ยุคทีวีดิจิทัลการปั้น “ดารา – นักแสดง” มาประดับช่องนั้นมีความ “ยาก” ที่ต่างจากยุค “อะนาล็อก” มาก เพราะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวอีกต่อไป เพราะคู่แข่งที่มากขึ้นหลายเท่าตัว รวมทั้ง “รีโมท” ในมือคนดูที่พร้อมเปลี่ยนทันทีที่เจออะไรที่ “ไม่ใช่”
.
และ “มูลค่า” ของดาราที่ดังยุคก่อนแผ่อิทธิพลมายังช่องดิจิทัลมากขึ้น คำว่า “ดาราอิสระ” จึงกลายเป็นของดีที่นักแสดงหลายคนพร้อมผันตัว เพื่อรับงานได้หลากหลาย แต่ต่ออายุทางการแสดง ไม่ให้ขยับขึ้นไปรับบท “พ่อ – แม่” ก่อนวัยอันควร
.
ขณะที่ “ช่องใหม่” ต่างต้องการสร้างนักแสดงหน้าใหม่ในสังกัด เพราะถ้าจังหวะปั้นดี ย่อมมีชัย และช่วยสร้างมูลค่าให้แบรนด์แบบ “ตรงๆ” ไม่ต้องแบ่งใคร เช่น Workpoint ก็ได้โชค 23 เด้งกับการจับ “กันต์ – กันตถาวร” ที่ผันตัวจากนักแสดงแจ้งเกิดในบทบาท “พิธีกร” จนจับจองพื้นที่หน้าจอช่องหม้อหุงข้าวแทบจะ 7 วันรวด แฮปปี้ทุกฝ่าย / หรือ “ช่องวัน” ที่ตัดสายสะดือให้
“ฟิล์ม – ธนภัทร” ที่ก่อนหน้านี้เล่นละครหลายเรื่องหลากช่องก็ไม่ดัง มาปังจริงจังกับ “เมีย 2018” ก็ทำให้ช่องได้พระเอกยืนเดี่ยวของค่าย
.
แต่ถ้านับดูๆ ไปมี 1 โปรเจคที่น่าเสียดายที่สุดท้ายของที่ดูมีมูลค่าแบบยกแพคกลายเป็น “แป้กยกเซ็ท” เพราะการนำไปใช้ต่อไม่ถูกที่ ถูกจังหวะ จนเวลาไม่คอยใครกลายเป็นความ “เสียดาย” ที่เราอดเขียนไม่ได้
.
“สงครามนางงาม” เป็นโปรเจคที่น่าจับตามอง เพราะการเล่นใหญ่ของช่องวัน ในยุคตั้งไข่สถานี กับละครเรื่องใหม่ที่พล็อตเข้มข้น พ่วงด้วยเรื่องราวการประกวดนางงาม ด้วยนักแสดง “หน้าใหม่” 10 ชีวิต พร้อมประเดิมจอด้วยบทนำเรียกสีสันในบทบาที่หลากหลาย ด้วยฝีมือของ “ป้อน – นิพนธ์” ส่งผลให้ละครเรื่องนี้ดังเปรี้ยงปร้าง แจ้งเกิด 10 สาวแบบงดงาม ท่ามกลางความยินดีว่าพวกเธอจะถูกนำไปเจียระไนต่อแบบไหน
.
พร้อมกับการเปิดโปรเจค “สงครามนางงาม Casting” หานักแสดงนำอีก 10 คนในซีซั่นที่ 2 ที่ครั้งนี้จัดหนักดราม่าด้วยการคัดเลือกนักแสดงแบบ Reality จนได้นักแสดงล็อตใหม่ที่ “หลากหลาย” ทั้ง สาวข้ามเพศ – เลสเบี้ยน – สาวพิการทางความได้ยิน แต่เมื่อละครออกฉายกลายเป็นความอิรุงตุงนังของบท เรตติ้งไม่มา จนต้องตัดฉับกระชับเรตติ้ง
.
แต่ผลทั้งหมดคือ 10 + 10 สาวงาม “เกินครึ่ง” ไม่ได้รับการส่งเสริมต่อเท่าที่ควร นักแสดงสาวบางส่วนได้รับบทสมทบ เพื่อนนางเอก ตัว 4 ตัว 5 หรือ นักแสดงรับเชิญ เท่านั้น บางคนตัดสินใจย้ายค่ายหนีตายต่างช่อง รวมทั้งผันตัวสู่สนามการเมือง
.
แทบจะเรียกว่าเหลือผู้รอดชีวิตจริงๆ แค่ “เบญ - เรวิญานันท์ ทาเกิด” ที่ถูกดันต่อเนื่องทั้ง “บัลลังก์เมฆ – พิษสวาท” ซึ่งเรื่องหลังน่าจับตาว่าอาจถูกดันขึ้นชั้นนางเอก แต่สุดท้ายก็กลายเป็น “นางร้าย” ประจำค่ายใน “สงครามนักปั้น – หัวใจศิลา” ส่วนคนอื่นๆ เช่น “ญิ๋งญิ๋ง – ศรุชา หรือ เปมี่ – เปรมินทร์” ก็บางเบาทางหน้าจอไปเสียแล้ว ด้วยศักยภาพนั้น มีหลายคนสามารถอัพเกรดขึ้นชั้นนางเอกได้ แต่ด้วย “อะไรๆ ก็ไม่รู้ภายใน” ทำให้สุดท้ายก็บัวแล้งน้ำ
.
สิ่งหนึ่งที่หลายสถานีกำลังปะสบปัญหาเรื่อง “เรื่องการต่อยอด” ไม่ใช่แค่ว่า “ละคร” แต่รวมถึงรายการ “เรียลลิตี้” ที่ไม่สามารถพลักดันความสำเร็จของผู้ชนะให้โด่งดังเหมือนตอนแข่งขันได้
ดังนั้น! อีกสิ่งที่คำนึงคือความสำเร็จหลังแข่งเสร็จจะต้องทำยังไง? เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่า รายการที่แข่งกันมา 3 เดือนนี้ไม่ใช่แข่งไปวันๆ แจกเงินรางวัลเป็นล้านแต่ไม่สามารถต่อยอดใครเป็นมูลค่าในวงการบันเทิงได้
#เขวี้ยงรีโมท #ทีวีดิจิทัล #เรียลลิตี้ #ละครไทย
cr:เพจเขวี้ยงรีโมท
โปรเจคล่ม! ปั้นดาวไม่ถึงฝัน
.
และ “มูลค่า” ของดาราที่ดังยุคก่อนแผ่อิทธิพลมายังช่องดิจิทัลมากขึ้น คำว่า “ดาราอิสระ” จึงกลายเป็นของดีที่นักแสดงหลายคนพร้อมผันตัว เพื่อรับงานได้หลากหลาย แต่ต่ออายุทางการแสดง ไม่ให้ขยับขึ้นไปรับบท “พ่อ – แม่” ก่อนวัยอันควร
.
ขณะที่ “ช่องใหม่” ต่างต้องการสร้างนักแสดงหน้าใหม่ในสังกัด เพราะถ้าจังหวะปั้นดี ย่อมมีชัย และช่วยสร้างมูลค่าให้แบรนด์แบบ “ตรงๆ” ไม่ต้องแบ่งใคร เช่น Workpoint ก็ได้โชค 23 เด้งกับการจับ “กันต์ – กันตถาวร” ที่ผันตัวจากนักแสดงแจ้งเกิดในบทบาท “พิธีกร” จนจับจองพื้นที่หน้าจอช่องหม้อหุงข้าวแทบจะ 7 วันรวด แฮปปี้ทุกฝ่าย / หรือ “ช่องวัน” ที่ตัดสายสะดือให้
“ฟิล์ม – ธนภัทร” ที่ก่อนหน้านี้เล่นละครหลายเรื่องหลากช่องก็ไม่ดัง มาปังจริงจังกับ “เมีย 2018” ก็ทำให้ช่องได้พระเอกยืนเดี่ยวของค่าย
.
แต่ถ้านับดูๆ ไปมี 1 โปรเจคที่น่าเสียดายที่สุดท้ายของที่ดูมีมูลค่าแบบยกแพคกลายเป็น “แป้กยกเซ็ท” เพราะการนำไปใช้ต่อไม่ถูกที่ ถูกจังหวะ จนเวลาไม่คอยใครกลายเป็นความ “เสียดาย” ที่เราอดเขียนไม่ได้
.
“สงครามนางงาม” เป็นโปรเจคที่น่าจับตามอง เพราะการเล่นใหญ่ของช่องวัน ในยุคตั้งไข่สถานี กับละครเรื่องใหม่ที่พล็อตเข้มข้น พ่วงด้วยเรื่องราวการประกวดนางงาม ด้วยนักแสดง “หน้าใหม่” 10 ชีวิต พร้อมประเดิมจอด้วยบทนำเรียกสีสันในบทบาที่หลากหลาย ด้วยฝีมือของ “ป้อน – นิพนธ์” ส่งผลให้ละครเรื่องนี้ดังเปรี้ยงปร้าง แจ้งเกิด 10 สาวแบบงดงาม ท่ามกลางความยินดีว่าพวกเธอจะถูกนำไปเจียระไนต่อแบบไหน
.
พร้อมกับการเปิดโปรเจค “สงครามนางงาม Casting” หานักแสดงนำอีก 10 คนในซีซั่นที่ 2 ที่ครั้งนี้จัดหนักดราม่าด้วยการคัดเลือกนักแสดงแบบ Reality จนได้นักแสดงล็อตใหม่ที่ “หลากหลาย” ทั้ง สาวข้ามเพศ – เลสเบี้ยน – สาวพิการทางความได้ยิน แต่เมื่อละครออกฉายกลายเป็นความอิรุงตุงนังของบท เรตติ้งไม่มา จนต้องตัดฉับกระชับเรตติ้ง
.
แต่ผลทั้งหมดคือ 10 + 10 สาวงาม “เกินครึ่ง” ไม่ได้รับการส่งเสริมต่อเท่าที่ควร นักแสดงสาวบางส่วนได้รับบทสมทบ เพื่อนนางเอก ตัว 4 ตัว 5 หรือ นักแสดงรับเชิญ เท่านั้น บางคนตัดสินใจย้ายค่ายหนีตายต่างช่อง รวมทั้งผันตัวสู่สนามการเมือง
.
แทบจะเรียกว่าเหลือผู้รอดชีวิตจริงๆ แค่ “เบญ - เรวิญานันท์ ทาเกิด” ที่ถูกดันต่อเนื่องทั้ง “บัลลังก์เมฆ – พิษสวาท” ซึ่งเรื่องหลังน่าจับตาว่าอาจถูกดันขึ้นชั้นนางเอก แต่สุดท้ายก็กลายเป็น “นางร้าย” ประจำค่ายใน “สงครามนักปั้น – หัวใจศิลา” ส่วนคนอื่นๆ เช่น “ญิ๋งญิ๋ง – ศรุชา หรือ เปมี่ – เปรมินทร์” ก็บางเบาทางหน้าจอไปเสียแล้ว ด้วยศักยภาพนั้น มีหลายคนสามารถอัพเกรดขึ้นชั้นนางเอกได้ แต่ด้วย “อะไรๆ ก็ไม่รู้ภายใน” ทำให้สุดท้ายก็บัวแล้งน้ำ
.
สิ่งหนึ่งที่หลายสถานีกำลังปะสบปัญหาเรื่อง “เรื่องการต่อยอด” ไม่ใช่แค่ว่า “ละคร” แต่รวมถึงรายการ “เรียลลิตี้” ที่ไม่สามารถพลักดันความสำเร็จของผู้ชนะให้โด่งดังเหมือนตอนแข่งขันได้
ดังนั้น! อีกสิ่งที่คำนึงคือความสำเร็จหลังแข่งเสร็จจะต้องทำยังไง? เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่า รายการที่แข่งกันมา 3 เดือนนี้ไม่ใช่แข่งไปวันๆ แจกเงินรางวัลเป็นล้านแต่ไม่สามารถต่อยอดใครเป็นมูลค่าในวงการบันเทิงได้
#เขวี้ยงรีโมท #ทีวีดิจิทัล #เรียลลิตี้ #ละครไทย
cr:เพจเขวี้ยงรีโมท