ตอนนี้เลยมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ไม่ได้มีความคิดอะไรเลย หลายคนคงคิดว่าทำไมต้องมาเปิดเผยเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นๆรู้ื และขอบอกว่าฉันไม่อายที่จะเปิดเผยเรื่องของตัวเอง แค่อยากให้คนที่อ่านได้บทเรียนจากประสบการณ์ฉัน และหลายคนคงไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ และการเขียนกับการวาดรูปเป็น2อย่างที่ฉันพอทำได้ด้วยความสบายใจ
ฉันไม่รู้หรอกว่าอาการทางจิตมันเริ่มขึ้นเมื่อไร ตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่น ฉันใช้ยาอยู่ตลอดกัญชา เฮโรอีน และยาบ้า ยาอี ยาเค โค้ก สารพัดสิ่งทำลายสมอง เพื่อให้หลุดพ้นจากสติสัมปะชัญญะปกติ หนีจากโลกแห่งความเป็นจริง ในช่วงแรกฉันเสพกัญชา แล้วก็มาเสพเฮโรอีนผสมกับกัญชา ศัพท์อย่างไม่เป็นทางการเขาเรียก “บัวลอย” คือการยัดกัญชาใส่กรวยบ้องและโรยเฮโรอีนตามลงไป คุณเอ๊ย มันเมา
ฉันสูบอย่างนั้นอยู่หลายปี
มีหลายครั้งที่ฉันไม่ใช้เฮโรอีน ดูดกัญชาอย่างเดียวแต่มันก็ไม่ถึงใจ ฉันจึงหามาเสพจนได้ไม่ว่ามันจะแพงหรือหายากขนาดไหน สมัยนั้นบุหรี่กรองทิพย์ซองละ 12 หรือ 15 บาทไม่แน่ใจ เฮโรอีนหลอดละ 100 ฝาละ 400 บิ๊กละ 800
ต่อมาเมื่อเฮโรอีนแพงขึ้นด้วยเงินเท่าเดิมของปริมาณลดลง การจะเสพให้ถึงจุดสุดยอดมีวิธีเดียว ฉีดเข้าเส้นเลือด และต้องโช้คเลือดด้วยนะถึงจะถึงใจ โช้คเลือดคือ การฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นดันยาเข้าไปแล้วดึงกลับให้เลือดเข้ามาผสมกับยาในสลิงค์แล้วฉีดกลับเข้าไป
ฉันใช้กัญชามาตลอดตั้งแต่อายุ 14-15 เฮโรอีนมาเริ่มตอนเกือบจะ 16 ยาบ้ามาเสพตอนติดเพื่อนสมัยปวช. แต่ก็ยังสูบกัญชาอยู่ตลอด เฮโรอีนก็มีบ้างประปราย จนเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็ติดเฮโรอีนเต็มตัวฉันใช้มันมาตลอดนับ10 ปี จนกระทั่งสุขภาพไม่ไหว ก็หักดิบหยุดสักประมาณ 3 เดือน ทรมานนะแต่ฉันก็หาอย่างอื่นมาทดแทน พอร่างกายแข็งแรง ก็กลับไปเสพใหม่วนเวียนอยู่อย่างนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ 5-6 ปี
หลายปีต่อมาฉันมีอาการประสาทหลอน หูแว่ว หดหู่ เครียดจัด หนักเข้าเลยบอกแม่ แม่พาเข้ารักษาที่ศรีธัญญา แต่ฉันไม่เคยบอกหมอเรื่องเฮโรอีนฉันกลัวแม่รู้ หมอคิดว่ากัญชากับการดื่มเหล้าและการใช้ชีวิตหนักหน่วงทำลายฉัน ฉันนอนร้องไห้กับความทุกข์ระทม หยามเหยียดตัวเองอยู่หลายเดือน ตอนแรกหมอบอกฉันเป็นโรคซึมเศร้า หลายปีผ่านมาหมอ
บอกเป็นบุคลิกภาพแปรปรวน จนมาถึงหมอคนหนึ่ง (ฉันเปลี่ยนหมอมาเรื่อยซึ่งมันไม่ดีเลยกับการรักษาโรคพวกนี้) หมอคนนี้ตรวจสอบฉันละเอียดแล้วบอกฉันว่า สารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติสืบเนื่องมาจาก
ผลของการใช้ยาเสพติดจำนวนมากมาเป็นเวลานาน หมอปรับยาให้ใหม่และรอดูอาการทุก 6 เดือน
ด้วยความ
อันชาญฉลาดของฉัน ฉันตรวจสอบยาที่หมอจ่ายทุกชนิด ตัวไหนกินกับตัวไหนเมา ตัวไหนเป็นยาอะไร กินเท่าไรถึงจะเมา ฉันสนุกกับการเสพยาที่หมอจ่ายอย่างเพลิดเพลิน แต่อย่าลืมฉันสูบกัญชากับฉีดเฮโรอีนไปด้วย สภาพตอนนั้นเยี่ยงศพ สูง 175 แต่หนักแค่ 57-58 กิโล
เรา (ฉันกับแม่) เราเริ่มคุยกันมากขึ้นหลังจากที่ฉันสารภาพกับแม่ว่าติดเฮโรอีนและพวกยาหลอนประสาทต่างๆ แม่พาฉันไปบำบัดกับคลินิกเลิกยา ฉันใช้เวลา 3 เดือนอันแสนทรมานเลิกยาทั้งหมดแต่มีบางครั้งที่ฉันแอบสูบกัญชา หลังจากการเลิกยาแม่คุยกับฉันมากขึ้น เราปรึกษาเรื่องชีวิตกันทุกอย่างแม่เป็นกำลังใจที่ดีที่สุด
คืนวันหนึ่งฉันรู้สึกแปลก หดหู่ ไม่มีกำลังแม้จะหายใจ อึดอัด ฉันเดินไปห้องนอนแม่บอกแม่ว่าฉันเริ่มมีอาการเหล่านั้นด้วยอาการแปลกของคืนนั้น 13 มกราคม 2562 ตกดึก ฉันกิน Alphazolam ไป 1 แผง Prinapilไป 1 แผง Fuloxอีก 1 แผงรวม 30 เม็ด หลังจากอาการเมาเข้าครอบงำ ฉันหยิบคัตเตอร์เลื่อนใบมันปลาบออกมา กรีดแขนและหน้าอก ฉันกรีดไปเรื่อยๆ แผลเล็กๆ เลือดไหลโซม ไม่นะฉันไม่ต้องการฆ่าตัวตายฉันเพียงต้องการความเจ็บปวดเพื่อให้รู้สึกถึงการมีชีวิต เพื่อพิสูจน์ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ วันนี้ฉันรู้สึกแปลกๆ เมื่อเริ่มรูสึกตัว ฉันงงกับเหล่ารอยแผลไม่รู้ที่มา ฉันนี่แหละเป็นคนทำ เพียงแต่จำไม่ได้เท่านั้น ตี1 ฉันเดินเข้าห้องน้ำ ขณะกำลังจะออกจากห้องน้ำเจอแม่ แม่เห็นแขนที่โชกไปด้วยเลือดแม่ร้อง “โถอั้มเอ้ย....” ตี 5 ครึ่งฉันออกจากบ้านพร้อมแม่ แม่ไม่อยากให้ใครเห็น แผลยังเกรอะกรังด้วยเลือดเราขึ้นรถไปโรงพยาบาลศรีธัญญา ยื่นบัตรและรอพยาบาลคัดกรองพักหนึ่งฉันเข้าไปชั่งน้ำหนักวัดความดันตามขั้นตอนปกติที่มาหาหมอ ฉันแค่ต้องการพบแพทย์เพื่อพูดคุยปรับทุกข์และให้หมอจัดการกับอาการที่เป็นอยู่ เวลาผ่านไปสักครู่ขณะนั่งรอ ฉํนรู้สึกอึดอัดเหมือนจะทนไม่ไหว เลยเดินไปหาพยาบาลคัดกรองแล้วบอกเขาว่าจะไม่ไหวแล้ว พร้อมโชว์แผลให้เขาดูทั้งที่แขนและฉันถกเสื้อขึ้น
แผลตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะดือ บางรอยยังมีเลือดซึมออกมา
พยาบาลพาฉันเข้าห้องฉุกเฉินทันทีพร้อมถามว่ามีแผลไหนลึกถึงขั้นเย็บไหม ฉันปฎิเสธ เมื่อเข้าห้องฉุกเฉินทั้งที่มีอาการเมายาค้างอยู่ คนที่ไม่เคยเมายารักษาอาการทางจิตจะไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร แตกต่างจากอาการเมาเหล้าโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าทั้งก่อน ตอนเมา และอาการตกค้างหลังเมา
บุรุษพยาบาลยึดเก็บข้าวของในตัวฉันออกหมดแล้วมอบให้แม่ เขาพาฉันไปในห้องสี่เหลี่ยมมีเก้าอี 4 ตัวอยู่ในนั้น ลักษณะเหมือนห้องเก็บเสียง มีผู้ชาย 3 คนนั่งอยู่ในนั้นพวกเขามองฉันเป็นตาเดียว พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน แต่คุยกันคนละเรื่องผู้ชายทางซ้ายตะโกนเรียกผู้คุมว่าปวดเยี่ยว ตาเขาขวางแต่ฉันไม่กลัวเขาหรอก เพราะทุกคนถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้ที่ขาเป็นเหล็กที่ยึดติดกับพื้นห้อง จู่ๆคนทางขวาก็เปล่งเสียงพึมพำแล้วตะโกนขึ้น ฉันไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เขาเอ่ยปากพูดกับบุรุษพยาบาล“ผมขอโทษครับผมจะไม่ทำอีกแล้วปล่อยผมเถอะ”ไอ้คนทางซ้ายพึมพำว่ากูปวดเยี่ยว ผู้ชายที่นั่งอยู่เก้าอี้หมายเลข1นั่งขัดสมาธินิ่งๆ สักพักหมอก็เข้ามาเอาเค้าออกไป
สักพักบุรุษพยาบาลก็นำเหล่ายามและผู้คุมมาเอาหนุ่มทางขวาเก้าอี้หมายเลข4 เขาแก้มัดที่ยึดติดกับเก้าอี้ออกแล้วจับไขว้หลัง มัดด้วยเชือกทำพิเศษเฉพาะ (เพราะฉันไม่เคยเห็นเชือกอะไรอย่างนี้) พยาบาลบอกเขาว่า ญาติให้นอนอยู่นี่สักพัก
สบายล่ะ ฉันคิดในใจ
แต่แล้วฉันล่ะถ้าต้องแอดมิทเข้าโรงพยาลจะเป็นยังไงได้แต่กังวลในใจ ทีนี้ก็เหลือฉันกับผู้ชายทางขวา
ที่อ้อนวอนให้ฉันแก้มัดให้ฉันทำเป็นไม่สนใจ สักพักพยาบาลก็นำป้าคนหนึ่งเข้ามาพูดจาวกวนฟังไม่ได้สรรพ และพยายามเดินไปเดินมาจนถูกจับมัด ทั้งห้องมีฉันคนเดียวที่ไม่ถูกมัด ป้าเริ่มสำแดงฤทธิ์แหกปากโวยวายอะไรสักอย่าง ผู้ชายทางขวา
ก็คุยด้วยเพียงแต่เขาคุยกันละเรื่อง หมอเดินเข้ามาถามอาการฉัน ทุกครั้งที่หมอเข้ามาคุยกับฉันในห้องสี่เหลี่ยมฉันจะลุกขึ้นยืนเพื่ออธิบายให้หมอฟังแต่ทุกครั้งที่ลุกขึ้นเจ้าหน้าที่ก็จะดันหน้าอกฉันให้นั่งลงถ้าในอารมณ์ปกติฉันคงชกหน้าเข้าให้ แต่เขาคงทำเพื่อความปลอดภัยของหมอ เพราะเหล่าคนไข้ในแผนกฉุกเฉินแต่ละคนก็ดูไว้ใจไม่ได้จริงๆ หมอพาฉันไปที่เตียงจับฉันนอนคว่ำถกกางเกงแล้วฉีดยาให้ 1 เข็ม แล้วให้ฉันตรวจฉี่ ฉันบอกหมอว่าหิวข้าว แม่ไปซื้อข้าวมาให้
สรุปว่าฉันต้องแอดมิทเข้านอนในโรงพยาบาล มีรถตู้มารับเดินทางไม่เกิน 5 นาทีก็มาถึงตึก 4 ชั้นหลังหนึ่ง
กดลิฟท์ขึ้นชั้น 2 แม่ไปเซ็นต์อะไรไม่รู้ ส่วนฉันเขาพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอาชุดเก่าให้แม่เอากลับบ้านไป
ไม่ให้ใส่แม้แต่กางเกงใน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาลูบแขนฉันที่เลือดเกรอะกรังถามฉันว่า “เป็นอะไรมาพี่”
ฉันตอบว่าอะไรไม่รู้เพราะยาที่หมอฉีดออกฤทธิ์ ฉันเมา ผู้คุมและพยาบาล พาฉันไปนอนเตียงติดทางเดินที่ ห้อง 1
เพื่อคอยสังเกตอาการ เพราะอยู่ใกล้สำนักงานพยาบาลซึ่งสามารถมองเห็นฉันได้ แล้วฉันก็หลับไป
จริงๆ ฉันเข้ารับการรักษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 แต่ไม่เคยแอตมิทเลยสักครั้ง ตลอดเวลาการรักษาฉันถูกวินิจฉัย มาหลายอย่าง ซึมเศร้า บุคลิกภาพแปรปรวน จิตสรีระแปรปรวน สารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติ แต่หมอก็ยังไม่สรุปอาการฉัน
ฉันได้แต่หวังว่าคราวนี้แหละฉันจะได้รู้จริงๆ สักที โดยไม่รู้ว่าต้องนอนที่นี่อีกกี่เดือน ฉันบอกตัวเอง เอาล่ะไหนๆตอนนี้ ฉันก็ต้องอยู่ในนี้แล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ ก่อนแม่กลับแม่มาบอกว่าอดทนหน่อยนะลูกแม่จะมาเยี่ยมบ่อยๆ อย่าคิดมาก คนที่ติดคุกเขายังทนกันได้เลยนี่สบายกว่าอยู่คุกอีก
จนมาถึงปัจจุบันเมื่อฉันผ่านมันมาแล้ว ฉันอยากจะบอกว่า ในคุกมันไม่มีคนบ้าเกือบ 50-60 คนอยู่รวมกันนะแม่ แม่จะรู้ไหมว่ามันต้องใช้ความอดทนแค่ไหน
นั่นคือวันแรกที่ฉันต้องเข้ารับการรักษาที่ศรีธัญญา
ศรีธ้ญญา ไดอารี่ 1
ฉันไม่รู้หรอกว่าอาการทางจิตมันเริ่มขึ้นเมื่อไร ตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่น ฉันใช้ยาอยู่ตลอดกัญชา เฮโรอีน และยาบ้า ยาอี ยาเค โค้ก สารพัดสิ่งทำลายสมอง เพื่อให้หลุดพ้นจากสติสัมปะชัญญะปกติ หนีจากโลกแห่งความเป็นจริง ในช่วงแรกฉันเสพกัญชา แล้วก็มาเสพเฮโรอีนผสมกับกัญชา ศัพท์อย่างไม่เป็นทางการเขาเรียก “บัวลอย” คือการยัดกัญชาใส่กรวยบ้องและโรยเฮโรอีนตามลงไป คุณเอ๊ย มันเมา ฉันสูบอย่างนั้นอยู่หลายปี
มีหลายครั้งที่ฉันไม่ใช้เฮโรอีน ดูดกัญชาอย่างเดียวแต่มันก็ไม่ถึงใจ ฉันจึงหามาเสพจนได้ไม่ว่ามันจะแพงหรือหายากขนาดไหน สมัยนั้นบุหรี่กรองทิพย์ซองละ 12 หรือ 15 บาทไม่แน่ใจ เฮโรอีนหลอดละ 100 ฝาละ 400 บิ๊กละ 800
ต่อมาเมื่อเฮโรอีนแพงขึ้นด้วยเงินเท่าเดิมของปริมาณลดลง การจะเสพให้ถึงจุดสุดยอดมีวิธีเดียว ฉีดเข้าเส้นเลือด และต้องโช้คเลือดด้วยนะถึงจะถึงใจ โช้คเลือดคือ การฉีดเฮโรอีนเข้าเส้นดันยาเข้าไปแล้วดึงกลับให้เลือดเข้ามาผสมกับยาในสลิงค์แล้วฉีดกลับเข้าไป
ฉันใช้กัญชามาตลอดตั้งแต่อายุ 14-15 เฮโรอีนมาเริ่มตอนเกือบจะ 16 ยาบ้ามาเสพตอนติดเพื่อนสมัยปวช. แต่ก็ยังสูบกัญชาอยู่ตลอด เฮโรอีนก็มีบ้างประปราย จนเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็ติดเฮโรอีนเต็มตัวฉันใช้มันมาตลอดนับ10 ปี จนกระทั่งสุขภาพไม่ไหว ก็หักดิบหยุดสักประมาณ 3 เดือน ทรมานนะแต่ฉันก็หาอย่างอื่นมาทดแทน พอร่างกายแข็งแรง ก็กลับไปเสพใหม่วนเวียนอยู่อย่างนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ 5-6 ปี
หลายปีต่อมาฉันมีอาการประสาทหลอน หูแว่ว หดหู่ เครียดจัด หนักเข้าเลยบอกแม่ แม่พาเข้ารักษาที่ศรีธัญญา แต่ฉันไม่เคยบอกหมอเรื่องเฮโรอีนฉันกลัวแม่รู้ หมอคิดว่ากัญชากับการดื่มเหล้าและการใช้ชีวิตหนักหน่วงทำลายฉัน ฉันนอนร้องไห้กับความทุกข์ระทม หยามเหยียดตัวเองอยู่หลายเดือน ตอนแรกหมอบอกฉันเป็นโรคซึมเศร้า หลายปีผ่านมาหมอ
บอกเป็นบุคลิกภาพแปรปรวน จนมาถึงหมอคนหนึ่ง (ฉันเปลี่ยนหมอมาเรื่อยซึ่งมันไม่ดีเลยกับการรักษาโรคพวกนี้) หมอคนนี้ตรวจสอบฉันละเอียดแล้วบอกฉันว่า สารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติสืบเนื่องมาจาก
ผลของการใช้ยาเสพติดจำนวนมากมาเป็นเวลานาน หมอปรับยาให้ใหม่และรอดูอาการทุก 6 เดือน
ด้วยความอันชาญฉลาดของฉัน ฉันตรวจสอบยาที่หมอจ่ายทุกชนิด ตัวไหนกินกับตัวไหนเมา ตัวไหนเป็นยาอะไร กินเท่าไรถึงจะเมา ฉันสนุกกับการเสพยาที่หมอจ่ายอย่างเพลิดเพลิน แต่อย่าลืมฉันสูบกัญชากับฉีดเฮโรอีนไปด้วย สภาพตอนนั้นเยี่ยงศพ สูง 175 แต่หนักแค่ 57-58 กิโล
เรา (ฉันกับแม่) เราเริ่มคุยกันมากขึ้นหลังจากที่ฉันสารภาพกับแม่ว่าติดเฮโรอีนและพวกยาหลอนประสาทต่างๆ แม่พาฉันไปบำบัดกับคลินิกเลิกยา ฉันใช้เวลา 3 เดือนอันแสนทรมานเลิกยาทั้งหมดแต่มีบางครั้งที่ฉันแอบสูบกัญชา หลังจากการเลิกยาแม่คุยกับฉันมากขึ้น เราปรึกษาเรื่องชีวิตกันทุกอย่างแม่เป็นกำลังใจที่ดีที่สุด
คืนวันหนึ่งฉันรู้สึกแปลก หดหู่ ไม่มีกำลังแม้จะหายใจ อึดอัด ฉันเดินไปห้องนอนแม่บอกแม่ว่าฉันเริ่มมีอาการเหล่านั้นด้วยอาการแปลกของคืนนั้น 13 มกราคม 2562 ตกดึก ฉันกิน Alphazolam ไป 1 แผง Prinapilไป 1 แผง Fuloxอีก 1 แผงรวม 30 เม็ด หลังจากอาการเมาเข้าครอบงำ ฉันหยิบคัตเตอร์เลื่อนใบมันปลาบออกมา กรีดแขนและหน้าอก ฉันกรีดไปเรื่อยๆ แผลเล็กๆ เลือดไหลโซม ไม่นะฉันไม่ต้องการฆ่าตัวตายฉันเพียงต้องการความเจ็บปวดเพื่อให้รู้สึกถึงการมีชีวิต เพื่อพิสูจน์ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ วันนี้ฉันรู้สึกแปลกๆ เมื่อเริ่มรูสึกตัว ฉันงงกับเหล่ารอยแผลไม่รู้ที่มา ฉันนี่แหละเป็นคนทำ เพียงแต่จำไม่ได้เท่านั้น ตี1 ฉันเดินเข้าห้องน้ำ ขณะกำลังจะออกจากห้องน้ำเจอแม่ แม่เห็นแขนที่โชกไปด้วยเลือดแม่ร้อง “โถอั้มเอ้ย....” ตี 5 ครึ่งฉันออกจากบ้านพร้อมแม่ แม่ไม่อยากให้ใครเห็น แผลยังเกรอะกรังด้วยเลือดเราขึ้นรถไปโรงพยาบาลศรีธัญญา ยื่นบัตรและรอพยาบาลคัดกรองพักหนึ่งฉันเข้าไปชั่งน้ำหนักวัดความดันตามขั้นตอนปกติที่มาหาหมอ ฉันแค่ต้องการพบแพทย์เพื่อพูดคุยปรับทุกข์และให้หมอจัดการกับอาการที่เป็นอยู่ เวลาผ่านไปสักครู่ขณะนั่งรอ ฉํนรู้สึกอึดอัดเหมือนจะทนไม่ไหว เลยเดินไปหาพยาบาลคัดกรองแล้วบอกเขาว่าจะไม่ไหวแล้ว พร้อมโชว์แผลให้เขาดูทั้งที่แขนและฉันถกเสื้อขึ้น
แผลตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะดือ บางรอยยังมีเลือดซึมออกมา
พยาบาลพาฉันเข้าห้องฉุกเฉินทันทีพร้อมถามว่ามีแผลไหนลึกถึงขั้นเย็บไหม ฉันปฎิเสธ เมื่อเข้าห้องฉุกเฉินทั้งที่มีอาการเมายาค้างอยู่ คนที่ไม่เคยเมายารักษาอาการทางจิตจะไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร แตกต่างจากอาการเมาเหล้าโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าทั้งก่อน ตอนเมา และอาการตกค้างหลังเมา
บุรุษพยาบาลยึดเก็บข้าวของในตัวฉันออกหมดแล้วมอบให้แม่ เขาพาฉันไปในห้องสี่เหลี่ยมมีเก้าอี 4 ตัวอยู่ในนั้น ลักษณะเหมือนห้องเก็บเสียง มีผู้ชาย 3 คนนั่งอยู่ในนั้นพวกเขามองฉันเป็นตาเดียว พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน แต่คุยกันคนละเรื่องผู้ชายทางซ้ายตะโกนเรียกผู้คุมว่าปวดเยี่ยว ตาเขาขวางแต่ฉันไม่กลัวเขาหรอก เพราะทุกคนถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้ที่ขาเป็นเหล็กที่ยึดติดกับพื้นห้อง จู่ๆคนทางขวาก็เปล่งเสียงพึมพำแล้วตะโกนขึ้น ฉันไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เขาเอ่ยปากพูดกับบุรุษพยาบาล“ผมขอโทษครับผมจะไม่ทำอีกแล้วปล่อยผมเถอะ”ไอ้คนทางซ้ายพึมพำว่ากูปวดเยี่ยว ผู้ชายที่นั่งอยู่เก้าอี้หมายเลข1นั่งขัดสมาธินิ่งๆ สักพักหมอก็เข้ามาเอาเค้าออกไป
สักพักบุรุษพยาบาลก็นำเหล่ายามและผู้คุมมาเอาหนุ่มทางขวาเก้าอี้หมายเลข4 เขาแก้มัดที่ยึดติดกับเก้าอี้ออกแล้วจับไขว้หลัง มัดด้วยเชือกทำพิเศษเฉพาะ (เพราะฉันไม่เคยเห็นเชือกอะไรอย่างนี้) พยาบาลบอกเขาว่า ญาติให้นอนอยู่นี่สักพัก
สบายล่ะ ฉันคิดในใจ
แต่แล้วฉันล่ะถ้าต้องแอดมิทเข้าโรงพยาลจะเป็นยังไงได้แต่กังวลในใจ ทีนี้ก็เหลือฉันกับผู้ชายทางขวา
ที่อ้อนวอนให้ฉันแก้มัดให้ฉันทำเป็นไม่สนใจ สักพักพยาบาลก็นำป้าคนหนึ่งเข้ามาพูดจาวกวนฟังไม่ได้สรรพ และพยายามเดินไปเดินมาจนถูกจับมัด ทั้งห้องมีฉันคนเดียวที่ไม่ถูกมัด ป้าเริ่มสำแดงฤทธิ์แหกปากโวยวายอะไรสักอย่าง ผู้ชายทางขวา
ก็คุยด้วยเพียงแต่เขาคุยกันละเรื่อง หมอเดินเข้ามาถามอาการฉัน ทุกครั้งที่หมอเข้ามาคุยกับฉันในห้องสี่เหลี่ยมฉันจะลุกขึ้นยืนเพื่ออธิบายให้หมอฟังแต่ทุกครั้งที่ลุกขึ้นเจ้าหน้าที่ก็จะดันหน้าอกฉันให้นั่งลงถ้าในอารมณ์ปกติฉันคงชกหน้าเข้าให้ แต่เขาคงทำเพื่อความปลอดภัยของหมอ เพราะเหล่าคนไข้ในแผนกฉุกเฉินแต่ละคนก็ดูไว้ใจไม่ได้จริงๆ หมอพาฉันไปที่เตียงจับฉันนอนคว่ำถกกางเกงแล้วฉีดยาให้ 1 เข็ม แล้วให้ฉันตรวจฉี่ ฉันบอกหมอว่าหิวข้าว แม่ไปซื้อข้าวมาให้
สรุปว่าฉันต้องแอดมิทเข้านอนในโรงพยาบาล มีรถตู้มารับเดินทางไม่เกิน 5 นาทีก็มาถึงตึก 4 ชั้นหลังหนึ่ง
กดลิฟท์ขึ้นชั้น 2 แม่ไปเซ็นต์อะไรไม่รู้ ส่วนฉันเขาพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอาชุดเก่าให้แม่เอากลับบ้านไป
ไม่ให้ใส่แม้แต่กางเกงใน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาลูบแขนฉันที่เลือดเกรอะกรังถามฉันว่า “เป็นอะไรมาพี่”
ฉันตอบว่าอะไรไม่รู้เพราะยาที่หมอฉีดออกฤทธิ์ ฉันเมา ผู้คุมและพยาบาล พาฉันไปนอนเตียงติดทางเดินที่ ห้อง 1
เพื่อคอยสังเกตอาการ เพราะอยู่ใกล้สำนักงานพยาบาลซึ่งสามารถมองเห็นฉันได้ แล้วฉันก็หลับไป
จริงๆ ฉันเข้ารับการรักษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 แต่ไม่เคยแอตมิทเลยสักครั้ง ตลอดเวลาการรักษาฉันถูกวินิจฉัย มาหลายอย่าง ซึมเศร้า บุคลิกภาพแปรปรวน จิตสรีระแปรปรวน สารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติ แต่หมอก็ยังไม่สรุปอาการฉัน
ฉันได้แต่หวังว่าคราวนี้แหละฉันจะได้รู้จริงๆ สักที โดยไม่รู้ว่าต้องนอนที่นี่อีกกี่เดือน ฉันบอกตัวเอง เอาล่ะไหนๆตอนนี้ ฉันก็ต้องอยู่ในนี้แล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ ก่อนแม่กลับแม่มาบอกว่าอดทนหน่อยนะลูกแม่จะมาเยี่ยมบ่อยๆ อย่าคิดมาก คนที่ติดคุกเขายังทนกันได้เลยนี่สบายกว่าอยู่คุกอีก
จนมาถึงปัจจุบันเมื่อฉันผ่านมันมาแล้ว ฉันอยากจะบอกว่า ในคุกมันไม่มีคนบ้าเกือบ 50-60 คนอยู่รวมกันนะแม่ แม่จะรู้ไหมว่ามันต้องใช้ความอดทนแค่ไหน
นั่นคือวันแรกที่ฉันต้องเข้ารับการรักษาที่ศรีธัญญา