สวัสดีค่ะ นี่กระทู้แรกของเรา
เราทำงานแล้วและเป็นลูกคนเดียวค่ะ ปัญหาเกิดขึ้นเริ่มจากการที่เราเป็นลูกคนเดียว หลายคนน่าจะประสบปัญหาเดียวกับเราคือพ่อแม่มีความคาดหวังในตัวเราเยอะเกินไป ตอนเราเด็กๆก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยนะคะ ส่วนมากทำตามใจพ่อแม่ตลอดเลย เดินอยู่ในเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ตลอด
เริ่มตั้งแต่ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตัวเรามีคณะที่อยากเข้ามากๆอยู่แล้ว แต่พอไปบอกว่าอยากเข้าก็โดนคัดค้านจนน้ำตาร่วง แถมโดนบังคับให้ไปเรียนเลขกับภาษาอังกฤษเพื่อสอบเข้าคณะหนึ่ง (ภาคอินเตอร์) ที่เขาอยากให้เข้า ตอนนั้นเราก็แค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งค่ะ อังกฤษไม่ได้ดีเด่อะไร ต้องไปนั่งเรียนเลขเป็นภาษาอังกฤษ ต้องรักษาเกรดไว้ ต้องเรียนพิเศษ แต่เราหนีพ้นเรื่องนี้มาได้ด้วยการสอบติดคณะอื่นที่เป็นอินเตอร์เหมือนกัน และคณะในฝันเราก็หลุดลอยหายไป
เราก็พยายามเรียนคณะนั้นจนจบมาได้ค่ะ ตอนเรียนปริญญาตรีนี่แหละที่ทำให้ชีวิตของเราได้พบเจอคนใหม่ๆ ได้ลองอยู่คนเดียว มีความคิดของตัวเองมากขึ้น ถึงจบปริญญาตรีเราก็ยังไม่อยากทิ้งความฝันให้หลุดมือนะคะ จำได้ว่าเราไปนั่งดูรายละเอียดของคณะในฝันของเรา ตั้งไว้แน่วแน่ว่าจะสมัครไปเรียนให้ได้หลังจากเรียนจบ
แต่ความฝันมันไม่มาถึงเราค่ะ
พ่อเราเริ่มกดดันเราเรื่องเรียนปริญญาโท กดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราต้องสมัครเข้าไปเรียนปริญญาโท แต่มันมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เราไม่มั่นใจว่าเราจะเรียนจนจบ เราถึงเกริ่นไปว่าถ้าเรียนไม่จบจะเป็นอะไรมั้ย (ช่วงนั้นเราทำงานด้วย เราอยากหาประสบการณ์มากกว่า) แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เราเลยไปเรียนอย่างสบายใจ คิดว่าถ้ามันไม่ไหวเราก็ถอยออกมาได้
แต่พอเราอยากถอยเค้าไม่ให้ถอยค่ะ
ระหว่างที่เราเรียนปริญญาโท เรารู้ตัวตั้งแต่เดือนแรกว่ามันไม่ใช่ เราไม่มีเป้าหมายว่ามาเรียนไปทำไมนอกจากให้มันจบๆไป ยิ่งอายุน้อยด้วย ประสบการณ์ไม่มาก มีหลายคนรวมถึงอาจารย์ที่ไม่ให้เกียรติเราในฐานะของคนที่เข้าไปเรียน พอเราทำธีสิทเรายิ่งโดนดูถูกว่าโง่อยู่ตลอดเวลา (เขาไม่ได้ใช้คำนี้หรอกนะคะ แต่นัยยะเหมือนกัน) รวมถึงมีคำพูดและการกระทำที่ไม่ดีหลายอย่าง เราก็ตัดสินใจเลยว่าจะลาออก ก็เลยไปบอกพ่อแม่ว่ามันไม่ไหวแล้วนะ แต่พ่อแม่บอกให้เราทนๆไปเถอะ มันเสียเครดิต แต่เราไม่รู้ว่าทำไมเราต้องทนด้วย ทำไมการลาออกจากเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบมันยากนัก แล้วเครดิตที่เสียไปคืออะไร เครดิตของเขาเองหรือของเรา สิ่งที่เราเสียไปคือเวลาที่มัวเอามาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
เราก็เลยเถียงทั้งน้ำตาว่าทำไม่ได้ เราไม่มีความสุข เราเครียด ทำไมให้เราทำตามความฝันไม่ได้ แต่เราแพ้นำ้ตาของแม่ เรานั่งเครียด นอกจากไปทำงาน เราเก็บตัว ร้องไห้อยู่คนเดียวอยู่ในห้องแทบไม่ได้ออกไปไหนเป็นเดือนๆ นอนแทบไม่หลับ จนเรารู้สึกว่ามันไม่ไหวอีกต่อไป
เราตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ เราไม่สามารถพูดคุยกับคนที่บ้านได้อีก แล้วเราก็พบว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า
หลังจากนั้นเราแอบกินยาและไปหาหมออยู่คนเดียวเป็นปี เราเคยเห็นปฏิกิริยาเวลาพ่อแม่ดูข่าวเกี่ยวกับโรคนี้ มันไม่ค่อยดีนัก และช่วงนั้นยายเราก็ล้มป่วยพอดี เราเลยไม่อยากบอกไป ตอนนี้มีแค่เพื่อนสนิทเราที่รู้เรื่อง และเราก็คงต้องลาออกจากการเรียนแน่นอนแล้วเพราะปัญหาประเดประดังเหลือเกิน แต่พ่อแม่เราไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ทั้งเรื่องซึมเศร้าและเรื่องเรียน เราเองก็น้ำท่วมปาก
เรากลัวเค้าจะรับเราที่เป็นเราไม่ได้ ถึงเราจะทำอะไรไม่สำเร็จในบางเรื่อง แต่เราก็ยังเป็นลูกสาวคนเดิมของพวกเขา
เราเกิดมามีชีวิตได้ชีวิตเดียว เราก็อยากทำให้พ่อแม่และคนรอบตัวเรามีความสุข แต่เราพบว่าเราทำไม่ได้ค่ะ เพราะแค่ตัวเรายังไม่มีความสุขเลย
เราจะทำยังไงให้พ่อแม่ยอมรับเราในแบบที่เราเป็นคะ เราอยากกลับไปยิ้มกว้างๆ สร้างเสียงหัวเราะให้พ่อแม่ได้เหมือนเก่า
ความคาดหวังที่มากเกินไป
เราทำงานแล้วและเป็นลูกคนเดียวค่ะ ปัญหาเกิดขึ้นเริ่มจากการที่เราเป็นลูกคนเดียว หลายคนน่าจะประสบปัญหาเดียวกับเราคือพ่อแม่มีความคาดหวังในตัวเราเยอะเกินไป ตอนเราเด็กๆก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยนะคะ ส่วนมากทำตามใจพ่อแม่ตลอดเลย เดินอยู่ในเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ตลอด
เริ่มตั้งแต่ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตัวเรามีคณะที่อยากเข้ามากๆอยู่แล้ว แต่พอไปบอกว่าอยากเข้าก็โดนคัดค้านจนน้ำตาร่วง แถมโดนบังคับให้ไปเรียนเลขกับภาษาอังกฤษเพื่อสอบเข้าคณะหนึ่ง (ภาคอินเตอร์) ที่เขาอยากให้เข้า ตอนนั้นเราก็แค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งค่ะ อังกฤษไม่ได้ดีเด่อะไร ต้องไปนั่งเรียนเลขเป็นภาษาอังกฤษ ต้องรักษาเกรดไว้ ต้องเรียนพิเศษ แต่เราหนีพ้นเรื่องนี้มาได้ด้วยการสอบติดคณะอื่นที่เป็นอินเตอร์เหมือนกัน และคณะในฝันเราก็หลุดลอยหายไป
เราก็พยายามเรียนคณะนั้นจนจบมาได้ค่ะ ตอนเรียนปริญญาตรีนี่แหละที่ทำให้ชีวิตของเราได้พบเจอคนใหม่ๆ ได้ลองอยู่คนเดียว มีความคิดของตัวเองมากขึ้น ถึงจบปริญญาตรีเราก็ยังไม่อยากทิ้งความฝันให้หลุดมือนะคะ จำได้ว่าเราไปนั่งดูรายละเอียดของคณะในฝันของเรา ตั้งไว้แน่วแน่ว่าจะสมัครไปเรียนให้ได้หลังจากเรียนจบ
แต่ความฝันมันไม่มาถึงเราค่ะ
พ่อเราเริ่มกดดันเราเรื่องเรียนปริญญาโท กดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราต้องสมัครเข้าไปเรียนปริญญาโท แต่มันมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เราไม่มั่นใจว่าเราจะเรียนจนจบ เราถึงเกริ่นไปว่าถ้าเรียนไม่จบจะเป็นอะไรมั้ย (ช่วงนั้นเราทำงานด้วย เราอยากหาประสบการณ์มากกว่า) แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เราเลยไปเรียนอย่างสบายใจ คิดว่าถ้ามันไม่ไหวเราก็ถอยออกมาได้
แต่พอเราอยากถอยเค้าไม่ให้ถอยค่ะ
ระหว่างที่เราเรียนปริญญาโท เรารู้ตัวตั้งแต่เดือนแรกว่ามันไม่ใช่ เราไม่มีเป้าหมายว่ามาเรียนไปทำไมนอกจากให้มันจบๆไป ยิ่งอายุน้อยด้วย ประสบการณ์ไม่มาก มีหลายคนรวมถึงอาจารย์ที่ไม่ให้เกียรติเราในฐานะของคนที่เข้าไปเรียน พอเราทำธีสิทเรายิ่งโดนดูถูกว่าโง่อยู่ตลอดเวลา (เขาไม่ได้ใช้คำนี้หรอกนะคะ แต่นัยยะเหมือนกัน) รวมถึงมีคำพูดและการกระทำที่ไม่ดีหลายอย่าง เราก็ตัดสินใจเลยว่าจะลาออก ก็เลยไปบอกพ่อแม่ว่ามันไม่ไหวแล้วนะ แต่พ่อแม่บอกให้เราทนๆไปเถอะ มันเสียเครดิต แต่เราไม่รู้ว่าทำไมเราต้องทนด้วย ทำไมการลาออกจากเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบมันยากนัก แล้วเครดิตที่เสียไปคืออะไร เครดิตของเขาเองหรือของเรา สิ่งที่เราเสียไปคือเวลาที่มัวเอามาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
เราก็เลยเถียงทั้งน้ำตาว่าทำไม่ได้ เราไม่มีความสุข เราเครียด ทำไมให้เราทำตามความฝันไม่ได้ แต่เราแพ้นำ้ตาของแม่ เรานั่งเครียด นอกจากไปทำงาน เราเก็บตัว ร้องไห้อยู่คนเดียวอยู่ในห้องแทบไม่ได้ออกไปไหนเป็นเดือนๆ นอนแทบไม่หลับ จนเรารู้สึกว่ามันไม่ไหวอีกต่อไป
เราตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ เราไม่สามารถพูดคุยกับคนที่บ้านได้อีก แล้วเราก็พบว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า
หลังจากนั้นเราแอบกินยาและไปหาหมออยู่คนเดียวเป็นปี เราเคยเห็นปฏิกิริยาเวลาพ่อแม่ดูข่าวเกี่ยวกับโรคนี้ มันไม่ค่อยดีนัก และช่วงนั้นยายเราก็ล้มป่วยพอดี เราเลยไม่อยากบอกไป ตอนนี้มีแค่เพื่อนสนิทเราที่รู้เรื่อง และเราก็คงต้องลาออกจากการเรียนแน่นอนแล้วเพราะปัญหาประเดประดังเหลือเกิน แต่พ่อแม่เราไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ทั้งเรื่องซึมเศร้าและเรื่องเรียน เราเองก็น้ำท่วมปาก
เรากลัวเค้าจะรับเราที่เป็นเราไม่ได้ ถึงเราจะทำอะไรไม่สำเร็จในบางเรื่อง แต่เราก็ยังเป็นลูกสาวคนเดิมของพวกเขา
เราเกิดมามีชีวิตได้ชีวิตเดียว เราก็อยากทำให้พ่อแม่และคนรอบตัวเรามีความสุข แต่เราพบว่าเราทำไม่ได้ค่ะ เพราะแค่ตัวเรายังไม่มีความสุขเลย
เราจะทำยังไงให้พ่อแม่ยอมรับเราในแบบที่เราเป็นคะ เราอยากกลับไปยิ้มกว้างๆ สร้างเสียงหัวเราะให้พ่อแม่ได้เหมือนเก่า