สวัสดีครับทุก ๆ ท่าน นี่เป็นเรื่องราวสุดโลดโผนของเด็กชายบ้านนอกคนนึงที่ไขว่คว้าหาความสำเร็จให้ตัวเองด้วยต้นทุนที่ติดลบ (นิดหน่อย) อาจจะมีบางท่านที่ผ่านเรื่องแย่ๆมากกว่าผม ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่รักความก้าวหน้าในชีวิตนะครับ หากมีข้อผิดพลาดประการใตก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ผมเป็นเด็กบ้านนอกเชื้อสายจีนคนนึงมาจากเชียงใหม่ครับ โตมาแบบค่อยข้างคลุกฝุ่นพอสมควรครับ
ในวัยเด็กผมไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ซึ่งท่านทั้งสองต้องโทษคดีความร้ายแรงตั้งแต่ผมอายุได้ขวบครึ่งครับ ผมจึงต้องอาศัยอยู่กับคุณปู่ คุณย่า ทั้งสองท่านเป็นผู้มีการศึกษาที่ต้องอพยพหนีคอมมิวนิสต์มาปักหลักที่เมืองไทย คุณลุงซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน และ คุณอาสามซึ่งผมเคารพนับถือเป็นแม่อีกท่านนึง อาสี่ผู้เติมเต็มชีวิตวัยเด็กของผม อาห้าผู้สอนให้ผมรู้จักคุณค่าของเงินที่หามาได้
ชีวิตในวัยเด็ก-วัยรุ่น
คุณลุงผมเองข้องแวะกับยาเสพติดค่อนข้างบ่อยจึงทำให้ที่บ้านต้องเดือดร้อนตลอด โดยเฉพาะอาสามและอาห้าที่ทำงานประจำได้รับผลกระทบจากความซนของลุงแทบไม่เว้นวัน
ผมจึงโตมาแบบไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสักเท่าไร ไม่ได้มีใครมากำกับชีวิตนักทุกคนก็มัวแต่ยุ่ง ๆ อาศัยว่าเป็นเด็กที่เรียนรู้ไว ช่างสังเกต แต่ผมเป็นคนขี้เบื่อง่ายไปหน่อย เลยทำให้ผมเรียนๆเล่นๆ โดดเรียนบ้าง เกเรบ้าง ต่อยตีบ้าง จะสอบต่อ ม.ปลายทีก็ฮึดอ่านหนังสือทีนึง ก็จบม.ปลายสายวิทย์โรงเรียนเอกชนแถวรางรถไฟแห่งนึงในจังหวัดเขียงใหม่ด้วยเกรด 2.83 พอใกล้จะสอบเข้ามหาลัยทีนึงก็ฮึดอ่านหนังสือเทอมสุดท้าย ทีแรกตั้งใจว่าจะเลือกคณะแพทย์กับทันตะ แบบอยากเป็นหมอเจ็บอ่ะครับ (อารมณ์เกรดน้อยก็ติดหมอได้โว้ย 555) ก็ตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ 3 เดือนเต็ม ๆ ดันมาทะเลาะกับแฟนสาวก่อนสอบ เลยไม่อ่านมันละ (แบบว่าจ้าดง่าวขนาดเลยครับ)…. ตัดมาตอนคะแนนโควต้าออกก็ … แป่ววว แห้วทั้งอันดับ 1 และ 2 เลย
พอตั้งตัวได้ก็ฮึดกลับมาอ่านหนังสืออีกเดือนนึงเต็ม ๆ เพื่อสอบ Admission ตอนนั้นปี 49 รุ่นแรกเลย ยอมรับว่าเหวอครับ เพราะไม่มี Reference เลยว่าจะต้องทำคะแนนเท่าไรยังไง แต่ฟ้าก็ยังเข้าข้างอยู่บ้าง ผมเลือกอันดับหนึ่ง วิศวะคอม-ไฟฟ้า มหาลัยแถวย่านนิมมาน จำได้ว่าตอนจบม.ปลายผมไปฝึกงานเป็น Reception ให้กับร้าน Pub and Restaurant ชื่อดังแถวนิมมาน ตอนรู้ผลสอบติดแอดมิชชั่นนี่กระโดดลิงโลดเลี้ยงเหล้าลูกค้าเลยครับ เออ ... อย่างน้อยก็มีที่เรียนละวะ
ชีวิตมหาลัย
หลังจากที่รู้ผล ผมตั้งใจจะเลือกสาขาวิศวะคอม เพราะคิดว่าน่าจะเป็นสายที่ฮอตที่สุดในอีก 10 ปีข้างหน้า (เซนส์แรงมาก ทุกวันนี้ AI & Machine Leaning กำลังอินเทรนด์พอดี) พอมอบตัวปุ๊ปก็ไปรับน้องเมเจอร์คอมกับเขาเรียบร้อย แต่ไป ๆ มาๆ อาห้าก็โทรมาบอกผมด้วยความเป็นห่วงว่า “เห้ย ยูเป็นคนขี้เกียจอย่าไปเรียนวิดวะคอมเลย” อ่าว พูดหยั่งงี้แทงใจดำ...ผมก็เชื่อสิครับ 555 ย้ายไปลงสาขาไฟฟ้าหวังจะเป็นนายช่างใหญ่มีใบ กว. โดยหารู้ไม่ว่าผมกำลังจะโดนไฮโวลเทจช๊อตตายภายหลัง ชีวิตเฟรชชี่ของผมผ่านไปด้วยความสุขสุดๆ กินดื่มเที่ยวทำกิจกรรมคณะแทบทุกวันก็ยังสอบ ฟิสิกส์ เคมี แคลคูลัสชิว ๆ ได้คะแนนท๊อป 20 ของรุ่นตลอด (ในรุ่นมีหกร้อยกว่าคน) ว่าง ๆ ผมชอบไปนั่งบาร์เกสเฮาส์ฟังเพลงฝรั่งคุยกับชาวต่างชาติทำให้ภาษาอังกฤษผมได้รับการฝึกฝนตลอด ในปีนั้นผมมีเกรดเฉลี่ยสูงถึง 3.8 คนที่บ้านภูมิใจมาก ผมเริ่มหลงระเริงหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะแบบในหนังฮอลลีวูด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของหายนะที่ตามมาภายหลัง
ปีหนึ่งผ่านไป
ชีวิตมหาวิทยาลัยปีสองของผมต้องเริ่มเข้าภาคแล้ว การเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าเป็นอะไรที่ยากและต้องใช้ความเพียรพยายามสูงมาก คณิตศาสตร์ไฟฟ้าที่เหนือจินตนาการทำให้บุญเก่าที่ผมสะสมไว้ไม่ได้ช่วยอะไรอีก ด้วยความที่ผมยังติดกับชีวิตแบบเดิม ๆ ติดหญิง เพาะพันธุ์กัญชา กินเที่ยวดื่ม ทำให้ผลการเรียนกลับไปทุลักทุเล ผมจบปีสองเทอมแรกด้วย GPA 1.8 ในวินาทีที่ผมเปิดดูเกรด ผมรู้สึกวาบไปถึงสันหลัง กลัวที่บ้านรู้ก็พยายามบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย แต่ก็ไม่วายยังใช้ชีวิตแบบเดิมเข้าปีสองเทอมสอง คราวนี้วิชาอะไรมาก็ไม่รู้แล้วครับ เหมือนอยู่ในโลกอีกใบเลย ในขณะที่ตัวเองยังลุ่มหลงมัวเมากับอบายมุขอยู่ ผมรู้ตัวเองอีกทีก็เกือบจบเทอมแล้วจึงได้ตัดสินใจสมัคร Work and Travel ไปอเมริกา ตั้งใจว่าจะหนีปัญหาการเรียน เผื่อว่าจะไปอยู่ยาวเป็นโรบินฮู้ดด้วย ทำการสมัครทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจ่ายตังค่าตั๋วเครื่องบินเตรียมวีซ่า บอกที่บ้านว่าจะไปดูงานที่ USA วันที่เกรดเฉลี่ยออกปุ๊บ ผมบินหนีไปเมกาด้วยเกรดเฉลี่ย 0.5 เลย คุณอ่านไม่ผิดครับ ศูนย์จุดห้า (เทอมนั้น F 4 ตัว D บวก 1 ตัว มาถึงตรงนี้หากใครเคยได้เกรดน้อยกว่านี้ผมนับถือเลยครับ)
จบปีสอง
ผมเป็นไอ้ Loser ตักไอติมขายที่ฮาวายอยู่สักพัก วันนึงมีลูกค้าฝรั่งคนนึงจอดรถ Mastang เดินมาสั่งไอติม ท่าทางดูเท่มาก ผมถามเขาว่ามาจากไหน เขาบอกว่ามาจาก NY ชวนคุยไปคุยมารู้ว่าทำงานอยู่ Hedge Fund แห่งหนึ่งในแมนฮัตตัน เขาเคยล้มเหลวในชีวิตมาก่อนเหมือนกันแต่วันนี้เขาเป็นนักลงทุนไปแล้ว เขาฝากแนวคิดจากหนังสือเรื่อง คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก (The Magic of Thinking Big by David J. Schwartz) ทั้งยังแนะนำให้ผมลองอ่านหนังสือของเบน เกรแฮม (Value Investing) และบอกผมว่าอย่าทรยศต่อความฝันของตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นผมก็ยังไม่มีฝันอะไรสักอย่าง แค่อยากกิน Kee Pee นอน ไปวันๆ
ในวัย 20 ปี ผมเก็บตัง 3 เดือนซื้อตั๋วบินจากฮาวายไปนิวยร์คเพื่อสัมผัสแมนฮัตตัน ผมเดินทางคนเดียวใช้เวลาทบทวนตัวเอง เดินทางเปิดโลก ตามหาสิ่งที่ชอบ วันนึงผมกระแดะนั่งกินแซนด์วิช จิบกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ อยู่ใกล้กับร้าน Housing Works Bookstore นึกขึ้นได้ว่าอยากได้หนังสือเล่มหนึ่งจึงเข้าไปหาซื้อหนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก (The Magic of Thinking Big) กับ การลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing) ของเบน เกรแฮม นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักนักลงทุนที่ชื่อวอเรนต์ บัฟเฟตต์ และมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ด้วยความสงสัยอีก ก็ไปมุ่งหน้าไปเดินเทียวที่มหาวิทยาลัยเลยครับ เดินชมแคมปัสพลางก็คิด ๆ ว่า เห้อ...ชีวิตตรู จะเข้ามาเรียนต่อที่นี่มั้ยน้ออ… พึ่งได้เกรด 0.5 มาหมาด ๆ ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่นึกได้ว่ามีหนังสืออีกเล่มนึงก็คือ Thinking Big ผมนั่งอ่านหน้าบันได Low Memorial Library เลยครับ เนื้อหาในหนังสือทำให้อ่านไปได้สักหนึ่งในสามของเล่ม ผมมีหัวใจที่พองโตมากกก … ผมบอกกับตัวเองว่าวันนึงผมจะต้องกลับมาที่ NY ให้ได้ ผมต้องกลับมาที่บันไดนี้อีกครั้ง และผมจะต้องเป็นนัก ^#@( อะไรสักอย่างที่ต้องกลับมาที่ Wall Street ให้ได้ 555 เพ้อเจ้อเนอะ ท้ายที่สุดผมเดินทางกลับไทยด้วยไฟในหัวใจที่ลุกโชน พร้อมกับเป้าหมายชีวิตในอีก 10-15 ปีข้างหน้าว่าจะต้องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานให้ได้
ปั่นจนจบ
ผมกลับมาทำการย้ายสาขาไปวิศวกรรมอุตสาหการ เพื่อลดแรงกดดันในการเรียน ผมกลับมาเรียนอีกครั้งกับรุ่นน้องรหัสถัดไป การเรียนของผมก็ปานกลางเนื่องจากผมต้องเรียนคนเดียวและไม่สนิทกับรุ่นน้องเท่ากับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน เรียนๆ ไปพอเอาตัวรอดให้จบเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ตอนนั้นผมเองก็หวังว่าตัวเองตั้งใจจะไปเรียนต่อโทสาย Finance ให้ได้ อาจจะเป็น UK หรือที่ไหนก็ได้ที่เรียนแค่ 1 ปี ผมเข็นตัวเองจนจบด้วยเกรด 2.2 เนื่องจากเกรดอัปยศในปีสองฉุดผมลงไปอยู่จุดต่ำสุดของการเรียน ด้วยเกรดขนาดนี้ ผมยังคงมีความกลัวที่จะผิดหวังไม่กล้าสมัครเรียนต่อที่ไหน ประกอบกับสถานะทางการเงินทางบ้านไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จึงต้องล้มเลิกและหางานทำก่อน ไฟที่จะทำตามฝันปีก่อนนั้นค่อย ๆ มอดลงจนดับไปในที่สุด
ชีวิตทำงาน
ด้วยเกรดกระเปลี้ย ผมสมัครงานก่อนเรียนจบไปกว่า 200 บริษัท ไม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาเลย จนวันนึงบริษัท Logistics แห่งหนึ่งเข้ารับผมทำงานเป็น Logistics Analyst ในปี 2011 ด้วยเงินเดือนเกือบสามหมื่นบาท (ได้งานเพราะภาษาอังกฤษล้วน ๆ )ซึ่งผมถือว่าสูงมากกว่าเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นในขณะนั้นพอสมควร ในที่สุด .. เอาอีกแล้ว กระผมนายจองหองคนเดิมก็กลับมาเหิมเกริมอีกรอบ ผมได้เงินเดือนก็สุรุ่ยสุร่ายหยำเป เข้าประชุมสายบ่อยครั้ง …. ผมไม่ผ่านโปรด้วยอายุการทำงานเพียง 2 เดือน ด้วยเหตุผลเรื่องการไม่เข้าใจธุรกิจ ผมโดน MD ไล่ไปเรียน MBA แล้วค่อยกลับมาทำงานหาเงินอีกรอบ ครั้งนี้ผมเสีย Self มาก ๆ แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ผมได้รู้จักกับคนอายุราวเดียวกัน ทำงานในตำแหน่ง Management Trainee (MT) จึงได้เริ่มสนใจที่มาที่ไปของตำแหน่งนี้ ซึ่งก็คือผู้บริหารฝึกหัดซึ่งจะโตไปเป็นผู้นำขององค์กรในอนาคตนั่นเอง
ผมได้งานใหม่ในสาย Logistics อีกครั้งกับอีกบริษัทหนึ่ง คราวนี้ผมเปลี่ยนเปลงตัวเอง ฝึกฝนทักษะ วิเคราะห์ และใช้งาน Microsoft Excel จนคล่อง ผมตั้งใจทำงานเพื่อให้เข้าตาผู้บริหารและต้องการจะเป็น Logistics Expert ซึ่งจะได้ไปอบรมและทำโปรเจคตามไซต์งานต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นเวลา 8-10 เดือน หากได้ไปก็คงจะเจ๋งน่าดู ไม่ต้องเรียนต่อนอกก็ทำงานนอกได้เฟ้ย 555 เนื่องจากปีนั้นเป็นปีที่มีน้ำท่วมใหญ่ครับ ผลประกอบการติดลบ บริษัท Freeze โครงการเทรนนิ่งดังกล่าวและตัดสินใจเปิดรับตำแหน่ง Management Trainee แทน ผมถามไปยัง HR และได้รับคำตอบว่า ไม่มีนโยบายรับคนในจ้ะ.....อีกาสองตัวบินผ่านหัว ก๊าบ ก๊าบทันที … ถถถ เวลาผ่านไปสองเดือนบริษัทรับเอา MT เข้ามาใหม่ 3 คนซึ่งโปรไฟล์หรูมาก U Top ทั้งนั้นครับ มี Imperial College, Verginia Tech และ Warwick ผมก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวไป เขามันเด็กเรียนนอก เรามันเด็กบ้านนอก ต้นทุนเรามันไม่เท่ากัน...ฮือ
เดวมาต่อครับ***
เด็กบ้านแตก ติด F เทอมเดียว 4 ตัว เรียนจบด้วยเกรด 2.2 ทำหญิงท้อง สอบติด U top และไต่ขึ้นเป็นผู้บริหารในวัย 30 ต้นๆ
ผมเป็นเด็กบ้านนอกเชื้อสายจีนคนนึงมาจากเชียงใหม่ครับ โตมาแบบค่อยข้างคลุกฝุ่นพอสมควรครับ
ในวัยเด็กผมไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ซึ่งท่านทั้งสองต้องโทษคดีความร้ายแรงตั้งแต่ผมอายุได้ขวบครึ่งครับ ผมจึงต้องอาศัยอยู่กับคุณปู่ คุณย่า ทั้งสองท่านเป็นผู้มีการศึกษาที่ต้องอพยพหนีคอมมิวนิสต์มาปักหลักที่เมืองไทย คุณลุงซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน และ คุณอาสามซึ่งผมเคารพนับถือเป็นแม่อีกท่านนึง อาสี่ผู้เติมเต็มชีวิตวัยเด็กของผม อาห้าผู้สอนให้ผมรู้จักคุณค่าของเงินที่หามาได้
ชีวิตในวัยเด็ก-วัยรุ่น
คุณลุงผมเองข้องแวะกับยาเสพติดค่อนข้างบ่อยจึงทำให้ที่บ้านต้องเดือดร้อนตลอด โดยเฉพาะอาสามและอาห้าที่ทำงานประจำได้รับผลกระทบจากความซนของลุงแทบไม่เว้นวัน
ผมจึงโตมาแบบไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสักเท่าไร ไม่ได้มีใครมากำกับชีวิตนักทุกคนก็มัวแต่ยุ่ง ๆ อาศัยว่าเป็นเด็กที่เรียนรู้ไว ช่างสังเกต แต่ผมเป็นคนขี้เบื่อง่ายไปหน่อย เลยทำให้ผมเรียนๆเล่นๆ โดดเรียนบ้าง เกเรบ้าง ต่อยตีบ้าง จะสอบต่อ ม.ปลายทีก็ฮึดอ่านหนังสือทีนึง ก็จบม.ปลายสายวิทย์โรงเรียนเอกชนแถวรางรถไฟแห่งนึงในจังหวัดเขียงใหม่ด้วยเกรด 2.83 พอใกล้จะสอบเข้ามหาลัยทีนึงก็ฮึดอ่านหนังสือเทอมสุดท้าย ทีแรกตั้งใจว่าจะเลือกคณะแพทย์กับทันตะ แบบอยากเป็นหมอเจ็บอ่ะครับ (อารมณ์เกรดน้อยก็ติดหมอได้โว้ย 555) ก็ตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ 3 เดือนเต็ม ๆ ดันมาทะเลาะกับแฟนสาวก่อนสอบ เลยไม่อ่านมันละ (แบบว่าจ้าดง่าวขนาดเลยครับ)…. ตัดมาตอนคะแนนโควต้าออกก็ … แป่ววว แห้วทั้งอันดับ 1 และ 2 เลย
พอตั้งตัวได้ก็ฮึดกลับมาอ่านหนังสืออีกเดือนนึงเต็ม ๆ เพื่อสอบ Admission ตอนนั้นปี 49 รุ่นแรกเลย ยอมรับว่าเหวอครับ เพราะไม่มี Reference เลยว่าจะต้องทำคะแนนเท่าไรยังไง แต่ฟ้าก็ยังเข้าข้างอยู่บ้าง ผมเลือกอันดับหนึ่ง วิศวะคอม-ไฟฟ้า มหาลัยแถวย่านนิมมาน จำได้ว่าตอนจบม.ปลายผมไปฝึกงานเป็น Reception ให้กับร้าน Pub and Restaurant ชื่อดังแถวนิมมาน ตอนรู้ผลสอบติดแอดมิชชั่นนี่กระโดดลิงโลดเลี้ยงเหล้าลูกค้าเลยครับ เออ ... อย่างน้อยก็มีที่เรียนละวะ
ชีวิตมหาลัย
หลังจากที่รู้ผล ผมตั้งใจจะเลือกสาขาวิศวะคอม เพราะคิดว่าน่าจะเป็นสายที่ฮอตที่สุดในอีก 10 ปีข้างหน้า (เซนส์แรงมาก ทุกวันนี้ AI & Machine Leaning กำลังอินเทรนด์พอดี) พอมอบตัวปุ๊ปก็ไปรับน้องเมเจอร์คอมกับเขาเรียบร้อย แต่ไป ๆ มาๆ อาห้าก็โทรมาบอกผมด้วยความเป็นห่วงว่า “เห้ย ยูเป็นคนขี้เกียจอย่าไปเรียนวิดวะคอมเลย” อ่าว พูดหยั่งงี้แทงใจดำ...ผมก็เชื่อสิครับ 555 ย้ายไปลงสาขาไฟฟ้าหวังจะเป็นนายช่างใหญ่มีใบ กว. โดยหารู้ไม่ว่าผมกำลังจะโดนไฮโวลเทจช๊อตตายภายหลัง ชีวิตเฟรชชี่ของผมผ่านไปด้วยความสุขสุดๆ กินดื่มเที่ยวทำกิจกรรมคณะแทบทุกวันก็ยังสอบ ฟิสิกส์ เคมี แคลคูลัสชิว ๆ ได้คะแนนท๊อป 20 ของรุ่นตลอด (ในรุ่นมีหกร้อยกว่าคน) ว่าง ๆ ผมชอบไปนั่งบาร์เกสเฮาส์ฟังเพลงฝรั่งคุยกับชาวต่างชาติทำให้ภาษาอังกฤษผมได้รับการฝึกฝนตลอด ในปีนั้นผมมีเกรดเฉลี่ยสูงถึง 3.8 คนที่บ้านภูมิใจมาก ผมเริ่มหลงระเริงหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะแบบในหนังฮอลลีวูด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของหายนะที่ตามมาภายหลัง
ปีหนึ่งผ่านไป
ชีวิตมหาวิทยาลัยปีสองของผมต้องเริ่มเข้าภาคแล้ว การเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าเป็นอะไรที่ยากและต้องใช้ความเพียรพยายามสูงมาก คณิตศาสตร์ไฟฟ้าที่เหนือจินตนาการทำให้บุญเก่าที่ผมสะสมไว้ไม่ได้ช่วยอะไรอีก ด้วยความที่ผมยังติดกับชีวิตแบบเดิม ๆ ติดหญิง เพาะพันธุ์กัญชา กินเที่ยวดื่ม ทำให้ผลการเรียนกลับไปทุลักทุเล ผมจบปีสองเทอมแรกด้วย GPA 1.8 ในวินาทีที่ผมเปิดดูเกรด ผมรู้สึกวาบไปถึงสันหลัง กลัวที่บ้านรู้ก็พยายามบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย แต่ก็ไม่วายยังใช้ชีวิตแบบเดิมเข้าปีสองเทอมสอง คราวนี้วิชาอะไรมาก็ไม่รู้แล้วครับ เหมือนอยู่ในโลกอีกใบเลย ในขณะที่ตัวเองยังลุ่มหลงมัวเมากับอบายมุขอยู่ ผมรู้ตัวเองอีกทีก็เกือบจบเทอมแล้วจึงได้ตัดสินใจสมัคร Work and Travel ไปอเมริกา ตั้งใจว่าจะหนีปัญหาการเรียน เผื่อว่าจะไปอยู่ยาวเป็นโรบินฮู้ดด้วย ทำการสมัครทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจ่ายตังค่าตั๋วเครื่องบินเตรียมวีซ่า บอกที่บ้านว่าจะไปดูงานที่ USA วันที่เกรดเฉลี่ยออกปุ๊บ ผมบินหนีไปเมกาด้วยเกรดเฉลี่ย 0.5 เลย คุณอ่านไม่ผิดครับ ศูนย์จุดห้า (เทอมนั้น F 4 ตัว D บวก 1 ตัว มาถึงตรงนี้หากใครเคยได้เกรดน้อยกว่านี้ผมนับถือเลยครับ)
จบปีสอง
ผมเป็นไอ้ Loser ตักไอติมขายที่ฮาวายอยู่สักพัก วันนึงมีลูกค้าฝรั่งคนนึงจอดรถ Mastang เดินมาสั่งไอติม ท่าทางดูเท่มาก ผมถามเขาว่ามาจากไหน เขาบอกว่ามาจาก NY ชวนคุยไปคุยมารู้ว่าทำงานอยู่ Hedge Fund แห่งหนึ่งในแมนฮัตตัน เขาเคยล้มเหลวในชีวิตมาก่อนเหมือนกันแต่วันนี้เขาเป็นนักลงทุนไปแล้ว เขาฝากแนวคิดจากหนังสือเรื่อง คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก (The Magic of Thinking Big by David J. Schwartz) ทั้งยังแนะนำให้ผมลองอ่านหนังสือของเบน เกรแฮม (Value Investing) และบอกผมว่าอย่าทรยศต่อความฝันของตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นผมก็ยังไม่มีฝันอะไรสักอย่าง แค่อยากกิน Kee Pee นอน ไปวันๆ
ในวัย 20 ปี ผมเก็บตัง 3 เดือนซื้อตั๋วบินจากฮาวายไปนิวยร์คเพื่อสัมผัสแมนฮัตตัน ผมเดินทางคนเดียวใช้เวลาทบทวนตัวเอง เดินทางเปิดโลก ตามหาสิ่งที่ชอบ วันนึงผมกระแดะนั่งกินแซนด์วิช จิบกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ อยู่ใกล้กับร้าน Housing Works Bookstore นึกขึ้นได้ว่าอยากได้หนังสือเล่มหนึ่งจึงเข้าไปหาซื้อหนังสือคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก (The Magic of Thinking Big) กับ การลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing) ของเบน เกรแฮม นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักนักลงทุนที่ชื่อวอเรนต์ บัฟเฟตต์ และมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ด้วยความสงสัยอีก ก็ไปมุ่งหน้าไปเดินเทียวที่มหาวิทยาลัยเลยครับ เดินชมแคมปัสพลางก็คิด ๆ ว่า เห้อ...ชีวิตตรู จะเข้ามาเรียนต่อที่นี่มั้ยน้ออ… พึ่งได้เกรด 0.5 มาหมาด ๆ ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่นึกได้ว่ามีหนังสืออีกเล่มนึงก็คือ Thinking Big ผมนั่งอ่านหน้าบันได Low Memorial Library เลยครับ เนื้อหาในหนังสือทำให้อ่านไปได้สักหนึ่งในสามของเล่ม ผมมีหัวใจที่พองโตมากกก … ผมบอกกับตัวเองว่าวันนึงผมจะต้องกลับมาที่ NY ให้ได้ ผมต้องกลับมาที่บันไดนี้อีกครั้ง และผมจะต้องเป็นนัก ^#@( อะไรสักอย่างที่ต้องกลับมาที่ Wall Street ให้ได้ 555 เพ้อเจ้อเนอะ ท้ายที่สุดผมเดินทางกลับไทยด้วยไฟในหัวใจที่ลุกโชน พร้อมกับเป้าหมายชีวิตในอีก 10-15 ปีข้างหน้าว่าจะต้องประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานให้ได้
ปั่นจนจบ
ผมกลับมาทำการย้ายสาขาไปวิศวกรรมอุตสาหการ เพื่อลดแรงกดดันในการเรียน ผมกลับมาเรียนอีกครั้งกับรุ่นน้องรหัสถัดไป การเรียนของผมก็ปานกลางเนื่องจากผมต้องเรียนคนเดียวและไม่สนิทกับรุ่นน้องเท่ากับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน เรียนๆ ไปพอเอาตัวรอดให้จบเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ตอนนั้นผมเองก็หวังว่าตัวเองตั้งใจจะไปเรียนต่อโทสาย Finance ให้ได้ อาจจะเป็น UK หรือที่ไหนก็ได้ที่เรียนแค่ 1 ปี ผมเข็นตัวเองจนจบด้วยเกรด 2.2 เนื่องจากเกรดอัปยศในปีสองฉุดผมลงไปอยู่จุดต่ำสุดของการเรียน ด้วยเกรดขนาดนี้ ผมยังคงมีความกลัวที่จะผิดหวังไม่กล้าสมัครเรียนต่อที่ไหน ประกอบกับสถานะทางการเงินทางบ้านไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จึงต้องล้มเลิกและหางานทำก่อน ไฟที่จะทำตามฝันปีก่อนนั้นค่อย ๆ มอดลงจนดับไปในที่สุด
ชีวิตทำงาน
ด้วยเกรดกระเปลี้ย ผมสมัครงานก่อนเรียนจบไปกว่า 200 บริษัท ไม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาเลย จนวันนึงบริษัท Logistics แห่งหนึ่งเข้ารับผมทำงานเป็น Logistics Analyst ในปี 2011 ด้วยเงินเดือนเกือบสามหมื่นบาท (ได้งานเพราะภาษาอังกฤษล้วน ๆ )ซึ่งผมถือว่าสูงมากกว่าเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นในขณะนั้นพอสมควร ในที่สุด .. เอาอีกแล้ว กระผมนายจองหองคนเดิมก็กลับมาเหิมเกริมอีกรอบ ผมได้เงินเดือนก็สุรุ่ยสุร่ายหยำเป เข้าประชุมสายบ่อยครั้ง …. ผมไม่ผ่านโปรด้วยอายุการทำงานเพียง 2 เดือน ด้วยเหตุผลเรื่องการไม่เข้าใจธุรกิจ ผมโดน MD ไล่ไปเรียน MBA แล้วค่อยกลับมาทำงานหาเงินอีกรอบ ครั้งนี้ผมเสีย Self มาก ๆ แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ผมได้รู้จักกับคนอายุราวเดียวกัน ทำงานในตำแหน่ง Management Trainee (MT) จึงได้เริ่มสนใจที่มาที่ไปของตำแหน่งนี้ ซึ่งก็คือผู้บริหารฝึกหัดซึ่งจะโตไปเป็นผู้นำขององค์กรในอนาคตนั่นเอง
ผมได้งานใหม่ในสาย Logistics อีกครั้งกับอีกบริษัทหนึ่ง คราวนี้ผมเปลี่ยนเปลงตัวเอง ฝึกฝนทักษะ วิเคราะห์ และใช้งาน Microsoft Excel จนคล่อง ผมตั้งใจทำงานเพื่อให้เข้าตาผู้บริหารและต้องการจะเป็น Logistics Expert ซึ่งจะได้ไปอบรมและทำโปรเจคตามไซต์งานต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นเวลา 8-10 เดือน หากได้ไปก็คงจะเจ๋งน่าดู ไม่ต้องเรียนต่อนอกก็ทำงานนอกได้เฟ้ย 555 เนื่องจากปีนั้นเป็นปีที่มีน้ำท่วมใหญ่ครับ ผลประกอบการติดลบ บริษัท Freeze โครงการเทรนนิ่งดังกล่าวและตัดสินใจเปิดรับตำแหน่ง Management Trainee แทน ผมถามไปยัง HR และได้รับคำตอบว่า ไม่มีนโยบายรับคนในจ้ะ.....อีกาสองตัวบินผ่านหัว ก๊าบ ก๊าบทันที … ถถถ เวลาผ่านไปสองเดือนบริษัทรับเอา MT เข้ามาใหม่ 3 คนซึ่งโปรไฟล์หรูมาก U Top ทั้งนั้นครับ มี Imperial College, Verginia Tech และ Warwick ผมก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวไป เขามันเด็กเรียนนอก เรามันเด็กบ้านนอก ต้นทุนเรามันไม่เท่ากัน...ฮือ
เดวมาต่อครับ***