[CR] [##REVIEW##] Brightburn (2019) เด็กพลังอสูร | ไม่ถึงกับแย่ แต่ก็ไม่ถึงกับดี [ไร้ส้มป่อย]

     Brightburn ว่าด้วยเรื่องราว "ถ้าซุเปอร์แมนไม่ใช่คนดี จะเกิดอะไรขึ้น?" ครับ ซึ่งถ้าทำมาดีผมว่าหนังจะน่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยนะ แถมหนังยังอำนวยการสร้างโดย James Gunn(ที่หลายๆ คนอาจจะรู้จักพี่แกจากผลงานเรื่อง Guardians of the Galaxy แต่ผมรู้จักพี่แกจากหนังสยองขวัญสุดแหวะเรื่อง Slither ครับ)อีก ทำไมผมจะไม่ดูล่ะ?
    หลังจากที่ประสบปัญหายุ่งยากเรื่องการมีลูก ความฝันในการเป็นแม่คนของโทรี่ เบรเยอร์ (อลิซาเบธ แบงค์) ก็กลายเป็นจริงด้วยการมาถึงของเด็กทารกเพศชายผู้ลึกลับ แบรนดอนดูเหมือนจะเป็นทุกสิ่งที่โทรี่และไคล์ (เดวิด เดนแมน) สามีของเธอต้องการ เขาทั้งฉลาด มีพรสวรรค์และสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ แต่เมื่อแบรนดอน (แจ็คสัน เอ. ดันน์) กำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ความมืดมนที่ทรงพลังก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในตัวเขาและโทรี่ก็เริ่มเคลือบแคลงสงสัยในตัวลูกชายของเธอ เมื่อแบรนดอนเริ่มทำตามแรงกระตุ้นที่บิดเบี้ยวของเขา ผู้ที่ใกล้ชิดกับเขาก็พบตัวเองตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง เมื่อเด็กแห่งปาฏิหาริย์ผู้นี้เปลี่ยนกลายเป็นสัตว์ร้ายผู้เหี้ยมโหด ผู้ล่าเหยื่อในเมืองเงียบๆ ในแคนซัสแห่งนี้
     ก่อนดู ผมคาดหวังอยู่ในระดับนึงครับ เพราะเครดิต James Gunn ก็น่าจะการันตีคุณภาพในระดับนึง(ถึงแม้จะไม่ได้กำกับเองก็เหอะ) แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันคงไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรหรอก เพราะคำวิจารณ์ออกมาไม่ค่อยสวยหรูเท่าไหร่(แถมรีวิวเมืองนอกก็ค่อนไปทางลบเสียด้วย) ผมก็เลยหวังว่าหนังจะคงยังมีความสนุกอยู่บ้างแหละ และสุดท้ายผมก็คิดถูกครับ เพราะหนังทำออกมาสนุก ดูเพลิน แต่ไม่ได้ลึกซึ้งมากทำให้หลายอย่างในหนังไปไม่สุด
     ผมว่าพล็อตน่าสนใจนะ ว่าด้วยเรื่องราวที่เหมือนเป็นซุเปอร์แมนเวอร์ชั่นดาร์ก ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้คิดจะช่วยโลกล่ะ? ถ้าเขาคิดจะยึดครองโลกมันจะเกิดอะไรขึ้น? ซึ่งพล็อตแบบนี้เคยทำแล้วเวิร์คมาแล้วครับกับหนังเรื่อง Chronicle(เรื่องนั้นเป็นแนว Found Footage ซึ่งทำได้สมจริงมาก) ถ้าปรุงมาดี มันก็จะอร่อยครับ สำหรับเรื่องนี้ผมว่าปรุงได้โอเคครับ แม้จะมีบางจังหวะที่จืดชืดไปบ้าง แต่ภาพรวมถ้าไม่คิดอะไรมากก็ดูได้นะ แต่ผมออกแนวเสียดายครับที่หนังมันน่าจะไปได้ไกลกว่านี้
     ผมว่าปัญหาอันใหญ่หลวงของหนังอยู่ที่บทครับ ผมว่าบทหนังสามารถขยายความได้ดีกว่านี้นะ เพราะเท่าที่ดูเนี่ย มีหลายประเด็นมากที่น่าสนใจ

     + ประเด็นความมืดมนในใจเรา
     + ประเด็นพ่อแม่บุญธรรม
     + ประเด็นการแตกเนื้อหนุ่ม
     + ประเด็นรักแรกพบในวัยเรียน
     + ประเด็นชีวิตรักของพ่อแม่ที่ใกล้จะจืดชืด

     ผมว่าประเด็นที่ว่ามาสามารถเล่นอะไรได้อีกหลายแง่ อย่างเช่นความมืดมนในใจเรา ถ้าเกิดวันนึงมันครอบงำเราล่ะ เราจะกลายเป็นคนๆ เดิมรึเปล่า ซึ่งในช่วงกลางเรื่อง หนังเหมือนจะเล่นประเด็นนี้ครับ อันเป็นที่มาของฉากสยองขวัญต่างๆ ที่ค่อนข้างโหด แหวะ และสาแก่ใจคนชอบลาบเลือดแน่นอน แต่สุดท้ายหนังก็เหมือนจะ freeze ประเด็นไว้ ทำให้ท้ายเรื่องดูไร้ทิศทางไปหน่อย และฉากไคล์แมกซ์นั้นก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือว่าลุ้นอะไรมาก แต่จะรอดูการฆ่าของอีหนูแบรนดอนมากกว่าว่าจะแหวะขนาดไหน
     ปัญหาต่อมาคือการเล่าเรื่องครับ ผมว่าช่วงแรกนั้นหนังเล่าเรื่องค่อนข้าวเร็ว เร็วในที่นี้คือเร็วจนสร้างรูโหว่ให้กับบทมหาศาลเลยครับ เราไม่รู้ว่าพ่อกับแม่แบรนดอนเลี้ยงเขามายังไง แล้วรับมือกับพฤติกรรมอันแปลกๆ ของเขาแบบไหน และเหมือนกับว่าบางช่วงหนังเหมือนรีบ รีบที่เล่าให้มันจบๆ ไป ทำให้การตัดต่อในช่วงแรกค่อนข้างกระตุกกระตัก จู่ๆ จะตัดไปเหตุการณ์ใหม่ก็ตัดไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ซึมซับกับฉากๆ นั้นเลย หนังก็ตัดฉับไปซะแล้ว พอมาครึ่งหลัง ผมนึกว่าจะดีครับ แต่ที่ไหนได้ หนังกลับช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อครับ แต่ช้าแบบช้าๆๆ เลยนะ ช้าจนบางฉากนี่แอบคิดว่ามันจะวนอีกนานมั้ย รวมไปถึงฉากฆ่า(ฉากรถคว่ำ) ที่ค่อนข้างแช่นานไป เลยทำให้ไม่ลุ้น ไม่รู้สึกตกใจอะไรมาก
     พอดูจบแล้ว ภาพพจน์ของแบรนดอนยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ครับ เหมือนกับว่าน้องจะเลวแต่ก็เลวแบบไม่สุด เพราะเหมือนน้องจะทำไปเพราะความโลภมากกว่า แต่บางฉากก็เหมือนกับว่าน้องทำไปเพราะเหตุผลบางอย่าง หรืออะไรกันแน่ผมยังงงอยู่ครับ เพราะบทและการเล่าเรื่องยังไม่ดีเท่าไหร่ครับ ผมเลยไม่ค่อยอินและเข้าอกเข้าใจตัวละครเท่าไหร่ ถ้าหนังเล่าเรื่องดี(ถ้าเป็นไปได้อยากให้ยาวกว่านี้ด้วย ซัก 2 ชั่วโมง)หนังอาจจะสนุกกว่านี้ก็ได้ครับ อันนี้ยังสนุกแบบไม่เต็มที่เท่าไหร่
     แต่กระนั้น ผมว่าองค์ประกอบอื่นหนังทำได้ดีครับ ตั้งแต่นักแสดง Elizabeth Banks ก็เล่นได้ดีตามเคยครับ ผมว่า Banks รับบทหนักสุดละในเรื่อง เพราะเธอต้องแสดงอารมณ์เศร้า หัวเราะ และก็ผวาทั้งเรื่องเลย และเธอก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังครับ ส่วน David Denman ก็ดีครับ และน้อง Jackson Dunn ผมว่าน้องเล่นดีนะ แววตาน้องมันเย็นยะเยือกและชวนขนลุกจริงๆ ส่วนด้านดนตรีของ Timothy Williams ผมว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนตอนดู Man of Steel เลย ผมชอบนะ ส่วนด้าน CG ก็ทำได้ดีสำหรับหนังทุนประมาณนี้
     โดยรวมแล้วหนังโอเคครับ เพียงแต่บทและการเล่าเรื่องจะดูด้อยไปหน่อย และมีหลายประเด็นที่หนังน่าจะขยี้มากกว่านี้ แต่ในด้านความสนุก Brightburn ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลยนะครับ ผมว่ามันก็สนุกแบบหนังป๊อปคอร์นนั่นแหละ ถ้ามีภาคต่อ(ซึ่งปูทางแล้วเรียบร้อย)ผมก็ภาวนาขอให้มันดีกว่านี้ครับ แต่เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรอกนะ ยังโอเคอยู่

คะแนนเฉลี่ยรวม : 6/10
เรตหนัง : หนังโอเค พอดูได้
ชื่อสินค้า:   Brightburn (2019)
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่