“Road to New York”
จากความสำเร็จของการรบที่โฮป ไม่นานนักอเมริกาก็เริ่มแผนการรบเพื่อกวาดล้างซอมบี้ในอเมริกา
ชื่อของแผนการรบนี้คือ Road to New York
โดยอเมริกาจะแบ่งทัพออกเป็น 3 กลุ่ม
“เหนือ” “กลาง” และ “ใต้”
ทั้งสามทัพนี้จะเชื่อมกันเหมือนเป็นแถวหน้ากระดาน
ไล่กวาดเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่ซ้ายสุดมาขวาสุดของอเมริกาโดยปลายทางสุดท้ายอยู่ที่ New York
ทั้งนี้อเมริกาได้ขอความร่วมมือจากแคนนาดาและแม๊กซิโกในการช่วยปิดแนวชายแดนของแคนนาดาและแม๊กซิโกที่ต่อกับอเมริกาไว้
เพื่อไม่ให้มีซอมบี้จากทั้งสองประเทศเล็ดรอดเข้ามาในพื้นที่ของอเมริกาหลังจากเคลียร์พื้นที่แล้ว
โดยมีการตอบแทนว่าหลังจากเคลียร์พื้นที่พ้นรอยต่อของพรมแดนแล้วจะส่งกำลังทหารไปช่วยเคลียร์ซอมบี้ในดินแดนของทั้งสองประเทศ
การเคลื่อนทัพนั้นจะเป็นการเดินเท้าโดยทหารราบแบ่งออกเป็นสองแถวหน้ากระดานที่ยาวมาก
กองทัพจะไม่มีการหยุดเดินทัพถ้าไม่เจอฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่แต่จะใช้วิธีแบ่งกำลังจากแถวหน้าไปปิดล้อมพื้นที่ที่พบซอมบี้
กองกำลังย่อยนี้ถูกเรียกว่า FAR (Force Appropriate Response แปลได้ประมาณว่ากองกำลังเพื่อการตอบสนองอย่างเหมาะสม)
ทำหน้าที่ปิดล้อม, หลอกล่อและค้นหาซอมบี้ในพื้นที่ที่รับผิดชอบแล้วทำลายทิ้งเสียให้หมด
ส่วนทัพหลักนั้นจะเดินทัพต่อไปโดยจำนวนคนในแถวแรกที่ขาดไปจะถูกเสริมด้วยกำลังคนเท่า ๆ กันจากแถวหลัง
การเคลื่อนทัพเจออุปสรรคต่าง ๆ มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ, ฤดูหนาวและหิมะ, โรคระบาด, การขนส่งยุทธปัจจัย, พื้นที่ที่ยากต่อการเดินทาง, กับระเบิด, อาคารถล่ม ฯลฯ
จะเห็นว่าซอมบี้ไม่ใช่อุปสรรคร้ายแรงอีกแล้ว
ยกเว้นซอมบี้ที่นอนอยู่กับพื้นหรือคลานไปมาเพราะมองเห็นได้ยาก
ทั้งนี้จะเล่าเฉพาะอุปสรรคร้ายแรงดังต่อไปนี้
คนป่า
ในเรื่องมีคำเรียกพวกนี้ว่า Ferals(แฟ-โรว)
ซึ่งก็คือเด็กๆ ที่โตมาด้วยตนเองตามธรรมชาติโดยไม่มีผู้เลี้ยงดู คล้าย ๆ กับ ทาซานหรือเมาคลี
คนเหล่านี้จึงเหมือนมนุษย์ที่มีสัญชาตญาณสัตว์ป่าเต็มเปี่ยม แข็งแรง, เร็ว, และฉลาด
ดังนั้นแฟ-โรวจึงอันตรายมาก หากคนพวกนี้หนีก็ดีไปแต่ถ้าหันมาสู้ละก็งานหยาบทันที
ในกองทัพจะมีหน่วยพิเศษHuman Reclamation unit (HR)ที่ชื่อแปลไทยได้ว่า “หน่วยเก็บกู้มนุษย์”
หน่วยนี้จะค่อยจับแฟ-โรวและควิกลิ้งด้วยปืนลูกดอกยาสลบเพื่อเอาไปเข้ารับการฟื้นฟูความเป็นมนุษย์
การจับแฟ-โรวไม่ใช่เรื่องง่าย หลายครั้งที่ทหารหรือ HR โดนแฟ-โรวฆ่าตาย
หลายครั้งที่ลูกดอกยาสลบไม่ได้ผลจนต้องยิงด้วยกระสุนจริง ทำให้ทหารทะเลาะกับ HR บ่อย ๆ
ในรูปคือ อมารา สาวหมาป่า เด็กที่โตมาโดยมีหมาป่าเลี้ยงดู หนึ่งใน Ferals ที่มีจริงในโลก
Quislings (ควิกลิ้ง)
คือมนุษย์ที่เกิดอาการทางจิตจนเลียนแบบซอมบี้ “ซอมบี้ปลอม” ว่าง่าย ๆ
ควิกลิ้งนั้นมองดูคล้ายซอมบี้ตัวจริงมาก ๆ จุดที่ใช้แยกควิกลิ้งจากซอมบี้คือควิกลิ้งขยับได้ในอากาศหนาวและกระพริบตาได้
หน่วยลาดตระเวนพลเรือนมักใช้วิธีส่องไฟฉายไปที่ตาของซอมบี้ ถ้ากระพริบก็คือควิกลิ้ง
ในช่วงแรก ๆ ของ Road to New York นั้น HR มักจับควิกลิ้งไปฟื้นฟูแต่ในตอนหลังเป็นที่รู้กันว่า
ควิกลิ้งไม่สามารถรักษาฟื้นฟูได้
เหล่าผู้รอดชีวิต
คนกลุ่มนี้คือคนที่อาศัยและสามารถเอาตัวรอดได้นอก Safe Zone และ Isolation Zone บ้างอยู่คนเดียว บ้างอยู่เป็นกลุ่ม
คนกลุ่มนี้อันตรายเพราะมักมีอาวุธปืนและยิงโดยไม่ลังเลจากปฏิกิริยาตอบสนองในการเอาตัวรอด
ผู้รอดชีวิตเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. RC ย่อจาก โรบินสัน ครูโซ คือกลุ่มที่เป็นมิตรหรือเกลี้ยกล่อมจนเป็นมิตรได้
แม่ชีที่เป็นคู่หูของเวเนียก็เป็น RC ก่อนจะถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ
2. LaMOEs (โลโมส) ย่อจาก Last Man On Earth คนกลุ่มนี้คือเห็นคนอื่นเป็นปฏิปักษ์อย่างสิ้นเชิง
พร้อมที่จะยิงโดยไม่สนที่จะเจรจา เวเนียเล่าว่าเคยเจอโลโมสติดอาวุธกลุ่มใหญ่มากที่ Sears Tower ชิคาโก้
ใหญ่จนกองทัพต้องเอาอาวุธก่อนสงครามซอมบี้กลับมาใช้
เกราะกันกระสุนและรถขนส่งกำลังพลหุ้มเกราะเริ่มถูกเอากลับใช้มาตอนนี้เอง
การปลดปล่อย Isolation Zone
เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดที่ไว้ล่อซอมบี้
ดังนั้นจำนวนซอมบี้ที่เหล่าทหารต้องเผชิญจะเยอะมาก หลักหลายหมื่น หลายแสน
หรือแม้แต่หลักหลายล้านยังมี การปลดปล่อย Isolation Zone เป็นศึกหนักของเหล่าทหารเสมอ
ศึกหนักที่สุดตามประสบการณ์ของเวเนียคือที่สนามกีฬาคู่ Comerica Park และ Ford Field ในดีทรอยต์
จำนวนซอมบี้ที่นั้นคาดว่ามีหลายล้านตัว
กองทัพต้องใช้เวลารบสามวันติดต่อกันถึงจะสังหารซอมบี้ได้จนหมด
ศึกนี้เป็นครั้งเดียวที่เวเนียนึกว่าจะเอาไม่อยู่ กองศพซอมบี้นั้นสูงจนน่ากลัวว่าจะถล่มมาทับทั้งกองทัพตายเลยทีเดียว
หลังปลดปล่อย Isolation Zone โดยเฉพาะ Zone ของพลเรือนก็ยังมีอันตรายอยู่
คือประชาชนในบาง Zone นั้นมีความโกรธแค้นทหารที่เอาพวกตนมากักไว้แล้วมาช่วยเหลือล่าช้ามาก
บางแห่งมีไม่กี่คน บางแห่งทุกคน
แต่ตราบใดที่ไม่ทำร้ายหรือยิงปืนต่อต้านก็จะไม่ทำอะไร
เวเนียเล่าว่ากองทัพจะมีหน่วยพิเศษสำหรับบุก Zone ที่ต่อต้านโดยเฉพาะและเคยเห็นว่าหน่วยนี้มีรถถังไว้ใช้
สุดท้ายคืออาการทางจิตเวช
เนื่องจากคนที่อยู่รอดในยุคสงครามซอมบี้นั้นมีชีวิตอยู่ด้วยความตึงเครียดเหมือนเชือกที่ขึงตึงตลอดเวลา
เมื่อสถานการณ์ค่อย ๆ ดีขึ้น จิตใจของคนที่ตึงมาตลอดเริ่มผ่อนคลายลง แต่อะไรที่ตึงมาตลอดเมื่อผ่อนจะกลายเป็นย่อน
และขาดได้ง่าย ๆ เมื่อมีตัวกระตุ้นอะไรบางอย่างมากระทบ
กรณีตัวอย่างที่เวเนียเคยเจอคือ
เพื่อนทหารที่อ่านจดหมายลาตายของคนอื่น ๆ แล้วกรีดร่างกายตัวเองเป็นแผลราว ๆ ครึ่งนิ้ว เป็นเครื่องหมายให้ไม่ลืม
ตอนความแตกทหารคนนี้มีแผลเต็มตัวตั้งแต่คอถึงปลายเท้า
เพื่อนทหารที่บังเอิญลาดตระเวนผ่านบ้านตัวเองแล้วแอบไปยิงตัวตายในบ้าน
เพื่อนทหารอดีตนักมวยปล้ำที่จู่ ๆ ได้กลิ่นน้ำหอมลอยมาแล้วร้องไห้แบบหยุดไม่ได้
หัวหน้าหมู่ของเวเนียที่ไม่เคยยิ้มเมื่อได้เห็นอุโมงค์แล้วจู่ ๆ ก็ยิ้มแล้วพูดภาษาบ้านเกิดของตนเอง
กรณีที่น่าขนลุกที่สุดในความความคิดของผู้เขียนและเวเนียเองก็คือตอนที่มีเพื่อนทหารเอาหัวกะโหลกจากกองกระดูกที่พบมาเป็นคู่เต้นและร้องรำทำเพลง
จากนั้นเพื่อนทหารคนอื่น ๆ ก็มาร่วมด้วย ผลคือทหารทั้งกองร้อยเพี้ยนกันหมดทั้งกองในคราวเดียว
เวเนียเล่าว่าทุกคนน่าจะได้ยินเสียงเสียงหนึ่งเบา ๆ อยู่ในหัว
“เฮพวก ไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยวางเถอะ”
Road to New York เป็นการเดินทางที่ยากลำบากและใช้เวลานานมาก
เวเนียที่ประจำอยู่ทัพทางเหนือใช้เวลาสามปีกว่าจะเดินทัพมาถึงยอนเกอร์ นิวยอร์ก จุดเริ่มต้นของ wwz ในอเมริกา
ตอนนี้เค้าคือทหารคนเดียวจากกองกำลังทดสอบยุทธวิธีที่โฮปที่ยังประจำการได้อยู่
เช้าวันที่เค้าและเพื่อนทหารสองสามคนถึงริมฝั่งแม่น้ำเจอร์ซี่มองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นิวยอร์กก็มีประกาศผ่านวิทยุสื่อสาร
VA Day (ย่อมาจาก Victory America Day)
เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อเมริกาโต้กลับและเอาชนะซอมบี้ได้สำเร็จแล้ว
(ในฉบับภาพยนตร์มีการนำฉากนี้มาใส่ในหนังในตอนไม่กี่วินาทีสุดท้ายก่อนจบ ดูฉากนั้นได้ในรูปประกอบ)
ต่อมาเพื่อเป็นการเคารพและไว้อาลัยต่อเหล่าทหารที่รบในสงครามจึงมีการเปลี่ยนชื่อ New York City เป็น Hero City
ในภายหลังแต่ละชาติก็เริ่มทยอยประกาศ V Day โดยชาติสุดท้ายคือจีนที่ได้ประกาศ VC Day ในอีกสามปีหลังจาก VA Day
และถือเป็น World Victory Day
ปิดฉาก World War Z ในที่สุด
เกล็ดย่อย
World war Z มีฉบับ Audiobook ด้วย
ซึ่งผู้ที่มาให้เสียงเป็นตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องนั้นหลายคนเป็นคนดัง หนึ่งในนั้นหลาย ๆ คนน่าจะรู้จักดีคือ Mark Hamill
ถ้าบอกว่าเค้าคือนักแสดงที่รับบท ลุค สกายวอล์คเกอร์ ละก็ทุกคนน่าจะร้องอ๋อ
รู้หรือไม่ว่าเค้าก็มีผลงานในการพากษ์เสียงเด่น ๆ เช่นกันโดยผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือการพากษ์เสียง โจ๊กเกอร์ คู่ปรับตลอดกาลของ Batman
ใน World war Z นั้นเค้ารับบทเป็น ทอส เวเนีย อดีตทหารผู้ให้ข้อมูลการรบในอเมริกานั้นเอง
ผู้เขียนเอาบทที่เวเนียเล่าการรบที่ยอนเกอร์มา ผู้ที่สนใจสามารถไปฟังได้ที่ (ภาษาอังกฤษ)
Part 1
https://www.youtube.com/watch?v=SAttCh06xqQ
Part 2
https://www.youtube.com/watch?v=sQuAzRq9HH8
Part 3
https://www.youtube.com/watch?v=sKkxG_taaxc
ผู้ที่สนใจ Audiobook สามารถซื้อได้ฟรีโดยการสมัครสมาชิกร้าน Audiobook
ซึ่งร้านเหล่านี้มักจะมีโปรโมชั่นเล่มแรกแจกฟรีให้ หลังได้ Audiobook ก็ค่อยยกเลิกสมาชิกไป
ใน Part หน้าซึ่งเป็น Part สุดท้ายจะเป็นการเล่าคร่าว ๆ ถึงแต่ละประเทศว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างและเอาตัวรอดกันมาอย่างไร
รวมถึงเก็บตกสิ่งที่จะเล่าแต่ไม่ได้เล่าและปิดบท “เล่า World war Z เทียบกับฉบับภาพยนตร์”
to be continued in Part 7 “Goodbye”
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด
Facebook Page “บทความตามใจฉัน” โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
บทความตามใจฉัน “เล่า World war Z เทียบกับฉบับภาพยนตร์” Part 6
จากความสำเร็จของการรบที่โฮป ไม่นานนักอเมริกาก็เริ่มแผนการรบเพื่อกวาดล้างซอมบี้ในอเมริกา
ชื่อของแผนการรบนี้คือ Road to New York
โดยอเมริกาจะแบ่งทัพออกเป็น 3 กลุ่ม
“เหนือ” “กลาง” และ “ใต้”
ทั้งสามทัพนี้จะเชื่อมกันเหมือนเป็นแถวหน้ากระดาน
ไล่กวาดเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่ซ้ายสุดมาขวาสุดของอเมริกาโดยปลายทางสุดท้ายอยู่ที่ New York
ทั้งนี้อเมริกาได้ขอความร่วมมือจากแคนนาดาและแม๊กซิโกในการช่วยปิดแนวชายแดนของแคนนาดาและแม๊กซิโกที่ต่อกับอเมริกาไว้
เพื่อไม่ให้มีซอมบี้จากทั้งสองประเทศเล็ดรอดเข้ามาในพื้นที่ของอเมริกาหลังจากเคลียร์พื้นที่แล้ว
โดยมีการตอบแทนว่าหลังจากเคลียร์พื้นที่พ้นรอยต่อของพรมแดนแล้วจะส่งกำลังทหารไปช่วยเคลียร์ซอมบี้ในดินแดนของทั้งสองประเทศ
การเคลื่อนทัพนั้นจะเป็นการเดินเท้าโดยทหารราบแบ่งออกเป็นสองแถวหน้ากระดานที่ยาวมาก
กองทัพจะไม่มีการหยุดเดินทัพถ้าไม่เจอฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่แต่จะใช้วิธีแบ่งกำลังจากแถวหน้าไปปิดล้อมพื้นที่ที่พบซอมบี้
กองกำลังย่อยนี้ถูกเรียกว่า FAR (Force Appropriate Response แปลได้ประมาณว่ากองกำลังเพื่อการตอบสนองอย่างเหมาะสม)
ทำหน้าที่ปิดล้อม, หลอกล่อและค้นหาซอมบี้ในพื้นที่ที่รับผิดชอบแล้วทำลายทิ้งเสียให้หมด
ส่วนทัพหลักนั้นจะเดินทัพต่อไปโดยจำนวนคนในแถวแรกที่ขาดไปจะถูกเสริมด้วยกำลังคนเท่า ๆ กันจากแถวหลัง
การเคลื่อนทัพเจออุปสรรคต่าง ๆ มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ, ฤดูหนาวและหิมะ, โรคระบาด, การขนส่งยุทธปัจจัย, พื้นที่ที่ยากต่อการเดินทาง, กับระเบิด, อาคารถล่ม ฯลฯ
จะเห็นว่าซอมบี้ไม่ใช่อุปสรรคร้ายแรงอีกแล้ว
ยกเว้นซอมบี้ที่นอนอยู่กับพื้นหรือคลานไปมาเพราะมองเห็นได้ยาก
ทั้งนี้จะเล่าเฉพาะอุปสรรคร้ายแรงดังต่อไปนี้
คนป่า
ในเรื่องมีคำเรียกพวกนี้ว่า Ferals(แฟ-โรว)
ซึ่งก็คือเด็กๆ ที่โตมาด้วยตนเองตามธรรมชาติโดยไม่มีผู้เลี้ยงดู คล้าย ๆ กับ ทาซานหรือเมาคลี
คนเหล่านี้จึงเหมือนมนุษย์ที่มีสัญชาตญาณสัตว์ป่าเต็มเปี่ยม แข็งแรง, เร็ว, และฉลาด
ดังนั้นแฟ-โรวจึงอันตรายมาก หากคนพวกนี้หนีก็ดีไปแต่ถ้าหันมาสู้ละก็งานหยาบทันที
ในกองทัพจะมีหน่วยพิเศษHuman Reclamation unit (HR)ที่ชื่อแปลไทยได้ว่า “หน่วยเก็บกู้มนุษย์”
หน่วยนี้จะค่อยจับแฟ-โรวและควิกลิ้งด้วยปืนลูกดอกยาสลบเพื่อเอาไปเข้ารับการฟื้นฟูความเป็นมนุษย์
การจับแฟ-โรวไม่ใช่เรื่องง่าย หลายครั้งที่ทหารหรือ HR โดนแฟ-โรวฆ่าตาย
หลายครั้งที่ลูกดอกยาสลบไม่ได้ผลจนต้องยิงด้วยกระสุนจริง ทำให้ทหารทะเลาะกับ HR บ่อย ๆ
ในรูปคือ อมารา สาวหมาป่า เด็กที่โตมาโดยมีหมาป่าเลี้ยงดู หนึ่งใน Ferals ที่มีจริงในโลก
Quislings (ควิกลิ้ง)
คือมนุษย์ที่เกิดอาการทางจิตจนเลียนแบบซอมบี้ “ซอมบี้ปลอม” ว่าง่าย ๆ
ควิกลิ้งนั้นมองดูคล้ายซอมบี้ตัวจริงมาก ๆ จุดที่ใช้แยกควิกลิ้งจากซอมบี้คือควิกลิ้งขยับได้ในอากาศหนาวและกระพริบตาได้
หน่วยลาดตระเวนพลเรือนมักใช้วิธีส่องไฟฉายไปที่ตาของซอมบี้ ถ้ากระพริบก็คือควิกลิ้ง
ในช่วงแรก ๆ ของ Road to New York นั้น HR มักจับควิกลิ้งไปฟื้นฟูแต่ในตอนหลังเป็นที่รู้กันว่า
ควิกลิ้งไม่สามารถรักษาฟื้นฟูได้
เหล่าผู้รอดชีวิต
คนกลุ่มนี้คือคนที่อาศัยและสามารถเอาตัวรอดได้นอก Safe Zone และ Isolation Zone บ้างอยู่คนเดียว บ้างอยู่เป็นกลุ่ม
คนกลุ่มนี้อันตรายเพราะมักมีอาวุธปืนและยิงโดยไม่ลังเลจากปฏิกิริยาตอบสนองในการเอาตัวรอด
ผู้รอดชีวิตเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. RC ย่อจาก โรบินสัน ครูโซ คือกลุ่มที่เป็นมิตรหรือเกลี้ยกล่อมจนเป็นมิตรได้
แม่ชีที่เป็นคู่หูของเวเนียก็เป็น RC ก่อนจะถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ
2. LaMOEs (โลโมส) ย่อจาก Last Man On Earth คนกลุ่มนี้คือเห็นคนอื่นเป็นปฏิปักษ์อย่างสิ้นเชิง
พร้อมที่จะยิงโดยไม่สนที่จะเจรจา เวเนียเล่าว่าเคยเจอโลโมสติดอาวุธกลุ่มใหญ่มากที่ Sears Tower ชิคาโก้
ใหญ่จนกองทัพต้องเอาอาวุธก่อนสงครามซอมบี้กลับมาใช้
เกราะกันกระสุนและรถขนส่งกำลังพลหุ้มเกราะเริ่มถูกเอากลับใช้มาตอนนี้เอง
การปลดปล่อย Isolation Zone
เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดที่ไว้ล่อซอมบี้
ดังนั้นจำนวนซอมบี้ที่เหล่าทหารต้องเผชิญจะเยอะมาก หลักหลายหมื่น หลายแสน
หรือแม้แต่หลักหลายล้านยังมี การปลดปล่อย Isolation Zone เป็นศึกหนักของเหล่าทหารเสมอ
ศึกหนักที่สุดตามประสบการณ์ของเวเนียคือที่สนามกีฬาคู่ Comerica Park และ Ford Field ในดีทรอยต์
จำนวนซอมบี้ที่นั้นคาดว่ามีหลายล้านตัว
กองทัพต้องใช้เวลารบสามวันติดต่อกันถึงจะสังหารซอมบี้ได้จนหมด
ศึกนี้เป็นครั้งเดียวที่เวเนียนึกว่าจะเอาไม่อยู่ กองศพซอมบี้นั้นสูงจนน่ากลัวว่าจะถล่มมาทับทั้งกองทัพตายเลยทีเดียว
หลังปลดปล่อย Isolation Zone โดยเฉพาะ Zone ของพลเรือนก็ยังมีอันตรายอยู่
คือประชาชนในบาง Zone นั้นมีความโกรธแค้นทหารที่เอาพวกตนมากักไว้แล้วมาช่วยเหลือล่าช้ามาก
บางแห่งมีไม่กี่คน บางแห่งทุกคน
แต่ตราบใดที่ไม่ทำร้ายหรือยิงปืนต่อต้านก็จะไม่ทำอะไร
เวเนียเล่าว่ากองทัพจะมีหน่วยพิเศษสำหรับบุก Zone ที่ต่อต้านโดยเฉพาะและเคยเห็นว่าหน่วยนี้มีรถถังไว้ใช้
สุดท้ายคืออาการทางจิตเวช
เนื่องจากคนที่อยู่รอดในยุคสงครามซอมบี้นั้นมีชีวิตอยู่ด้วยความตึงเครียดเหมือนเชือกที่ขึงตึงตลอดเวลา
เมื่อสถานการณ์ค่อย ๆ ดีขึ้น จิตใจของคนที่ตึงมาตลอดเริ่มผ่อนคลายลง แต่อะไรที่ตึงมาตลอดเมื่อผ่อนจะกลายเป็นย่อน
และขาดได้ง่าย ๆ เมื่อมีตัวกระตุ้นอะไรบางอย่างมากระทบ
กรณีตัวอย่างที่เวเนียเคยเจอคือ
เพื่อนทหารที่อ่านจดหมายลาตายของคนอื่น ๆ แล้วกรีดร่างกายตัวเองเป็นแผลราว ๆ ครึ่งนิ้ว เป็นเครื่องหมายให้ไม่ลืม
ตอนความแตกทหารคนนี้มีแผลเต็มตัวตั้งแต่คอถึงปลายเท้า
เพื่อนทหารที่บังเอิญลาดตระเวนผ่านบ้านตัวเองแล้วแอบไปยิงตัวตายในบ้าน
เพื่อนทหารอดีตนักมวยปล้ำที่จู่ ๆ ได้กลิ่นน้ำหอมลอยมาแล้วร้องไห้แบบหยุดไม่ได้
หัวหน้าหมู่ของเวเนียที่ไม่เคยยิ้มเมื่อได้เห็นอุโมงค์แล้วจู่ ๆ ก็ยิ้มแล้วพูดภาษาบ้านเกิดของตนเอง
กรณีที่น่าขนลุกที่สุดในความความคิดของผู้เขียนและเวเนียเองก็คือตอนที่มีเพื่อนทหารเอาหัวกะโหลกจากกองกระดูกที่พบมาเป็นคู่เต้นและร้องรำทำเพลง
จากนั้นเพื่อนทหารคนอื่น ๆ ก็มาร่วมด้วย ผลคือทหารทั้งกองร้อยเพี้ยนกันหมดทั้งกองในคราวเดียว
เวเนียเล่าว่าทุกคนน่าจะได้ยินเสียงเสียงหนึ่งเบา ๆ อยู่ในหัว
“เฮพวก ไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยวางเถอะ”
Road to New York เป็นการเดินทางที่ยากลำบากและใช้เวลานานมาก
เวเนียที่ประจำอยู่ทัพทางเหนือใช้เวลาสามปีกว่าจะเดินทัพมาถึงยอนเกอร์ นิวยอร์ก จุดเริ่มต้นของ wwz ในอเมริกา
ตอนนี้เค้าคือทหารคนเดียวจากกองกำลังทดสอบยุทธวิธีที่โฮปที่ยังประจำการได้อยู่
เช้าวันที่เค้าและเพื่อนทหารสองสามคนถึงริมฝั่งแม่น้ำเจอร์ซี่มองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นิวยอร์กก็มีประกาศผ่านวิทยุสื่อสาร
VA Day (ย่อมาจาก Victory America Day)
เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อเมริกาโต้กลับและเอาชนะซอมบี้ได้สำเร็จแล้ว
(ในฉบับภาพยนตร์มีการนำฉากนี้มาใส่ในหนังในตอนไม่กี่วินาทีสุดท้ายก่อนจบ ดูฉากนั้นได้ในรูปประกอบ)
ต่อมาเพื่อเป็นการเคารพและไว้อาลัยต่อเหล่าทหารที่รบในสงครามจึงมีการเปลี่ยนชื่อ New York City เป็น Hero City
ในภายหลังแต่ละชาติก็เริ่มทยอยประกาศ V Day โดยชาติสุดท้ายคือจีนที่ได้ประกาศ VC Day ในอีกสามปีหลังจาก VA Day
และถือเป็น World Victory Day
ปิดฉาก World War Z ในที่สุด
เกล็ดย่อย
World war Z มีฉบับ Audiobook ด้วย
ซึ่งผู้ที่มาให้เสียงเป็นตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องนั้นหลายคนเป็นคนดัง หนึ่งในนั้นหลาย ๆ คนน่าจะรู้จักดีคือ Mark Hamill
ถ้าบอกว่าเค้าคือนักแสดงที่รับบท ลุค สกายวอล์คเกอร์ ละก็ทุกคนน่าจะร้องอ๋อ
รู้หรือไม่ว่าเค้าก็มีผลงานในการพากษ์เสียงเด่น ๆ เช่นกันโดยผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือการพากษ์เสียง โจ๊กเกอร์ คู่ปรับตลอดกาลของ Batman
ใน World war Z นั้นเค้ารับบทเป็น ทอส เวเนีย อดีตทหารผู้ให้ข้อมูลการรบในอเมริกานั้นเอง
ผู้เขียนเอาบทที่เวเนียเล่าการรบที่ยอนเกอร์มา ผู้ที่สนใจสามารถไปฟังได้ที่ (ภาษาอังกฤษ)
Part 1 https://www.youtube.com/watch?v=SAttCh06xqQ
Part 2 https://www.youtube.com/watch?v=sQuAzRq9HH8
Part 3 https://www.youtube.com/watch?v=sKkxG_taaxc
ผู้ที่สนใจ Audiobook สามารถซื้อได้ฟรีโดยการสมัครสมาชิกร้าน Audiobook
ซึ่งร้านเหล่านี้มักจะมีโปรโมชั่นเล่มแรกแจกฟรีให้ หลังได้ Audiobook ก็ค่อยยกเลิกสมาชิกไป
ใน Part หน้าซึ่งเป็น Part สุดท้ายจะเป็นการเล่าคร่าว ๆ ถึงแต่ละประเทศว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างและเอาตัวรอดกันมาอย่างไร
รวมถึงเก็บตกสิ่งที่จะเล่าแต่ไม่ได้เล่าและปิดบท “เล่า World war Z เทียบกับฉบับภาพยนตร์”
to be continued in Part 7 “Goodbye”
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด
Facebook Page “บทความตามใจฉัน” โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/