สวัสดีค่ะ สืบเนื่องจากการไปชมภาพยนตร์โปรเมฯ โดยเริ่มจากความตั้งใจที่จะพาลูกสาวสองคนวัย 14 ปี และ 11ปี ไปดูหนัง เพื่อรับแรงบันดาลใจด้วยกัน แต่ลูกสาวสองคนได้เห็นตัวอย่างหนังมาก่อนแล้ว และไม่สนใจจะไปด้วยเราจึงไปคนเดียว ด้วยความเป็นคนที่ร้องไห้ได้ง่ายๆ ก็จะมีน้ำตาซึม น้ำตาไหลบ้างเป็นปกติของเราอยู่แล้ว
103 นาทีผ่านไป เมื่อหนังจบ ก็สรุปกับตัวเองว่าเราก็ไม่เสียดายนะ ที่ลูกไม่ได้ไปดูหนังด้วยกัน เราคาดหวังกับหนังเรื่องนี้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ทำให้เรามีความสนใจที่จะได้รับสารที่น่าจะขาดหายไปจากการดูหนังแนวที่สร้างจากการอ้างอิงชีวิตของคนที่มีชื่อเสียง
เมื่อเราได้อ่านข่าวย้อนหลังดูสัมภาษณ์ย้อนหลัง ก็เกิดความปรารถนาที่จะได้สนทนากับผู้ที่ “สร้าง” อัจฉริยะอย่างโปรเม เราสังเกตได้ในหลายบทสัมภาษณ์ ที่ผู้สร้างอัจฉริยะ ได้สอนลูกว่า “ให้ขอบคุณพระเจ้า ให้ไปโบสถ์วันอาทิตย์” เราเห็นได้ว่าท่านไม่ได้ฝึกแต่ทักษะทางกีฬา ความแข็งแกร่งทางร่างกาย แต่ท่านให้ลูกในด้านของศาสนา คุณธรรม จริยธรรม IQ EQ ด้วย...คุณพ่อกล่าวว่า “ผมเชื่อว่า คนมีศีลธรรม จะอ่อนไหวเรียนรู้ง่าย ผมเอาเข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์ ไม่ขาดเลย”...และความปรารถนานั้นก็เป็นจริงคือการได้สนทนากับท่าน...คุณพ่อสมบูรณ์ จุฑานุกาล คนสำคัญที่เป็นผู้สร้างอัจฉริยะ ผู้วางแนวทางและตัดสินใจเรื่องต่างๆ (เราไม่ได้มีโอกาสได้สนทนากับผู้สร้างอีกท่าน คือคุณแม่)...จากการสนทนานั้นทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากจะตั้งคำถามกับสื่อ
คำถาม คือ สื่อภาพยนตร์ที่ประสงค์ให้ความรู้ความบันเทิงและผลตอบแทนทางธุรกิจนั้น ควรหรือที่จะสื่อความด้วยการบิดเบือนความจริงหลายๆส่วน เพื่อเล่นกับอารมณ์ของคนเสพย์สื่อ แม้เราจะเป็นคนที่ดูหนังน้อยมากแต่ก็คิดว่า การนำเสนอเรื่องราวของคน ไม่ควรจะบิดพลิ้ว ไม่ควรจะทำให้คนมีชื่อเสียงหรือ ใครก็ตามเสียหาย เมื่อสารนั้นออกมาต่อมวลชนแล้วผู้ที่ถูกนำเสนอข้อมูลไปแบบผิดๆนั้น เขาจะปกป้องเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองได้อย่างไรบ้าง เราพูด เพราะเราได้ทราบจากคุณพ่อ ซึ่งข้อความเหล่านี้เราไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาเอง คุณพ่อกล่าวว่า
“สำหรับผมเองมันไม่เป็นความจริงซะเยอะ ผมก็หงุดหงิด...ผมไม่เห็นบท”
“ผมเสียดายอย่างเดียว หนังเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ดูสนุกนะ แต่สิ่งที่เขาพลาดไป คือว่า มันไม่ให้ความรู้กับคนที่จะสร้างลูกอย่างผมน่ะ ทำอย่างนี้ไม่สำเร็จนะ
ขอบอกตรงๆ เพราะมันรุนแรง แล้วก็เด็กจะเข็ดซะก่อน”
ตัวอย่างสำคัญที่ทำให้คนสร้างอัจฉริยะเสียชื่อ เราแน่ใจว่า คงไม่มีใครอยากโดนกล่าวถึงแบบนี้
1. เรื่องการใช้คำพูด
“พูดจาหยาบคาย จะกูๆ ๆ อะไรขนาดนั้น...ใช่ว่าเข้มแข็งต้องหยาบคายเข้มแข็งก็นิ่มนวลได้หนิ เข้มแข็งแล้วยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่ว่าเข้มแข็งแล้วต้องหยาบคายขนาดนั้น...คำพูดที่ผมใช้อยู่นะ ผมไม่เคย กู เลย เพราะว่ากีฬากอล์ฟเนี่ย มันเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้สมอง ใช้ความรุนแรงไม่ได้ ไม่เหมือนกับกีฬาอื่นที่ใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่า ไอ้นี่มันมีเวลาถึง 4 วัน เวลาคิดเวลาอ่าน มันเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องรุนแรง ไม่จำเป็นต้องหยาบคายอย่างนั้นมันใช้สมองมากกว่า มันต้องนิ่มนวลกว่านั้น ถ้าหากว่าคุณรุนแรงกับลูกไม่มีอะไรสำเร็จได้เลย”
2. เรื่องการจากกันแบบครอบครัวไม่มีเงิน
เรื่องไม่มีเงินไม่จริง มีรถทิ้งไว้คันหนึ่ง โปรลูกสาวสองคน มีเงินในบัญชีเป็นล้านๆมีบัญชีทั้งสองพี่น้อง คุณพ่อไปเปิดกับลูก ไม่จำเป็นต้องทิ้งเงินสดไว้ ตอนที่ออกมาเป็นบ้านเพื่อนคุณพ่อ ซึ่งเป็นคนไทยมีการแชร์ค่าเช่ากัน เมื่อระยะหลังๆ ที่ครอบครัวเริ่มมีรายได้
“ผมจะทำได้ยังไง ผมลงทุนขายบ้านขายช่องไปให้คุณ แล้วผมจะทิ้งคุณง่ายๆอย่างนี้ ไม่ได้หรอก มันต้องมีเหตุผลยิ่งกว่างนั้น แล้วคนก็จะมาเกลียดผมทั้งเมืองเลย...ผมไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง...ผมเป็น family man ผมอยู่กับลูกมาตลอด ผมโชคดีที่ผมเป็นคริสเตียนมาก่อนใครเขาจะรักลูกขนาดนี้ ขายบ้าน ขายรถ มีเงินสดให้หมด มีคนอย่างนี้ในโลกสักกี่คน”
3. ไม่เคารพธงชาติ
“ที่ว่าไม่เคารพธงชาติก็ไม่ใช่อีกอ่ะ ทำผมเสียหายหมด ชาวบ้านเขาจะมาด่าผมเอา...ผมอาจจะไปสาย ไม่ได้เคารพบางครั้ง แต่ว่าไม่ใช่ ผมไม่เคารพนะ เราต้องเชื่อในกฎส่วนรวม”
4. โยนผักทิ้ง ติดรถ อดกินเค้กวันเกิด - ไม่จริง
5. ตื่น 4.30 น. – ไม่จริง แต่ตื่นจริง คือ 6.45 น.
ถามท่านเรื่องนู้นเรื่องนี้ ก็ไม่จริงอีกหลายเรื่อง สรุปว่า การดูหนังเกี่ยวกับชีวิตของคนมีชื่อเสียงของเราครั้งนี้ ทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ คือ เราควรทราบข้อมูลของคนในภาพยนตร์นั้นจากสื่ออื่นสมทบไปอีกด้วย มิเช่นนั้น ข้อมูลที่เราได้ จะมาจากหนังเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้เราเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างผิดเพี้ยนไปได้ เราเข้าใจแล้วว่า สำหรับคนทำภาพยนตร์บางทีก็ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควรเลย โดยส่วนตัว ยังคิดว่า นักแสดงนำชายควรจะได้พบปะกับคุณพ่อ เพื่อมีความเข้าใจในลักษณะนิสัยของตัวละครได้อย่างชัดเจนขึ้น แต่ก็ไม่เคยพบกันเลย
วันแรกที่ได้เล่าเรื่องให้ลูกฟังหลังจากไปโรงภาพยนตร์ กับวันที่สองที่ได้เล่าเรื่องให้ลูกฟังหลังจากได้สนทนากับเบื้องหลังอัจฉริยะ...ลูกบอกว่ามันคนละเรื่องกันค่ะ
ขอขอบคุณที่ท่านได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ และข้อความต่างๆ นี้ได้มีการขออนุญาตคุณพ่อสมบูรณ์ ในช่วงที่สนทนากันแล้วว่าขอเปิดเผยทางสื่อสาธารณะค่ะ
ขอจบด้วยข้อความทิ้งท้ายของท่านว่า
“มีอะไรอยากถามเชิญนะครับ ผมอยากเปิดเผยความจริงให้คนที่สนใจในเรื่องนี้ อย่างน้อยผู้ปกครองที่สร้างนักกีฬากอล์ฟ จะไม่ทำตามอย่างในหนัง เพราะมันไม่สำเร็จจริงๆ ไม่มีอะไรสร้างได้ด้วยความรุนแรง นอกจากเหตุผลและความอดทนและความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง สำคัญที่สุด คือ ความรักของครอบครัวต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
หนังโปรเม - คำถาม ถึง คนสร้างหนัง - มีเรื่องไม่จริงเยอะๆ ได้หรือ?
103 นาทีผ่านไป เมื่อหนังจบ ก็สรุปกับตัวเองว่าเราก็ไม่เสียดายนะ ที่ลูกไม่ได้ไปดูหนังด้วยกัน เราคาดหวังกับหนังเรื่องนี้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ทำให้เรามีความสนใจที่จะได้รับสารที่น่าจะขาดหายไปจากการดูหนังแนวที่สร้างจากการอ้างอิงชีวิตของคนที่มีชื่อเสียง
เมื่อเราได้อ่านข่าวย้อนหลังดูสัมภาษณ์ย้อนหลัง ก็เกิดความปรารถนาที่จะได้สนทนากับผู้ที่ “สร้าง” อัจฉริยะอย่างโปรเม เราสังเกตได้ในหลายบทสัมภาษณ์ ที่ผู้สร้างอัจฉริยะ ได้สอนลูกว่า “ให้ขอบคุณพระเจ้า ให้ไปโบสถ์วันอาทิตย์” เราเห็นได้ว่าท่านไม่ได้ฝึกแต่ทักษะทางกีฬา ความแข็งแกร่งทางร่างกาย แต่ท่านให้ลูกในด้านของศาสนา คุณธรรม จริยธรรม IQ EQ ด้วย...คุณพ่อกล่าวว่า “ผมเชื่อว่า คนมีศีลธรรม จะอ่อนไหวเรียนรู้ง่าย ผมเอาเข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์ ไม่ขาดเลย”...และความปรารถนานั้นก็เป็นจริงคือการได้สนทนากับท่าน...คุณพ่อสมบูรณ์ จุฑานุกาล คนสำคัญที่เป็นผู้สร้างอัจฉริยะ ผู้วางแนวทางและตัดสินใจเรื่องต่างๆ (เราไม่ได้มีโอกาสได้สนทนากับผู้สร้างอีกท่าน คือคุณแม่)...จากการสนทนานั้นทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากจะตั้งคำถามกับสื่อ
คำถาม คือ สื่อภาพยนตร์ที่ประสงค์ให้ความรู้ความบันเทิงและผลตอบแทนทางธุรกิจนั้น ควรหรือที่จะสื่อความด้วยการบิดเบือนความจริงหลายๆส่วน เพื่อเล่นกับอารมณ์ของคนเสพย์สื่อ แม้เราจะเป็นคนที่ดูหนังน้อยมากแต่ก็คิดว่า การนำเสนอเรื่องราวของคน ไม่ควรจะบิดพลิ้ว ไม่ควรจะทำให้คนมีชื่อเสียงหรือ ใครก็ตามเสียหาย เมื่อสารนั้นออกมาต่อมวลชนแล้วผู้ที่ถูกนำเสนอข้อมูลไปแบบผิดๆนั้น เขาจะปกป้องเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองได้อย่างไรบ้าง เราพูด เพราะเราได้ทราบจากคุณพ่อ ซึ่งข้อความเหล่านี้เราไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาเอง คุณพ่อกล่าวว่า
“สำหรับผมเองมันไม่เป็นความจริงซะเยอะ ผมก็หงุดหงิด...ผมไม่เห็นบท”
“ผมเสียดายอย่างเดียว หนังเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ดูสนุกนะ แต่สิ่งที่เขาพลาดไป คือว่า มันไม่ให้ความรู้กับคนที่จะสร้างลูกอย่างผมน่ะ ทำอย่างนี้ไม่สำเร็จนะ
ขอบอกตรงๆ เพราะมันรุนแรง แล้วก็เด็กจะเข็ดซะก่อน”
ตัวอย่างสำคัญที่ทำให้คนสร้างอัจฉริยะเสียชื่อ เราแน่ใจว่า คงไม่มีใครอยากโดนกล่าวถึงแบบนี้
1. เรื่องการใช้คำพูด
“พูดจาหยาบคาย จะกูๆ ๆ อะไรขนาดนั้น...ใช่ว่าเข้มแข็งต้องหยาบคายเข้มแข็งก็นิ่มนวลได้หนิ เข้มแข็งแล้วยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่ว่าเข้มแข็งแล้วต้องหยาบคายขนาดนั้น...คำพูดที่ผมใช้อยู่นะ ผมไม่เคย กู เลย เพราะว่ากีฬากอล์ฟเนี่ย มันเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้สมอง ใช้ความรุนแรงไม่ได้ ไม่เหมือนกับกีฬาอื่นที่ใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่า ไอ้นี่มันมีเวลาถึง 4 วัน เวลาคิดเวลาอ่าน มันเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องรุนแรง ไม่จำเป็นต้องหยาบคายอย่างนั้นมันใช้สมองมากกว่า มันต้องนิ่มนวลกว่านั้น ถ้าหากว่าคุณรุนแรงกับลูกไม่มีอะไรสำเร็จได้เลย”
2. เรื่องการจากกันแบบครอบครัวไม่มีเงิน
เรื่องไม่มีเงินไม่จริง มีรถทิ้งไว้คันหนึ่ง โปรลูกสาวสองคน มีเงินในบัญชีเป็นล้านๆมีบัญชีทั้งสองพี่น้อง คุณพ่อไปเปิดกับลูก ไม่จำเป็นต้องทิ้งเงินสดไว้ ตอนที่ออกมาเป็นบ้านเพื่อนคุณพ่อ ซึ่งเป็นคนไทยมีการแชร์ค่าเช่ากัน เมื่อระยะหลังๆ ที่ครอบครัวเริ่มมีรายได้
“ผมจะทำได้ยังไง ผมลงทุนขายบ้านขายช่องไปให้คุณ แล้วผมจะทิ้งคุณง่ายๆอย่างนี้ ไม่ได้หรอก มันต้องมีเหตุผลยิ่งกว่างนั้น แล้วคนก็จะมาเกลียดผมทั้งเมืองเลย...ผมไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง...ผมเป็น family man ผมอยู่กับลูกมาตลอด ผมโชคดีที่ผมเป็นคริสเตียนมาก่อนใครเขาจะรักลูกขนาดนี้ ขายบ้าน ขายรถ มีเงินสดให้หมด มีคนอย่างนี้ในโลกสักกี่คน”
3. ไม่เคารพธงชาติ
“ที่ว่าไม่เคารพธงชาติก็ไม่ใช่อีกอ่ะ ทำผมเสียหายหมด ชาวบ้านเขาจะมาด่าผมเอา...ผมอาจจะไปสาย ไม่ได้เคารพบางครั้ง แต่ว่าไม่ใช่ ผมไม่เคารพนะ เราต้องเชื่อในกฎส่วนรวม”
4. โยนผักทิ้ง ติดรถ อดกินเค้กวันเกิด - ไม่จริง
5. ตื่น 4.30 น. – ไม่จริง แต่ตื่นจริง คือ 6.45 น.
ถามท่านเรื่องนู้นเรื่องนี้ ก็ไม่จริงอีกหลายเรื่อง สรุปว่า การดูหนังเกี่ยวกับชีวิตของคนมีชื่อเสียงของเราครั้งนี้ ทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ คือ เราควรทราบข้อมูลของคนในภาพยนตร์นั้นจากสื่ออื่นสมทบไปอีกด้วย มิเช่นนั้น ข้อมูลที่เราได้ จะมาจากหนังเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้เราเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างผิดเพี้ยนไปได้ เราเข้าใจแล้วว่า สำหรับคนทำภาพยนตร์บางทีก็ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควรเลย โดยส่วนตัว ยังคิดว่า นักแสดงนำชายควรจะได้พบปะกับคุณพ่อ เพื่อมีความเข้าใจในลักษณะนิสัยของตัวละครได้อย่างชัดเจนขึ้น แต่ก็ไม่เคยพบกันเลย
วันแรกที่ได้เล่าเรื่องให้ลูกฟังหลังจากไปโรงภาพยนตร์ กับวันที่สองที่ได้เล่าเรื่องให้ลูกฟังหลังจากได้สนทนากับเบื้องหลังอัจฉริยะ...ลูกบอกว่ามันคนละเรื่องกันค่ะ
ขอขอบคุณที่ท่านได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ และข้อความต่างๆ นี้ได้มีการขออนุญาตคุณพ่อสมบูรณ์ ในช่วงที่สนทนากันแล้วว่าขอเปิดเผยทางสื่อสาธารณะค่ะ
ขอจบด้วยข้อความทิ้งท้ายของท่านว่า
“มีอะไรอยากถามเชิญนะครับ ผมอยากเปิดเผยความจริงให้คนที่สนใจในเรื่องนี้ อย่างน้อยผู้ปกครองที่สร้างนักกีฬากอล์ฟ จะไม่ทำตามอย่างในหนัง เพราะมันไม่สำเร็จจริงๆ ไม่มีอะไรสร้างได้ด้วยความรุนแรง นอกจากเหตุผลและความอดทนและความมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง สำคัญที่สุด คือ ความรักของครอบครัวต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”