการจึงสันนิษฐานว่าหลวงอาจจะมีการเบิกจ่ายอาวุธหรือเครื่องแต่งกายให้บ้าง
แต่ด้วยความที่ขุนรองปลัดชูและกองกำลังของตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกองอาทมาต ซึ่งเป็นหน่วยลาดตระเวนสืบข่าว จึงเป็นไปได้ว่าจะแต่งกายแบบทั่วไปเพื่อให้มีความกลมกลืนกับชาวบ้าน และไม่ให้ศัตรูจับได้ว่าเป็นทหารครับ
กองอาทมาตในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นชาวมอญส่วนใหญ่ เพราะมักใช้ชาวมอญเข้าไปสืบราชการในบริเวณชายแดนของพม่าซึ่งมีชาวมอญอาศัยอยู่จำนวนมาก มีการจัดตั้งกรมอาทมาตซ้ายขวาอยู่ในสังกัดกรมอาสามอญ พระยารัตนจักรเป็นเจ้ากรมอาทมาตขวา พระยาภักดีสงครามเป็นเจ้ากรมอาทมาตซ้าย (สันนิษฐานว่าคงตั้งขึ้นเป็นกรมในราวรัชกาลที่ ๒ เนื่องจากไม่ปรากฏกรมอาทมาตในพระไอยการตำแหน่งนาทหารในกฎหมายตราสามดวง สมัยรัชกาลที่ ๑) ปรากฏใน "บัญชีกองทัพเจ้าคุณ (เจ้าพระยาบดินทรเดชา) ยกไปปัตบอง ณ วันเดือนยี่ปีกุนเอกศก (พ.ศ. ๒๓๘๒)" กล่าวถึงรายชื่ออาทมาตซ้ายขวา ส่วนใหญ่มีชื่อขึ้นต้นว่า "สมิง" ซึ่งเป็นตำแหน่งของขุนนางมอญ
อย่างไรก็ตาม กองอาทมาตไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นชาวมอญเท่านั้น เพราะโดยหน้าที่แล้วเป็นกองลาดตระเวนสืบข่าว จึงสามารถใช้ชนชาติอื่นก็ได้ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีครัวแถบล้านช้างอพยพลงมาอยู่ในแถบภาคอีสานจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งด่านไว้ฟากโขงตะวันออกคอยลาดตระเวนระวังสืบสวนว่าญวนจะยกข้ามฟากมากวาดต้อนเอาครอบครัวนั้นคืนกลับไป นอกจากนี้ยังให้ "คานบุตรดีกองอาทมาตตั้งด่านที่เขตต์แดนเมืองแพรกตำบล ๑" ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๘๗ ได้ยกกองอาทมาตบ้านหายโศกเป็นเมืองอาทมาตขึ้นต่อเมืองนครพนม และให้ฆานบุดดี (คานบุตรดี) หัวหน้ากองซึ่งเป็นชาวไทแสก เป็นหลวงเอกอาสา เจ้าเมืองอาทมาตคนแรก
สำหรับขุนรองปลัดชูเป็นกรมการเมืองวิเศษไชยชาญที่เข้ามาอาสาศึก พิจารณาการใช้คำในพงศาวดารคือ "ขณะนั้นขุนรองปะหลัดชู เปนกรมการเมืองวิเสศไชยชาญ เข้ามารับอาษากับไพร่ ๔๐๐ เสศ ฃอไปรบพม่าด้วย จึ่งโปรดให้เปนกองอาจ์สามารกองหนึ่ง ให้ไปในกองทับพญารัตนาธิเบศ" จึงเข้าใจได้ว่าไม่ได้เป็นอาทมาตในสังกัดส่วนกลางตั้งแต่แรก แต่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกองลาดตระเวนเมื่อมาอาสาศึกแล้ว และอาจไม่ได้เป็นชาวมอญครับ
3. ในยามศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องสามารถทำหน้าที่เป็นทหารออกรบได้หมดโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นฝ่ายทหารหรือพลเรือนครับ บ่อยครั้งที่ปรากฏชื่อขุนนางฝ่ายพลเรือนต้องไปออกรบจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่กรมวัง กรมพระคลัง กรมมหาดเล็ก หรือกรมหมอ ฯลฯ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ยังมีแม่ทัพใหญ่คนสำคัญคือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เสนาบดีจตุสดมภ์กรมพระคลัง
ในสมัยสงครามเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ มีพระยารัตนาธิเบศร์ว่าที่ตำแหน่งพระยาธรรมาหรือเสนาบดีกรมวัง พระยาพลเทพเป็นเสนาบดีกรมนา พระยายมราชเป็นเสนาบดีกรมเมือง พระยาธิเบศร์บริรักษ์จางวางมหาดเล็ก
เวียง หมายถึงกรมเมืองหรือกรมพระนครบาลเป็นฝ่ายพลเรือน มีหน้าที่บัญชาการกองตระเวนดูแลความสงบเรียบร้อยในพระนคร โดยตำแหน่งแล้วไม่ใช่ทหารครับ กรมที่ทำหน้าที่เป็นทหารจริงๆ เช่น กรมพระกลาโหม กรมอาสาหกเหล่า กรมช้าง กรมม้า กรมพระแสงปืน กรมอาสามอญ กรมอาสาจาม กรมอาสาญี่ปุ่น กรมเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง กรมฝรั่งแม่นปืน กรมแตร กรมกลองชนะ กรมทำลุ กรมพระตำรวจและกรมทหารรักษาพระองค์ต่างๆ แต่ไม่ใช้กรมกองเหล่านี้ก็ออกรบได้ครับ (กรมช้าง กรมม้า กรมพระแสงปืน โดยหน้าที่เป็นทหารแต่แบ่งไปสังกัดพลเรือน ส่วนกรมพระตำรวจกับกรมทหารรักษาพระองค์ทั้งหลายเน้นรักษาความปลอดภัยให้พระเจ้าแผ่นดินมากกว่า แต่ก็ออกรบได้)
4. อยุทธยานอกจากรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถที่มีล้านนาเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อหัวเมืองฝ่ายเหนือ หรือในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรที่วิเคราะห์ว่าทรงหวังใช้ล้านนาเป็นฐานในการตีอังวะแล้ว ก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับล้านนาเท่าไหร่นัก จะมีขยายอำนาจขึ้นไปตีหัวเมืองล้านนาเทครัวเชลยลงมาบ้างพอเป็นครั้งคราวแต่ไม่ถึงขั้นตีเมืองเชียงใหม่ นอกจากรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ที่ทรงพิชิตเมืองเชียงใหม่ได้เป็นครั้งแรก แต่ก็ครองอำนาจอยู่ได้แค่ประมาณ ๒ ปี
สันนิษฐานว่ากรุงศรีอยุทธยาไม่ค่อยเห็นผลประโยชน์ในการครอบครองดินแดนล้านนาเท่าไหร่นัก เพราะให้ความสนใจจากผลประโยชน์ของการค้าต่างประเทศจากเมืองท่าชายฝั่งทะเลอย่างทวาย มะริด ตะนาวศรี และหัวเมืองปากใต้มากกว่า นอกจากจะมีกษัตริย์บางพระองค์ที่ยึดถือคติพระจักรพรรดิราชต้องการขยายพระราชอาณาเขตเพื่อประกาศพระบารมีอย่างเช่น สมเด็จพระนเรศวรหรือสมเด็จพระนารายณ์ จึงไม่ค่อยมีการขยายอำนาจขึ้นไปล้านนามากนัก
และอาจเป็นเพราะกรุงศรีอยุทธยาเห็นว่าสามารถปกครองดินแดนล้านนาได้ยาก เลยใช้วิธีเทครัวประชากรอพยพลงมากรุงศรีอยุทธยามากกว่าจะมุ่งรักษาอำนาจเหนือดินแดน ดังที่ปรากฏในจารึกพระวิหารพระแท่นศิลาอาสน์ อุตรดิตถ์ ระบุว่าสมเด็จพระนารายณ์ "กวาดต้อนเอาแมนลาวทั้งนี้ลงมาเปนข้าพระเจ้ากรุงศรีอยุทยา" แม้แต่พระเจ้าเชียงตุงก็ถูกกวาดต้อนลงมา แล้วมีเชื้อสายมาถึงรุ่นหลานซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นออกพระศรีราชไชยมไหยสูรินทบูรินทพิริยะพาหะพระท้ายน้ำ ได้เป็นที่พึ่งแก่แมนลาวทั้งปวงในกรุงศรีอยุทธยาสืบต่อกันมา
ในช่วงใกล้ฤดูน้ำหลาก พระสรรพ์ยกทัพเรือไปตีค่ายมหานรธา รบกับกองเรือพม่าอย่างสามารถ จมเรือพม่าได้ ๒๐ ลำ แต่ห้าวมากกระโดดไปบนเรือพม่าจึงถูกกองทัพพม่าจับตัวไว้ ฝ่ายอยุทธยาเห็นแม่ทัพถูกจับตัวก็พากันถอยหนีและถูกจับเป็นเชลยมาก มีการสันนิษฐานว่าพระสรรพ์ผู้นี้อาจเป็นบุคคลเดียวกับพระยาเพชรบุรีที่ยกทัพเรือไปตีพม่าในช่วงน้ำหลาก แต่ถูกสังหาร
อีกครั้งหนึ่ง "พระมนตรี" น้องมเหสีของพระเจ้าเอกทัศ (สมเด็จฯ กรมพระดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนเดียวกับจมื่นศสรรักษ์ น้องเจ้าจอมเพง เจ้าจอมแมน) อาสาออกไปรบกับพม่าเมื่อก่อนเสียกรุงไม่นาน โดยบุกออกจากพระนครทิศเหนือเข้าตีค่ายเมืองของฉับปะยากงโบ่ และสโตมังถางอย่างเข้มแข็งไม่ยอมถอย จนทหารอยุทธยาบุกเข้าค่ายพม่าไปได้ แต่ค่ายพม่าทางตะวันออกตะวันตกยกทัพหนุนมาตีกระหนาบหลายทาง จึงต้องถอยกลับพระนครโดยสูญเสียกำลังจำนวนมาก
พงศาวดารพม่ายังให้ชื่อแม่ทัพนายกองฝ่ายอยุทธยาอีกหลายคนตามที่ คห.1 ระบุไว้ แต่ส่วนใหญ่แล้วพงศาวดารพม่ามักให้ภาพว่าแม่ทัพนายกองอยุทธยาเข้มแข็งไม่กลัวเกรงข้าศึก ยกทัพออกมาหลายครั้ง แต่ละครั้งยกพลหลายหมื่นคน ปืนหลายพันกระบอก (ซึ่งมากเกินจริง เพราะถ้ารวมจำนวนทุกครั้งก็ได้หลายแสนคน) ออกไปรบพม่าแต่ก็แพ้พม่าที่มีกำลังน้อยกว่าทุกครั้งไป เป็นการนำเสนอภาพว่ากองทัพพม่ามีความเข้มแข็งมากกว่าอยุทธยาที่เข้มแข็งเช่นเดียวกันครับ
2. เรื่องเครื่องแต่งกายไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน จึงยากที่จะตอบได้ครับ แต่เนื่องจากมาอาสาราชการจึงสันนิษฐานว่าหลวงอาจจะมีการเบิกจ่ายอาวุธหรือเครื่องแต่งกายให้บ้าง
แต่ด้วยความที่ขุนรองปลัดชูและกองกำลังของตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกองอาทมาต ซึ่งเป็นหน่วยลาดตระเวนสืบข่าว จึงเป็นไปได้ว่าจะแต่งกายแบบทั่วไปเพื่อให้มีความกลมกลืนกับชาวบ้าน และไม่ให้ศัตรูจับได้ว่าเป็นทหารครับ
กองอาทมาตในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นชาวมอญส่วนใหญ่ เพราะมักใช้ชาวมอญเข้าไปสืบราชการในบริเวณชายแดนของพม่าซึ่งมีชาวมอญอาศัยอยู่จำนวนมาก มีการจัดตั้งกรมอาทมาตซ้ายขวาอยู่ในสังกัดกรมอาสามอญ พระยารัตนจักรเป็นเจ้ากรมอาทมาตขวา พระยาภักดีสงครามเป็นเจ้ากรมอาทมาตซ้าย (สันนิษฐานว่าคงตั้งขึ้นเป็นกรมในราวรัชกาลที่ ๒ เนื่องจากไม่ปรากฏกรมอาทมาตในพระไอยการตำแหน่งนาทหารในกฎหมายตราสามดวง สมัยรัชกาลที่ ๑) ปรากฏใน "บัญชีกองทัพเจ้าคุณ (เจ้าพระยาบดินทรเดชา) ยกไปปัตบอง ณ วันเดือนยี่ปีกุนเอกศก (พ.ศ. ๒๓๘๒)" กล่าวถึงรายชื่ออาทมาตซ้ายขวา ส่วนใหญ่มีชื่อขึ้นต้นว่า "สมิง" ซึ่งเป็นตำแหน่งของขุนนางมอญ
อย่างไรก็ตาม กองอาทมาตไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นชาวมอญเท่านั้น เพราะโดยหน้าที่แล้วเป็นกองลาดตระเวนสืบข่าว จึงสามารถใช้ชนชาติอื่นก็ได้ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีครัวแถบล้านช้างอพยพลงมาอยู่ในแถบภาคอีสานจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งด่านไว้ฟากโขงตะวันออกคอยลาดตระเวนระวังสืบสวนว่าญวนจะยกข้ามฟากมากวาดต้อนเอาครอบครัวนั้นคืนกลับไป นอกจากนี้ยังให้ "คานบุตรดีกองอาทมาตตั้งด่านที่เขตต์แดนเมืองแพรกตำบล ๑" ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๘๗ ได้ยกกองอาทมาตบ้านหายโศกเป็นเมืองอาทมาตขึ้นต่อเมืองนครพนม และให้ฆานบุดดี (คานบุตรดี) หัวหน้ากองซึ่งเป็นชาวไทแสก เป็นหลวงเอกอาสา เจ้าเมืองอาทมาตคนแรก
สำหรับขุนรองปลัดชูเป็นกรมการเมืองวิเศษไชยชาญที่เข้ามาอาสาศึก พิจารณาการใช้คำในพงศาวดารคือ "ขณะนั้นขุนรองปะหลัดชู เปนกรมการเมืองวิเสศไชยชาญ เข้ามารับอาษากับไพร่ ๔๐๐ เสศ ฃอไปรบพม่าด้วย จึ่งโปรดให้เปนกองอาจ์สามารกองหนึ่ง ให้ไปในกองทับพญารัตนาธิเบศ" จึงเข้าใจได้ว่าไม่ได้เป็นอาทมาตในสังกัดส่วนกลางตั้งแต่แรก แต่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกองลาดตระเวนเมื่อมาอาสาศึกแล้ว และอาจไม่ได้เป็นชาวมอญครับ
3. ในยามศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องสามารถทำหน้าที่เป็นทหารออกรบได้หมดโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นฝ่ายทหารหรือพลเรือนครับ บ่อยครั้งที่ปรากฏชื่อขุนนางฝ่ายพลเรือนต้องไปออกรบจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่กรมวัง กรมพระคลัง กรมมหาดเล็ก หรือกรมหมอ ฯลฯ ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ยังมีแม่ทัพใหญ่คนสำคัญคือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เสนาบดีจตุสดมภ์กรมพระคลัง
ในสมัยสงครามเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ มีพระยารัตนาธิเบศร์ว่าที่ตำแหน่งพระยาธรรมาหรือเสนาบดีกรมวัง พระยาพลเทพเป็นเสนาบดีกรมนา พระยายมราชเป็นเสนาบดีกรมเมือง พระยาธิเบศร์บริรักษ์จางวางมหาดเล็ก
เวียง หมายถึงกรมเมืองหรือกรมพระนครบาลเป็นฝ่ายพลเรือน มีหน้าที่บัญชาการกองตระเวนดูแลความสงบเรียบร้อยในพระนคร โดยตำแหน่งแล้วไม่ใช่ทหารครับ กรมที่ทำหน้าที่เป็นทหารจริงๆ เช่น กรมพระกลาโหม กรมอาสาหกเหล่า กรมช้าง กรมม้า กรมพระแสงปืน กรมอาสามอญ กรมอาสาจาม กรมอาสาญี่ปุ่น กรมเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง กรมฝรั่งแม่นปืน กรมแตร กรมกลองชนะ กรมทำลุ กรมพระตำรวจและกรมทหารรักษาพระองค์ต่างๆ แต่ไม่ใช้กรมกองเหล่านี้ก็ออกรบได้ครับ (กรมช้าง กรมม้า กรมพระแสงปืน โดยหน้าที่เป็นทหารแต่แบ่งไปสังกัดพลเรือน ส่วนกรมพระตำรวจกับกรมทหารรักษาพระองค์ทั้งหลายเน้นรักษาความปลอดภัยให้พระเจ้าแผ่นดินมากกว่า แต่ก็ออกรบได้)
4. อยุทธยานอกจากรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถที่มีล้านนาเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อหัวเมืองฝ่ายเหนือ หรือในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรที่วิเคราะห์ว่าทรงหวังใช้ล้านนาเป็นฐานในการตีอังวะแล้ว ก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับล้านนาเท่าไหร่นัก จะมีขยายอำนาจขึ้นไปตีหัวเมืองล้านนาเทครัวเชลยลงมาบ้างพอเป็นครั้งคราวแต่ไม่ถึงขั้นตีเมืองเชียงใหม่ นอกจากรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ที่ทรงพิชิตเมืองเชียงใหม่ได้เป็นครั้งแรก แต่ก็ครองอำนาจอยู่ได้แค่ประมาณ ๒ ปี
สันนิษฐานว่ากรุงศรีอยุทธยาไม่ค่อยเห็นผลประโยชน์ในการครอบครองดินแดนล้านนาเท่าไหร่นัก เพราะให้ความสนใจจากผลประโยชน์ของการค้าต่างประเทศจากเมืองท่าชายฝั่งทะเลอย่างทวาย มะริด ตะนาวศรี และหัวเมืองปากใต้มากกว่า นอกจากจะมีกษัตริย์บางพระองค์ที่ยึดถือคติพระจักรพรรดิราชต้องการขยายพระราชอาณาเขตเพื่อประกาศพระบารมีอย่างเช่น สมเด็จพระนเรศวรหรือสมเด็จพระนารายณ์ จึงไม่ค่อยมีการขยายอำนาจขึ้นไปล้านนามากนัก
และอาจเป็นเพราะกรุงศรีอยุทธยาเห็นว่าสามารถปกครองดินแดนล้านนาได้ยาก เลยใช้วิธีเทครัวประชากรอพยพลงมากรุงศรีอยุทธยามากกว่าจะมุ่งรักษาอำนาจเหนือดินแดน ดังที่ปรากฏในจารึกพระวิหารพระแท่นศิลาอาสน์ อุตรดิตถ์ ระบุว่าสมเด็จพระนารายณ์ "กวาดต้อนเอาแมนลาวทั้งนี้ลงมาเปนข้าพระเจ้ากรุงศรีอยุทยา" แม้แต่พระเจ้าเชียงตุงก็ถูกกวาดต้อนลงมา แล้วมีเชื้อสายมาถึงรุ่นหลานซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นออกพระศรีราชไชยมไหยสูรินทบูรินทพิริยะพาหะพระท้ายน้ำ ได้เป็นที่พึ่งแก่แมนลาวทั้งปวงในกรุงศรีอยุทธยาสืบต่อกันมา
แสดงความคิดเห็น
ขอถามเรื่องในสมัยกรุงศรีอยุธยา
2. พวกกองทหารอาสาอย่างขุนรองปลัดชูที่มาช่วยกรุงศรีนี่ ต้องใส่ชุดทหารเหมือนกองทัพหลวงรึเปล่าครับ (ในสายโลหิตเวอร์ชั่นเก่าขุนรองใส่ชุดแบบทหารหลวง แต่เวอร์ชั่นลล่าสุดใส่เสื้อกั๊กลงยันต์)
3. พวกฝ่ายกรมคลัง กรมนา ถ้าเกิดข้าศึกบุกกรุง แล้วพวกฝ่ายกรมเวียงเหลือน้อยเพราะไปรบแล้วล้มตายมาก จะขอไปรบ ทำได้ไหมครับ
4. ทำไมอยุธยาไม่เคยยึดพื้นที่ภาคเหนือได้ระยะยาวซักครั้ง ไปตีหลายครั้ง แป๊บๆ ก็เสีย