MIDSOMMAR เมื่อความตายเป็นเรื่องธรรมดา....
————————
สวัสดีครับเพื่อนชาว Pantip ทุกท่านวันนี้เพจหนัง "Movies Feedback" ขอเสนอความเห็นหลังชมภาพยนตร์เรื่อง "MIDSOMMAR " ทางไปเพจผมครับ -->
https://www.facebook.com/FeedbackMovies
————————
ผมเชื่อว่า หลายคนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว นอกจากจะได้ความสยองแบบติดตากลับบ้านมาแล้ว อาจได้ความงุนงงแบบ “อิหยังวะ” ในแต่ละช่วงของเรื่องราวติดกลับมาด้วย เอาจริงๆ โดยส่วนตัวมองว่า Midsommar ไม่ได้เป็นหนังอินดี้ที่ดูยากขนาดที่จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่มันก็ไม่ได้ดูง่าย ตีความง่ายในแบบหนังสยองขวัญทั่วไปเค้าทำกัน แล้วอะไรล่ะคือจุดเด่นของหนัง??
Midsommar เล่าเรื่องราวของคู่รักซึ่งอยู่ในช่วงระหองระแหงได้เดินทางมายังประเทศสวีเดนตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ที่นั่นพวกเขาและเพื่อนๆ วางแผนที่จะไปเที่ยวเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูร้อนในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและร้างไร้ผู้คน ซึ่งเทศกาลนี้จะจัดขึ้นเพียง 1 ครั้งในรอบ 90 ปี เป็นเวลา 9 วัน และเป็น 9 วันที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ยิ่งพวกเขาคลุกคลีอยู่กับดินแดนที่เหมือนจะสดใสแห่งนี้เท่าไร ก็ยิ่งค้นพบเรื่องราวสุดแปลกประหลาด และชวนขนหัวลุกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะรู้ตัวก็แทบจะสายเกินไปแล้ว...
จากเรื่องราวในภาพรวมของหนังที่ได้นำเสนอในย่อหน้าบน อาจดูแล้วก็เป็นหนังสยองขวัญที่มีพล๊อตที่น่าสนใจ แต่เอาจริงดีเทลในหลังต่างหากที่นับว่าเป็นไฮไลต์ของหนังที่อาจทำให้หลายคนเกิดอาการอึนและอึ้งกันได้ โดยจุดเด่นของ Midsommar ในความเห็นส่วนตัว คือ การสร้างความไม่น่าไว้วางใจที่ทำให้ตัวละครและผู้ชมหวาดระแวงอยู่ตลอดว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ซึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเยอะว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่งงกับไอเทศกาลบ้าๆนี่ ก็คือกลุ่มตัวละครวัยรุ่น ซึ่งได้ทำหน้าที่แทนผู้ชมเพราะพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่งงงวย สงสัยและไม่ไว้วางใจกับแต่ละกิจกรรมที่เกิดขึ้นไม่แพ้กันกับเราเลย พูดกันง่ายๆก็คือ ตัวละครในหนังก็งงกับสิ่งที่ขึ้นในเทศกาล เค้าให้ทำอะไรก็ทำทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไมและทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนี้ ในบางประเด็นก็มักถูก “บังคับ” ให้เราต้องเข้าใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแบบเลือกไม่ได้ ซึ่งหากจะพูดว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” ก็คงไม่ผิดนัก เพียงแต่ไอที่เราต้องหลิ่วตาตามนั้น มันช่างแปลกและพิศดารเกินธรรมชาติเสียเหลือเกิน
การวิเคราะห์หนังเรื่องนี้ (มีสปอยหน่อยๆนะครับ) ในส่วนตัวมองว่าภาพใหญ่ๆที่หนังต้องการนำเสนอคือ มุมมองความตายอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมมองที่มองร่างกายแยกออกจากวิญญาณ เมื่อร่างกายใกล้ถึงวันหมดอายุ ก็จะมีการเตรียมพร้อมเพื่อจะสร้างอีกหนึ่งชีวิตขึ้น เหมือนวัฎจักรที่วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งนี้อาจมีบางพิธีที่มีการกำหนดการขอร่างกายจากอาสาสมัครที่มีความพร้อมโดยไม่ต้องรอถึงเวลาที่เหมาะสม แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติในสังคมทั่วไป การพบเจอเหตุการณ์สุดแปลก รวมถึงภาพสยดสยองที่เกิดจากการเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาจึงชวนให้เราอึ้งและหวาดกลัวไปพร้อมๆกัน ในตอบจบยิ่งทำให้เราเหวอไปกันใหญ่กับการตัดสินใจและอากัปกิริยาที่เกิดกับตัวนางเอก อะไรที่ทำให้เค้าเลือกแบบนั้น อะไรที่ทำให้เค้าแสดงอาการอย่างนั้น นี่คือคำถามที่หลายคนอาจสงสัยและยังอาจหาคำตอบได้ไม่ชัดเจนนัก แต่สิ่งผมสังเกตได้ชัดเจนมาก นั่นคือ ความแตกต่างของทัศนคติด้านความตายของมนุษย์ในแต่ละสังคม ในขณะที่มนุษย์ในสังคมกลุ่มใหญ่ใช้อาจเลือกใช้ความตายทำลายความโกรธแค้น ก็ยังมีมนุษย์อีกบางกลุ่มที่เลือกใช้ความตายแทนการปลดปล่อย มันจึงเป็นส่วนที่ทำให้ผมมองเห็นคำตอบกลายๆของคำถามที่ว่า “ความตาย น่ากลัวแค่ไหน??” ว่าท้ายสุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้สึกกับมันแบบไหนนั่นเอง
ท้ายสุดแล้ว สิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่ผู้สร้างหนังจะสื่ออาจเป็นคนละเรื่องกันเลยก็ได้ นี่คือสิ่งที่หนังทิ้งไว้ในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าความชื่นชอบและความประทับใจที่มีต่อหนังของผู้ชมคนอื่นๆนั้นจะกลายเป็นความสนุกที่ทำให้หลายคนได้ตีความ ได้ถกเถียงกันเอง หรือในทางตรงกันข้ามการจบแบบอึนๆงงๆแบบนี้อาจสร้างภาระที่ทำให้หลายคนที่ต้องการเสพความบันเทิงถึงกับเห็นค้านต่อคะแนนจากนักรีวิวคนอื่นๆก็เป็นได้ เรื่องแบบนี้ นานาจิตตังครับ
ผมให้คะแนน 7/10 โดยส่วนตัวอยากชมหนังเรื่องนี้เพราะอยากได้ความบันเทิงจากความสยองตามคำเปรยที่หนังมี ซึ่งก็สยองดี แต่ขอหักเพราะมันไม่ได้ชมและเข้าใจง่ายนัก (ผมมองในมุมผู้ชมทั่วไป ไม่ได้เป็นนีกรีวิวหนังมืออาชีพที่อาจเห็นคุณค่าแบบลึกซึ้งครับ)
เพื่อนๆสามารถเข้าไปกดไลก์และติดตามการรีวิวหนังกันได้ที่
https://www.facebook.com/FeedbackMovies
[CR] MIDSOMMAR เมื่อความตายเป็นเรื่องธรรมดา.... (MoviesFeedback Review)
————————
สวัสดีครับเพื่อนชาว Pantip ทุกท่านวันนี้เพจหนัง "Movies Feedback" ขอเสนอความเห็นหลังชมภาพยนตร์เรื่อง "MIDSOMMAR " ทางไปเพจผมครับ --> https://www.facebook.com/FeedbackMovies
————————
ผมเชื่อว่า หลายคนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว นอกจากจะได้ความสยองแบบติดตากลับบ้านมาแล้ว อาจได้ความงุนงงแบบ “อิหยังวะ” ในแต่ละช่วงของเรื่องราวติดกลับมาด้วย เอาจริงๆ โดยส่วนตัวมองว่า Midsommar ไม่ได้เป็นหนังอินดี้ที่ดูยากขนาดที่จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่มันก็ไม่ได้ดูง่าย ตีความง่ายในแบบหนังสยองขวัญทั่วไปเค้าทำกัน แล้วอะไรล่ะคือจุดเด่นของหนัง??
Midsommar เล่าเรื่องราวของคู่รักซึ่งอยู่ในช่วงระหองระแหงได้เดินทางมายังประเทศสวีเดนตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ที่นั่นพวกเขาและเพื่อนๆ วางแผนที่จะไปเที่ยวเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูร้อนในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและร้างไร้ผู้คน ซึ่งเทศกาลนี้จะจัดขึ้นเพียง 1 ครั้งในรอบ 90 ปี เป็นเวลา 9 วัน และเป็น 9 วันที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ยิ่งพวกเขาคลุกคลีอยู่กับดินแดนที่เหมือนจะสดใสแห่งนี้เท่าไร ก็ยิ่งค้นพบเรื่องราวสุดแปลกประหลาด และชวนขนหัวลุกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะรู้ตัวก็แทบจะสายเกินไปแล้ว...
จากเรื่องราวในภาพรวมของหนังที่ได้นำเสนอในย่อหน้าบน อาจดูแล้วก็เป็นหนังสยองขวัญที่มีพล๊อตที่น่าสนใจ แต่เอาจริงดีเทลในหลังต่างหากที่นับว่าเป็นไฮไลต์ของหนังที่อาจทำให้หลายคนเกิดอาการอึนและอึ้งกันได้ โดยจุดเด่นของ Midsommar ในความเห็นส่วนตัว คือ การสร้างความไม่น่าไว้วางใจที่ทำให้ตัวละครและผู้ชมหวาดระแวงอยู่ตลอดว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ซึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผู้ชมอย่างเรารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเยอะว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่งงกับไอเทศกาลบ้าๆนี่ ก็คือกลุ่มตัวละครวัยรุ่น ซึ่งได้ทำหน้าที่แทนผู้ชมเพราะพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่งงงวย สงสัยและไม่ไว้วางใจกับแต่ละกิจกรรมที่เกิดขึ้นไม่แพ้กันกับเราเลย พูดกันง่ายๆก็คือ ตัวละครในหนังก็งงกับสิ่งที่ขึ้นในเทศกาล เค้าให้ทำอะไรก็ทำทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไมและทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนี้ ในบางประเด็นก็มักถูก “บังคับ” ให้เราต้องเข้าใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแบบเลือกไม่ได้ ซึ่งหากจะพูดว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” ก็คงไม่ผิดนัก เพียงแต่ไอที่เราต้องหลิ่วตาตามนั้น มันช่างแปลกและพิศดารเกินธรรมชาติเสียเหลือเกิน
การวิเคราะห์หนังเรื่องนี้ (มีสปอยหน่อยๆนะครับ) ในส่วนตัวมองว่าภาพใหญ่ๆที่หนังต้องการนำเสนอคือ มุมมองความตายอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมมองที่มองร่างกายแยกออกจากวิญญาณ เมื่อร่างกายใกล้ถึงวันหมดอายุ ก็จะมีการเตรียมพร้อมเพื่อจะสร้างอีกหนึ่งชีวิตขึ้น เหมือนวัฎจักรที่วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งนี้อาจมีบางพิธีที่มีการกำหนดการขอร่างกายจากอาสาสมัครที่มีความพร้อมโดยไม่ต้องรอถึงเวลาที่เหมาะสม แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติในสังคมทั่วไป การพบเจอเหตุการณ์สุดแปลก รวมถึงภาพสยดสยองที่เกิดจากการเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาจึงชวนให้เราอึ้งและหวาดกลัวไปพร้อมๆกัน ในตอบจบยิ่งทำให้เราเหวอไปกันใหญ่กับการตัดสินใจและอากัปกิริยาที่เกิดกับตัวนางเอก อะไรที่ทำให้เค้าเลือกแบบนั้น อะไรที่ทำให้เค้าแสดงอาการอย่างนั้น นี่คือคำถามที่หลายคนอาจสงสัยและยังอาจหาคำตอบได้ไม่ชัดเจนนัก แต่สิ่งผมสังเกตได้ชัดเจนมาก นั่นคือ ความแตกต่างของทัศนคติด้านความตายของมนุษย์ในแต่ละสังคม ในขณะที่มนุษย์ในสังคมกลุ่มใหญ่ใช้อาจเลือกใช้ความตายทำลายความโกรธแค้น ก็ยังมีมนุษย์อีกบางกลุ่มที่เลือกใช้ความตายแทนการปลดปล่อย มันจึงเป็นส่วนที่ทำให้ผมมองเห็นคำตอบกลายๆของคำถามที่ว่า “ความตาย น่ากลัวแค่ไหน??” ว่าท้ายสุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้สึกกับมันแบบไหนนั่นเอง
ท้ายสุดแล้ว สิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่ผู้สร้างหนังจะสื่ออาจเป็นคนละเรื่องกันเลยก็ได้ นี่คือสิ่งที่หนังทิ้งไว้ในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าความชื่นชอบและความประทับใจที่มีต่อหนังของผู้ชมคนอื่นๆนั้นจะกลายเป็นความสนุกที่ทำให้หลายคนได้ตีความ ได้ถกเถียงกันเอง หรือในทางตรงกันข้ามการจบแบบอึนๆงงๆแบบนี้อาจสร้างภาระที่ทำให้หลายคนที่ต้องการเสพความบันเทิงถึงกับเห็นค้านต่อคะแนนจากนักรีวิวคนอื่นๆก็เป็นได้ เรื่องแบบนี้ นานาจิตตังครับ
ผมให้คะแนน 7/10 โดยส่วนตัวอยากชมหนังเรื่องนี้เพราะอยากได้ความบันเทิงจากความสยองตามคำเปรยที่หนังมี ซึ่งก็สยองดี แต่ขอหักเพราะมันไม่ได้ชมและเข้าใจง่ายนัก (ผมมองในมุมผู้ชมทั่วไป ไม่ได้เป็นนีกรีวิวหนังมืออาชีพที่อาจเห็นคุณค่าแบบลึกซึ้งครับ)
เพื่อนๆสามารถเข้าไปกดไลก์และติดตามการรีวิวหนังกันได้ที่ https://www.facebook.com/FeedbackMovies
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้