Part 1
สวัสดีค่าท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกคนนนนน....กระทู้นี้เราจะมารีวิวการไปใช้ชีวิตและการไปเรียนภาษาจีนที่ Harbin เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ใช่แล้ว!!...1 ปีเต็มๆเลยจ้ากับเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นตู้เย็นโลก เราจะมาเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ทั้งเรื่องการเดินทาง หอพัก การแต่งกาย ใช้ชีวิตอะไรยังไงบ้างและที่สำคัญเลยก็คือ...เรื่องเที่ยวและเรื่องกิน!!! หลายๆคนคงถามว่าตกลงนี้ไปเรียนหรือไปเที่ยว...ตอบตรงๆเลยว่าเที่ยวค่ะ!!! แหม่ล้อเล่นจ้า เรียนสิคะ...เรียน แต่เที่ยวก็ต้องมีกันบ้างเนอะ แล้วก็ต้องบอกก่อนว่าเดอะแก๊งของเรามีทั้งหมด 9 คนจ้า เป็นชายชายฉกรรจ์ 3 กับสาวๆน่ารักทั้ง 6 อายุไล่ตั้งแต่ยี่สิบต้นๆไปจนสามสิบต้นๆกันเลยทีเดียว แต่บอกเลยว่าอายุไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเราทุกคนรักใคร่และสนิทกันดี๊ดี(มั้ง 5555)......และเนื่องด้วยคนเขียนอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม(อิอิ) จึงจะขอเรียกแทนคนอื่นๆว่าพี่ๆนะเจ้าคะ....เกริ่นมายืดยาวมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเนอะ พร้อมแล้วก็ไปอ่านกันเลยยยย(มีรูปปลากรอบด้วยน้า เยอะแยะจุใจแน่นอน)
(ถ่ายกับป้ายมหาลัย)
เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราคิดอยากจะหาที่เรียนภาษาจีนเพิ่ม พ่อแม่เองก็ช๊อบชอบภาษาจีน เลยลองนั่งหาๆพวกคอร์สเรียนภาษาจีนในไทย แต่คิดไปคิดมาอยู่ไทยคงไม่ค่อยรุ่งเท่าไรด้วยความที่เราเป็นคนขี้เกี๊ยจขี้เกียจ(ที่สอนพิเศษดีๆมีเยอะแยะนะจ๊ะ แค่เราขี้เกียจเกินไป 5555) กลัวว่าไปเรียนพิเศษไปแล้วไม่ขยันอ่านขยันท่องจะไม่ได้อะไรเหมือนเดิม....ก็เลยคิดว่างั้นทำไมเราไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่โดนบังคับใช้ซะละ...คิดได้ดังนั้นก็ไม่มีอะไรยากอีกต่อไปการหาเอเจนซี่นั้นง่ายดายมากๆเสริชปุ๊บเจอปั๊บ เราเจอทั้งหมดสองเจ้าและสอบถามกับทั้งสองเจ้าก่อนจะเลือกไปกับเจ้าหนึ่ง(กระทู้นี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆไม่มีสปอนเซอร์จึงไม่ได้บอกชื่อเอเจนซี่ แต่ถ้าใครอยากทราบจริงๆหลังไมค์มาเลยจ้า) เราหาแค่เมืองเดียวเลย เพราะตัดสินใจกับตัวเองไว้แล้วว่าเป็นเมืองนี้เมืองอื่นไม่เอา...เหตุผลง่ายๆ เมืองไทยมันร้อน...นั่งในห้องแอร์เหงื่อยังออก!!!...ถ้าฉันต้องเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนนานเป็นปีละก็...ฉันขอเป็นเมืองที่ฉันไม่ต้องอาบน้ำเป็นเดือนๆก็อยู่ได้!!...เอ้ย...ไม่ใช่ๆ เราแค่อยากสัมผัสประสบการณ์ความหนาวเย็นสุดขั้วสักหน่อยก็เท่านั้นเอง(จริงๆนะ)...พอคุยกับเอเจนซี่เรียบร้อย ตัวเราก็ทำการยื่นเอกสารต่างๆนาๆตามที่เอเจนซี่ขอ แล้วก็รอใบ JW ที่เป็นใบรับรองเราจากมหาลัยซึ่งมันเป็นใบที่เราจะต้องเอาไปทำวีซ่าเข้าประเทศจีนนั้นเอง...ขั้นตอนการขอวีซ่านี้เราก็ให้เอเจนซี่จัดการยื่นให้อะไรให้หมด ของคนอื่นๆในกลุ่มนั้นเรียบร้อยดี แต่เราติดปัญหาอยู่นิดหนึ่งตรงที่เราโดนเรียกสัมภาษณ์จ้า...ตอนรู้ว่าโดนใจตกไปอยู่ตาตุ่ม นึกว่าจะไม่ได้ไปซะแล้ว...เหตุที่โดนเรียกสัมภาษณ์ก็เพราะเรามีช่วงเวลาที่หายไปหนึ่งปีโดยไม่ได้มีประวัติการทำงานและเรียน เขาจึงเรียกไปถามว่าเราไปไหน ทำอะไรยังไง ทำไมหายไปหนึ่งปีเฉยๆ เขาน่าจะอยากเชครายละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้ไปทำอะไรผิดกฏหมายระหว่างช่วงเวลาที่หายไปนี้ อย่างเช่นแอบหนีไปทำงานต่างประเทศเป็นผีน้อยแล้วพึ่งกลับมาเป็นต้น...ซึ่งขั้นตอนนี้ไม่ยากเลยจ้า คุณแค่ต้องเอาหลักฐานไปให้เขาดูว่าเราไปไหนทำอะไรมา ซึ่งปีก่อนหน้านั้นเราไปอยู่อเมริกามา 4 เดือนตอนช่วงกลางปี ของโปรแกรม work&travel เราก็เอาเอกสารการจ้างงานแล้วก็เปิดหน้าพาสปอร์ตที่ปั้มเข้าออกอเมริกาให้เขาดูกับโดนถามอีกนิดหน่อยก็ผ่านมาแบบชิลๆ แต่แนะนิดหนึ่งว่าเอกสารสำคัญควรนำก๊อปปี้ติดไปด้วยเพราะของเราเอาเอกสารการจ้างงานตัวจริงไป เขาเอาไปเลยไม่ได้คืน...ก็ไม่รู้ว่าลืมคืนหรือเขาต้องเก็บเป็นหลักฐาน หลักจากเรื่องวีซ่าเรียบร้อยต่อไปก็เป็นเรื่องจองตั๋วเครื่องบิน เราก็ให้พี่เอเจนซี่จัดการอีกเช่นกัน...ให้พี่เขาจองตั๋วให้เราจะได้กระเป๋าโหลดสองใบสำหรับตั๋วนักเรียน ถ้าเราจองตั๋วเองแล้วอยากได้กระเป๋าสองใบก็สามารถทำได้เช่นกันเพียงแค่เมล์คุยกับสายการบินแล้วยื่นหลักฐานว่าเราเป็นนักเรียนจริงๆนะให้เขาไปและอายุไม่เกิน 30 ปี(มีพี่คนหนึ่งในกลุ่มปีนั้นสามสิบพอดีก็ได้กระเป๋าสองใบนะ) จากนั้นก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทางกันเลยจ้า....
วันออกเดินทางพี่เอเจนซี่จัดการสร้างกรุ๊ปให้ทั้งทางไลน์และวีแชท ให้คนที่เดินทางไฟลท์เดียวกันได้พูดคุยและนัดแนะวันเวลาเพื่อที่จะได้ไปพร้อมกัน เดอะแก๊งของเราเจอกันวันแรกวันนี้เองจ้า บอกเลยว่าวันเเรกเกร็งเวอร์...ภาพลักษณ์เราในสายตาคนอื่นที่มองเราในวันนั้น(ที่เรามารู้ที่หลังเพราะพี่ๆพึ่งบอก 555)คือเด็กเรียบร้อยน่ารัก...แต่พอรู้จักกันเท่านั้นละ55555 หลังจากมากันครบแล้วพวกเราก็เข้าแถวเพื่อเอาตั๋วและโหลดกระเป๋ากัน ทุกอย่างดำเนินเรียบร้อยด้วยดีมาตลอดจนมาถึงเรา....ใช่แล้วจ้าเราเอง ตัวปัญหาคือเราเอง...เพราะยัยนี้เป็นบ้าหอบฟางจ้า กระเป๋าสองใบพอไหมไปเรียนหนึ่งปี บอกเลยว่าไม่!!! เพราะเรามีกระเป๋าโหลดถึงสามใบ!!! สองใบเขาให้ฟรีแล้ว...แต่เรายังจะมีใบที่สามเพิ่มมาอีก ซึ่งเราเคยติดต่อสายการบินก่อนวันบินแล้ว ปรากฏว่าเข้าไม่ให้ซื้อเพิ่มผ่านออนไลน์และทางโทรศัพท์ บอกให้ไปซื้อหน้าเคาร์เตอร์ นาทีนั้นให้ทำไงละจ๊ะ...วิ่งสิคะวิ่ง วิ่งยาวเลยค่ะ จากเกือบสุดอีกฝั่งของสนามบินต้องวิ่งย้อนขึ้นไปถึงตรงกลาง แล้วคุณนึกถึงความใหญ่ยาวของสนามบินสุวรรณภูมิสิ เราต้องวิ่งเอาใบจ่ายตังค์จากเคาร์เตอร์เช็คอินไปหาออฟฟิตเขาที่ตั้งอยู่คนละที่ ถ้ามาคนเดียวเราคงจะเดินชิลๆแล้วรอต่อแถวใหม่ แต่นี้มากับคนอื่น...ด้วยความเป็นเด็กมีมารยาทดีและขี้เกรงใจ บอกได้เลยว่าตอนนั้นวิ่งหน้าตั้งจนไขมันกระเพื่อมเพราะกลัวคนอื่นๆจะรอนาน คนมองตามเราวิ่งตลอดทาง....แต่ถามว่าแคร์ไหม๊...บอกเลยว่าไม่!!5555 พอวิ่งไปเสร็จก็วิ่งกลับมาที่เคาร์เตอร์ เบ็ดเสร็จโดนค่ากระเป๋าใบที่สามไปสองพันบาท...พอผ่านขั้นตอนโหลดกระเป๋าเรียบร้อยก็ร่ำลากับครอบครัว ก่อนจะเข้าไปข้างในกันจากนั้นก็นั่งรอเครื่องบินที่เกต...ด้วยความเงียบสงบ เพราะยังไม่รู้จักกันทุกคนจึงเป็นคนเรียบร้อยหมดเลย5555
(รูปรวมรูปแรกที่สนามบินก่อนออกเดินทางจ้า)
(รูปที่สนามบินอู่ฮั่น เริ่มหนาวแล้วน้าที่นี้...)
ไฟลท์เราเป็นรอบดึกเครื่องออกประมาณตีสองแล้วก็ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่อู่ฮั่นประเทศจีน ซึ่งพวกเราถึงที่อู่ฮั่นประมาณหกโมงเช้าจากนั้นก็นั่งรอเวลาเปลี่ยนเครื่องประมาณ 4 ชั่วโมง แต่จำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ(จากไทยไปฮาร์บินไม่มีบินตรง จุดเปลี่ยนเครื่องจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ไฟลท์และสายการบินนะคะ)แล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องอีกครั้ง...พวกเราต้องทำการโหลดกระเป๋าใหม่อีกหนึ่งรอบและรับบอร์ดดิ้งพาสใหม่(หากอยากทราบว่ากระเป๋าต้องโหลดใหม่ไหม สามารถเชคได้ตั้งแต่ต้นทางและถามกับพี่พนักงานได้นะคะ ถ้าใบแปะกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่องเขียนเป็นชื่อสนามบินของจุดหมายปลายทางที่เราจะไป ตอนเราไปเปลี่ยนเครื่องเราก็ไม่ต้องไปรับกระเป๋าแล้วโหลดใหม่ แต่หากเขียนที่ชื่อสนามบินอื่นๆนอกจากปลายทางนั้นก็หมายความว่าคุณอาจจะต้องไปรับกระเป๋าและโหลดกระเป๋าใหม่นั้นเองจ้า) เพราะว่าต้องรับบอร์ดิ้งพาสใหม่และต้องโหลดกระเป๋าใหม่นี้เองจ้า...ปัญหาเกิดอีกแล้ว และตัวต้นเหตุนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้!! ดิฉันเองเจ้าค่ะ...โหลดกระเป๋าใหม่หมายความว่าจะต้องจ่ายค่ากระเป๋าใบที่สามอีกรอบค่ะ ปัญหาอยู่ที่เราไม่มีตังจ่ายรึ?...หึ ไม่ใช่ค่ะ บอกเลยว่าเรารวยมากกำเงินไว้ในมือปึกเบอเร่อตั้งแต่ยังไม่ถึงหน้าเคาร์เตอร์...เพราะคิดว่าน่าจะคุยกับเคาร์เตอร์ไม่รู้เรื่อง5555 เพราะตอนนั้นเราไม่มีพื้นฐานภาษาจีนเลย...กะว่าจะชี้ๆกระเป๋าแล้วแล้วโบกเงินไปมาให้เขาเข้าใจ...ว่าฉันมีเงินจ่ายนะเออ โหลดใบนี้ให้เราหน่อยแบบนี้...แต่เหตุการณ์กลับไม่ง่ายดายเช่นนั้นค่ะ เคาร์เตอร์ไม่ยอมโหลดกระเป๋าให้เรา เรายื่นเงินให้ก็ไม่รับ!!?...ตอนนั้นในเดอะแก๊งภาษาจีนไม่แข็งแรงกันสักคน5555 โดยมีเราพูดไม่ได้เลยแม้สักนิดและมีอีกสองสามคนพอมีพื้นก็ฐานช่วยกันฟังอย่างยากลำบาก...แล้วคือพนักงานเคาร์เตอร์นั่งกันอยู่สามสี่คนตรงนั้นคนพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้สักคน คุ๊ณพระ!! พนักงานเคาร์เตอร์ฝั่งเราหันไปเรียกพนักงานอีกคนที่อยู่ข้างกันมาช่วย...พนักงานคนนั้นเดินเข้ามาแล้วก็พูดว่า...สวัสดีค่ะ...เฮ้ย ได้ยินเราก็ดีใจ พูดอังกฤษไม่ได้แต่แอดวานซ์พูดไทยได้เลยเว้ยเฮ้ย...แต่ก็ดีใจเก้อจ้า นั้นเป็นประโยคเดียวที่นางพูดได้ แล้วนางก็หันกลับไปพูดภาษาจีนกับเพื่อนนางต่อ จะพูดให้มีความหวังขึ้นมาทำไมก็ไม่รู้...หลังจากที่พยายามสื่อสารกันอยู่นานประมาณหนึ่ง พี่ๆเขาก็จับใจความกันได้ว่า นางไม่อยากให้เราโหลดกระเป๋าค่ะ เพราะนางบอกว่าค่าโหลดมันแพงมว๊าก(ซึ่งคิดแล้วมันก็ราคาพอๆกับที่เราเสียที่ไทยนั้นแหละค่ะ)...ถึงแม้เราจะยืนยันว่ายังไงก็จ่ายได้นะ ฉันมีตังค์...แต่นางก็ไม่ยอมท่าเดียว ยังไงก็ไม่ยอมให้จ่าย พยายามให้เราแชร์น้ำหนักกับเพื่อนๆจะได้ไม่ต้องเสียค่าโหดลดกระเป๋าเพิ่มค่ะ สรุปคือนางน่ารักขนาดคุยกันไม่รู้เรื่องก็ยังพยายามจะช่วยเราไม่ให้เสียตังค์ แม้จะคุยกันอยู่สองชาติเศษก็ตาม555 บทสรุปคือเราก็แชร์น้ำหนักกระเป๋ากับเพื่อนคนหนึ่งด้วยความเกรงใจและขอโทษขอโพยด้วยความสำนึกผิดที่ทำให้พี่ๆทุกคนต้องเดือดร้อนเป็นทรานสเลทให้น้องในครั้งนี้(ขอขอบพระคุณผู้สนับสนุนน้ำหนักกระเป๋าใจดีมีเมตตานามว่าแอม..เล็ก..เราจะไม่มีวันลืมบุญคุณของเธอ) หลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างจบสิ้นทุกคนก็เข้าเกตและขึ้นเครื่องเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง...ฮาร์บิน
หลังจากผ่านการเดินทางอันยาวนานราวกับบินไปยุโรปในที่สุดพวกเราก็แลนด์ดิ้งกันมายังตู้เย็นแลนด์แดนฮาร์บิน เราถึงจุดหมายปลายทางเวลาบ่ายสามโมงโดยประมาณ หนาวสะท้านตั้งแต่เดินออกจากเครื่องบินเพื่อรอขึ้นรถไปยังตัวอาคารโดยสารเลยค่ะ พี่ๆบางคนใส่ชุดเตรียมพร้อมกันไว้แล้ว มีแต่เรากับฝุกเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เอาชุดกันหนาวไว้ในกระเป๋าเลยไม่มีชุดใส่ ต้องทนยืนตัวสั่นกันหงั่กๆเลยทีเดียว(ใครไปแนะนำกอดขึ้นเครื่องไปเลยค่ะ จะใช้ปุ๊บใส่ได้ปั๊บเลย)...พอรับกระเป๋ากันเสร็จออกจากประตูมาก็เจอพี่เอเจนซี่มายืนรอรับอยู่แล้วพวกเราก็ไม่รอช้าลากกระเป๋าตามพี่เขาไปเพื่อไปขึ้นรถบัสที่พี่เขาเตรียมไว้ให้...รู้สึกว่าอุณหภูมิจะอยู่ที่ -20 กว่าๆเลยทีเดียว ถึงตอนนั้นเตรียมใจไปแล้วว่าหนาวแน่...แต่ของจริงมันหนาวกว่าที่จินตนาการไปไกลเลย เกิดมาไม่เคยไปไหนหนาวได้ขนาดนี้เลยเจ้าค่ะ ลมก็แร๊งแรง...พัดปะทะหน้าจนชาไปยันหู หลังจากยกกระเป๋าเก็บกันเสร็จพวกเราก็ขึ้นรถบัสแล้วออกเดินทางต่อไปยังที่พักจ้า...ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงเศษๆ(จากสนามบินสามารถเรียกแท็กซี่ไปส่งยังปลายทางของเราได้ หรือจะขึ้นรถโดยสารประจำสนามบินเพื่อไปต่อใต้ดินก็สะดวกและถูกด้วย)
(ต่อ Part 2 ในคอมเม้นน้า.....)
[CR] [CR]รีวิวการไปเรียนต่อที่เมืองจีน 1 ปีเต็ม
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้