เรื่องเล่าครูที่ไม่อยากย้ายกลับบ้าน กับ ครูที่อยากย้ายกลับบ้านแต่ไม่ได้ย้าย

ส่วนใหญ่ครูหลายท่านก็อยากบรรจุในภูมิลำเนาบ้านเกิดตนเอง หรือพยายามย้ายให้ได้ เพื่อจะได้กลับไปดูแลบุพการี
มีไหมค่ะ ที่มีครูบางท่านไม่อยากย้ายกลับภูมิลำเนา เพราะสอนที่โรงเรียนที่บรรจุที่แรกดีมาก แต่จำเป็นต้องย้าย เพราะต้องไปดูแลพ่อแม่
แต่กลายเป็นว่าถ้าย้ายมาโรงเรียนในเขตภูมิลำเนา กลับเจอสังคมโรงเรียนที่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย แบบว่าอยากย้ายกลับไปที่เก่ามาก
เรามีเคสเพื่อนๆครู ทั้งที่เป็นครูเราเอง เป็นรุ่นพี่ รุ่นเดียวกันเองบ้างมาเล่าให้ฟัง ผลต่างไปคนละบริบท

เคสแรก ครู ก
ครูเป็นคนภาคอีสาน แต่ไปบรรจุที่ภาคเหนือ  ก แฮปปี้ในการไปอยู่มาก เพราะแต่เดิมก็เรียนมหาวิทยาลัยที่จังหวัดนั้น ทำให้มีเพื่อนสมัยเรียนฝูงมาก เพราะส่วนใหญ่ก็ทำงานที่เดิม สังคมในโรงเรียนก็ดีมากทั้งนักเรียนและครู ถึงเป็นคนโสด เลิกงานก็ไปเที่ยวกับเพื่อนในจังหวัด 
ก มีแม่อยู่ที่จังหวัดเดิม แม้จะมีลูกคนอื่นอยู่ดูแลแม่อยู่แล้ว แต่แม่ก็อยากให้ครู ก กลับมาบรรจุที่บ้าน ด้วยไปคิดว่าลูกสาวอยู่ไกลบ้าน คงลำบาก
เลยไปขอร้องผู้ใหญ่ ขอให้บรรจุครู ก ที่โรงเรียนในจังหวัด โรงเรียนไหนก็ได้ เพราะเชื่อว่าให้อยู่จังหวัดเดียวกัน ยังไงก็ใกล้กัน
เมื่อแน่ใจว่าได้อัตราแน่ๆแล้ว แม่ก็มากดดันให้ครู ก เขียนย้ายตัวเองกลับมาดูแลบุพการี ทั้งที่ครู ก ไม่อยากย้าย แต่จำใจต้องทำ เพราะไม่งั้นจะถูกต่อว่าว่าทิ้งแม่ได้ยังไง มีที่ไหนไม่อยากย้ายกลับมาเพื่อมาดูแลบุพการี
ปรากฎว่าพอได้ย้ายไปโรงเรียนใหม่ กลายเป็นโรงเรียนชายแดน อยู่ไกลจากบ้านอยู่ดี ไม่ได้กลับบ้านตามที่แม่ครู ก คิดไว้ 
ชีวิตครูเมือง มาใช้ชีวิตเป็นครูชายแดน ทำให้เกิดความเครียด ทั้งการเดินทาง การไม่ชินสิ่งแวดล้อม 
อีกทั้งไม่ได้เลือกว่าอยากย้ายมาอยู่ที่แบบนี้ เลยทำให้เกิดความเครียดจัด
แม่ครู ก เลยไปขอร้องผู้ใหญ่ ขอให้หาอัตราย้ายลูกมาอยู่โรงเรียนใกล้บ้านที่อยู่อำเภอในบ้านเกิด สักปีสองปีก็ได้ย้ายมาสมใจแม่ กลับมาอยู่บ้านเดิม
แต่ครู ก ไม่ชอบสังคมในโรงเรียนที่สามเลย ทำให้สุดท้ายก็ใช้สิทธิ์เออร์ลี่ก่อนอายุเกษียณ เพราะไม่โอเคจะทำงานในโรงเรียนสุดท้าย
ถึงกลับมาอยู่บ้านเดียวกับแม่ แต่ครู ก กับแม่ก็มองหน้ากันไม่ค่อยสนิท ครู ก มักคิดว่าถ้าตัวเองได้ทำงานที่โรงเรียนแรก ชีวิตคงมีความสุขกว่านี้ ถ้าแม่ไม่เข้ามาแทรกแซงอนาคต

เคส ครู ข
ต่างจากครู ก คือ ครู ข ชอบการเป็นครูชายแดนมาก แฮปปี้กับการได้สอนเด็กเล็กๆ ใช้ชีวิตคนโสดอยู่บ้านเล็กๆสงบมาก
แม้จะได้บรรจุเลื่อนจากครูผู้ช่วย เป็นครูแล้ว แต่เมื่อใช้สิทธิ์ได้ย้าย ครู ข กลับไม่เขียนย้าย ด้วยว่ายังสนุกกับการสอนที่เดิมอยู่ พ่อแม่ขอให้เขียนย้ายเพราะรู้ว่าโรงเรียนใกล้บ้านมีอัตราว่าง ครู ข ก็ปฏิเสธ ด้วยยังรู้สึกว่าพ่อแม่ยังแข็งแรงอยู่
เว้นช่วงหลังจากนั้นปีนึง พ่อแม่ครู ข ถึงเริ่มมีอาการป่วยลง ตอนนั้นครู ข ก็คิดได้แล้วว่า คงต้องได้เวลาย้ายกลับบ้านได้แล้ว 
แต่จนถึงวันนี้ผ่านมา 4 ปี ครู ข แทบไม่ได้ย้ายไปไหนเลย เพราะอัตราโรงเรียนใกล้บ้านหรือแม้แต่โรงเรียนในจังหวัดบ้านเกิด ไม่รับแลกย้ายเลย
ไม่ว่าจะขอเขียนย้ายกี่ครั้ง ไม่เคยได้มีชื่อครู ข ติดในประกาศย้ายครูเลย
โชคยังดีที่ครู ข ยังพอมีญาติพี่น้องพาพ่อแม่ไปหาหมอบ้าง แต่ก็จะถูกญาติค่อนแคะว่า ตอนมีโอกาสย้ายได้ทำไมไม่ย้าย ตอนนี้เป็นไงล่ะ
ปัจจุบัน ครู ข ยังเป็นครูที่โรงเรียนเดิม สอบถามก็บอกว่าก็แฮปปี้อยู่นะกับการทำงานที่เดิมอยู่นะ แต่ก็สุขไม่เต็มที่เท่าตอนแรกแล้ว
เพราะในใจก็ยังห่วงพ่อแม่ และโทษตัวเองเสมอว่า ทำไมไม่รีบเขียนย้ายในตอนนั้น ก็คงไม่ต้องมาทุกข์ลุ้นอยู่แบบนี้ว่า พ่อแม่จะเป็นอะไรก่อนที่เขาจะได้ย้ายกลับมาบรรจุโรงเรียนใกล้บ้านไหม ถึงตอนนี้ต่อให้สังคมโรงเรียนใหม่ไม่ดี เขาก็คิดว่าคงอดทนได้ ดีกว่าต้องให้พ่อแม่มาอดทนรอเขาแบบนี้
ได้แต่เอาใจช่วยให้ปีนี้เขาเขียนย้ายได้สำเร็จ

เคสสุดท้าย ครู ค
ครู ค เกิดและเรียนในบ้านนอก และมีความคิดว่ายังไงก็จะไม่บรรจุโรงเรียนในบ้านเกิดเด็ดขาด เพราะอยากหนีชีวิตที่ลำบาก 
ไปสอบได้บรรจุไปอยู่ในตัวโรงเรียนจังหวัดที่เจริญสมใจ และมีครอบครัวที่จังหวัดนั้นไปเลย อนาคตการงานและลูกยังไงก็สะดวกกว่าบ้านนอก
แม้จะไม่ได้อยู่ดูแลแม้ แต่ที่บ้านเกิด แม่ก็อยู่กับพี่น้องคนอื่นๆ ครู ค ก็ไม่ได้ละเลยโยนเป็นภาระพี่น้องฝ่ายเดียว วันหยุดก็เดินทางมาเยี่ยมแม่ทุกครั้ง แม้จะห่างกันคนละหลายจังหวัด พาหลานมาพบแม่ตลอด เงินทองก็ปันส่งให้แม่ใช้ด้วย
แต่ถึงจะมาเยี่ยมสม่ำเสมอแค่ไหน แม่ของครู ค ก็ยังบอกเสมอให้ครู ค ย้ายมาบรรจุโรงเรียนใกล้บ้าน 
แต่ครู ค ปฏิเสธ เพราะโรงเรียนในจังหวัดบ้านเกิด ยังไงก็ไม่เจริญเท่าโรงเรียนจังหวัดที่บรรจุ อีกอย่างลูกก็เรียนโรงเรียนจังหวัดนั้นไปแล้ว จะให้ย้ายตามพ่อแม่เพื่อตามใจย่า มันไม่ใช่เหตุผลที่ดี ครู ค พยายามให้แม่เห็นแก่อนาคตหลาน เรียนเติบโตในเมืองหลวงย่อมดีกว่าบ้านนอก
แต่แม่ก็กลับต่อว่าครู ค เนรคุณ เห็นแก่ความสบายมากกว่าบุพการี 
กระนั้นครู ค ก็ไม่เคยใจอ่อน ยังมาเยี่ยมแม่เสมอ และก็ต้องทนฟังแม่ด่าทอตัดพ้อเรื่องเดิมๆ แม่ว่าถ้าอยากให้เลิกด่า ก็เขียนย้ายกลับบ้านเกิดซะ
จนแม่ครู ค เสีย แน่นอนว่าครู ค เดินทางมาดูใจไม่ทัน
พี่น้องส่วนนึงเห็นใจครู ค แต่มีอีกส่วนที่ค่อนแคะว่า ครู ค เนรคุณ ไม่ทำตามที่แม่ขอร้องไว้ 
ปัจจุบันครู ค เออรี่มาแล้ว ยังใช้ชีวิตในจังหวัดเดิม ลูกๆเติบโตมาอนาคตที่ดีตามที่ครู ค คาดหวังไว้
แต่ครู ค ก็ยังมีแผลในใจเรื่องไม่ย้ายกลับบ้านตามที่แม่ขอร้อง แม้ภายนอกครู ค จะบอกว่าเรื่องมันผ่านไปแล้วก็ตาม
ลูกครู ค ก็ไม่ได้ทำงานอยู่บ้านเกิดสักคน มีคนนึงได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วย ลูกบอกว่าสังคมโรงเรียนนี้น่าอยู่มาก ทั้งนักเรียนและเพื่อนครู
ครู ค ดีใจกับลูก และไม่เคยบอกให้ลูกเลือกโรงเรียนใกล้บ้าน หรือเขียนย้ายกลับมาดูแลพ่อแม่
ครู ค บอกว่า ลูกสบายใจที่ไหนก็อยู่ ไม่ต้องห่วงพ่อแม่ แต่ถ้าไม่สบายใจหรือคิดถึงพ่อแม่แล้ว ค่อยเขียนย้ายกลับมา

ได้ฟังเคสครูดังกล่าว เราก็ได้รู้ถึงมุมมองเหตุผลครูบางท่านที่ไม่อยากย้ายด้วยสาเหตุต่างๆ และอยากย้ายก็ไม่ได้ย้าย
คิดว่าครูหลายท่านก็อยากได้ทั้งใกล้บ้านและใกล้บุพการีด้วย บางท่านไม่อยากย้ายไปที่ใหม่ เพราะกลัวไม่ดีเท่าที่เก่า แต่ก็ต้องย้ายเพราะต้องดูแลบุพการี
แต่ในบางครั้ง เราก็ต้องตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างนึงในชีวิต
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่