สิ่งที่โค้ชไทยส่วนใหญ่มันจะเป็นข้อเสียสำคัญ คือ มีแผนจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ไร้ความยืนหยุ่น ไม่คิดจะปรับเปลี่ยน แม้จะโดนคู่แข่งจับทางได้ เป็นกันหลายชนิดกีฬา ฟุตบอล ขนาด โค้ชซิโก้ โค้ชโต่ย จนมาถึง วอลเล่ย์บอลอย่าง โค้ชยะ โค้ชชำนาญ มีความคิดแบบเดียวกับที่กล่าวมา เห็นใครเล่นตามระบบที่ต้องการ เข้ากับระบบที่ต้องการ ก็จะเรียกคนนั้นแคมป์ ไม่เคยพิจารณาถึงฟอร์มปัจจุบันเลยว่าจะดีหรือไม่ดี เพียงเพราะวลี คนนี้มันเล่นเข้าระบบ
สิ่งที่ผมคิดว่าทำให้ โค้ชไทย หลายรายเป็นแบบนี้ เพราะ สมัยยังเล่นกีฬาอาชีพไม่เคยไปแข่งลีกระดับสูง ลีกระดับขึ้นชื่อว่าต้นๆ ของทวีปยุโรปและเอเชีย พวกนี้ซึมซัมความเป็นมืออาชีพ แบบในการสร้างทีมที่มีความยืนหยุ่น ไม่ยึดการเล่นและสร้างทีมแผนเดียว ไม่ยึดติดผู้เล่น พิจารณาการเรียกผู้เล่นจากฟอร์มปัจจุบัน โอเคทีมชาติเพื่อไม่ให้เสียสมดุล อาจไม่สามารถเรียกคนใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าใครเมื่อได้รับการพิจารณาว่า ไม่สามารถพัฒนาตัวเองเมื่ออยู่แคมป์ทีม ฟอร์มตกจนหลุดจากตัวจริงสโมสร จะไม่มีการเรียกผู้เล่นคนนั้นมาแล้ว แล้วเปลี่ยนผู้เล่นคนใหม่ที่มีแววจะพัฒนามาแทน ถ้าดูไปสักปี 2 ปี แล้วฟอร์มคนที่เรียกมาใหม่ไม่พัฒนาหรือตก ก็เปลี่ยนไปเรียกคนอื่น เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอนักกีฬาที่สามารถพัฒนาตัวเอง รักษาฟอร์มในแคมป์ได้
โค้ชชำนาญ ก็เหมือนโค้ชไทยส่วนใหญ่ ยังยึดคนคุ้นเคย คนที่อยู่ในแบบแผนการสร้างทีมต้องการ แต่ไม่ได้คำนึงถึงสภาพผู้เล่นตอนนั้นจะอำนวยแผนที่คิดไว้ไหม ไม่เคยมีแผนสำรอง ไม่การพลิกแผลงแผนการแก้เกม และ การสร้างทีม ยามได้ผู้เล่นไม่ได้ตามศักยภาพที่ต้องการ แม้จะมีประสบการณ์คุมทีม แต่ไอ่ความคิดแบบนี้ทำให้โค้ชไม่สามารถรีดศักยภาพผู้เล่นได้เต็มที่ เพราะมี mind set ความคิดที่ผิด และยังไม่เป็นมืออาชีพ เนื่องจากตัวเองไม่เคยไปสำผัสความเป็นมืออาชีพจริงๆ เขาต้องทำอย่างไร
ในขณะที่ โค้ชนา ถ้าพูดถึงพรรษาการคุมทีมเทียบกับ โค้ชชำนาญ ไม่ได้แน่นอน แต่สิ่งที่โค้ชนามีจุดแข็งกว่าโค้ชชำนาญ คือ ความเป็นมืออาชีพ โค้ชในแบบที่เป็นโค้ชจริงๆ ไม่ใช่ครู ซึ่งเป็นผลจากการที่ ยายนา ได้ไปเล่นยังลีกต้นๆ และลีกแข็งๆ ทั้งในยุโรปและเอเชีย ก็ได้รู้ได้เห็น ได้ซึมซับว่า เวลาต่างชาติที่เก่งทางวอลเล่ย์บอลเขาจะสร้างทีมสร้างแบบไหน มีข้อดีตรงไหนที่เอาปรับใช้กับระบบทีมชาติไทยให้มันดีขึ้น ไม่ยึดติดกับผู้เล่น และแบบแผนการเล่น มีจิตวิทยาในการปลุกผู้เล่นยามเสียขวัญเมื่อผู้เล่นเล่นไม่ออก เล่นไม่ตามแผนตัวเอง เราถึงเห็นเวลาโค้ชนาคุมทีม ใครฟอร์มดี ใครฟอร์มแย่ พร้อมเปลี่ยนผู้เล่น เปลี่ยนแบบแผนการเล่นทันที ถ้าโค้ชนามีโอกาสได้เลือกผู้เล่นเอง (ตอน VTV Cup ผมว่าโค้ชนาคงไม่ได้เลือกผู้เล่นเองด้วย เหมือนเป็นชุดที่โค้ชชำนาญฝากมาให้คุมเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เล่นให้ แต่อาจเปิดโอกาสให้เลือกลิบแทน แบม ที่ติดเล่นเยาวชน) เหมือนในนครราชสีมา ก็จะเลือกผู้เล่นที่ฟอร์มดีในปัจจุบัน ถ้าผู้เล่นปัจจุบันไม่พัฒนาฟอร์มก็พร้อมดร็อปจากทีม ให้อารมณ์ที่เป็นโค้ชจริงๆ ไม่ใช่ครูที่ไม่อยากทำลายลูกศิษย์ที่อุ้มชูกันมา
ว่ากันว่า โค้ชนา สำหรับผมยังไม่ได้ฉายแววจากสมัยผู้เล่นมากนัก และได้ไปเล่นทีมในต่างประเทศถือว่าน้อยนะ เมื่อเทียบกับ บรรดา 7 เซียนที่เหลือ ผลงานยังขนาดนี้ นี้ผมคิดว่า ถ้าให้ 7 เซียนผันตัวมาเป็นโค้ชหลังโอลิมปิกส์ จะมีโค้ชเก่งกว่า โค้ชนา ขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็น กิ๊ฟ, หน่อง, ปู, อร ที่ผ่านศึกร้อน ศึกหนาว กับสังเวียนการเล่นต่างประเทศทั้งลีกกลาง และลีกใหญ่ มานับไม่ถ้วน มันจะปฎิวัติการคุมทีมชาติขนาดไหน โดยเฉพาะคนที่ผมเห็นแววมากที่สุดคือ นุศรา ที่เล่นตำแหน่งมือเซ็ต ต้องคิดแผนในการปัญชาเกม อ่านจังหวะคู่ต่อสู้เพื่อเซ็ตแก้เกม แถมเป็นคนที่ประสบการณ์เล่นต่างประเทศมากที่สุดใน 7 เซียน จะมีฝีมือการคุมทีมแค่ไหน แล้วให้ 6 เซียนที่เหลือเป็นลูกมือ แค่คิดก็เห็นแสงสว่างเรืองรองแล้ว
เห็นโค้ชชำนาญ คุมทีมเทียบ โค้ชนา แล้วผมอยากให้ 7 เซียนมาเป็นโค้ชไวๆ เพราะเป็นสิ่งที่เรียกร้องมานาน คือ " ไร้คนเข้าระบบ "
สิ่งที่ผมคิดว่าทำให้ โค้ชไทย หลายรายเป็นแบบนี้ เพราะ สมัยยังเล่นกีฬาอาชีพไม่เคยไปแข่งลีกระดับสูง ลีกระดับขึ้นชื่อว่าต้นๆ ของทวีปยุโรปและเอเชีย พวกนี้ซึมซัมความเป็นมืออาชีพ แบบในการสร้างทีมที่มีความยืนหยุ่น ไม่ยึดการเล่นและสร้างทีมแผนเดียว ไม่ยึดติดผู้เล่น พิจารณาการเรียกผู้เล่นจากฟอร์มปัจจุบัน โอเคทีมชาติเพื่อไม่ให้เสียสมดุล อาจไม่สามารถเรียกคนใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าใครเมื่อได้รับการพิจารณาว่า ไม่สามารถพัฒนาตัวเองเมื่ออยู่แคมป์ทีม ฟอร์มตกจนหลุดจากตัวจริงสโมสร จะไม่มีการเรียกผู้เล่นคนนั้นมาแล้ว แล้วเปลี่ยนผู้เล่นคนใหม่ที่มีแววจะพัฒนามาแทน ถ้าดูไปสักปี 2 ปี แล้วฟอร์มคนที่เรียกมาใหม่ไม่พัฒนาหรือตก ก็เปลี่ยนไปเรียกคนอื่น เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอนักกีฬาที่สามารถพัฒนาตัวเอง รักษาฟอร์มในแคมป์ได้
โค้ชชำนาญ ก็เหมือนโค้ชไทยส่วนใหญ่ ยังยึดคนคุ้นเคย คนที่อยู่ในแบบแผนการสร้างทีมต้องการ แต่ไม่ได้คำนึงถึงสภาพผู้เล่นตอนนั้นจะอำนวยแผนที่คิดไว้ไหม ไม่เคยมีแผนสำรอง ไม่การพลิกแผลงแผนการแก้เกม และ การสร้างทีม ยามได้ผู้เล่นไม่ได้ตามศักยภาพที่ต้องการ แม้จะมีประสบการณ์คุมทีม แต่ไอ่ความคิดแบบนี้ทำให้โค้ชไม่สามารถรีดศักยภาพผู้เล่นได้เต็มที่ เพราะมี mind set ความคิดที่ผิด และยังไม่เป็นมืออาชีพ เนื่องจากตัวเองไม่เคยไปสำผัสความเป็นมืออาชีพจริงๆ เขาต้องทำอย่างไร
ในขณะที่ โค้ชนา ถ้าพูดถึงพรรษาการคุมทีมเทียบกับ โค้ชชำนาญ ไม่ได้แน่นอน แต่สิ่งที่โค้ชนามีจุดแข็งกว่าโค้ชชำนาญ คือ ความเป็นมืออาชีพ โค้ชในแบบที่เป็นโค้ชจริงๆ ไม่ใช่ครู ซึ่งเป็นผลจากการที่ ยายนา ได้ไปเล่นยังลีกต้นๆ และลีกแข็งๆ ทั้งในยุโรปและเอเชีย ก็ได้รู้ได้เห็น ได้ซึมซับว่า เวลาต่างชาติที่เก่งทางวอลเล่ย์บอลเขาจะสร้างทีมสร้างแบบไหน มีข้อดีตรงไหนที่เอาปรับใช้กับระบบทีมชาติไทยให้มันดีขึ้น ไม่ยึดติดกับผู้เล่น และแบบแผนการเล่น มีจิตวิทยาในการปลุกผู้เล่นยามเสียขวัญเมื่อผู้เล่นเล่นไม่ออก เล่นไม่ตามแผนตัวเอง เราถึงเห็นเวลาโค้ชนาคุมทีม ใครฟอร์มดี ใครฟอร์มแย่ พร้อมเปลี่ยนผู้เล่น เปลี่ยนแบบแผนการเล่นทันที ถ้าโค้ชนามีโอกาสได้เลือกผู้เล่นเอง (ตอน VTV Cup ผมว่าโค้ชนาคงไม่ได้เลือกผู้เล่นเองด้วย เหมือนเป็นชุดที่โค้ชชำนาญฝากมาให้คุมเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เล่นให้ แต่อาจเปิดโอกาสให้เลือกลิบแทน แบม ที่ติดเล่นเยาวชน) เหมือนในนครราชสีมา ก็จะเลือกผู้เล่นที่ฟอร์มดีในปัจจุบัน ถ้าผู้เล่นปัจจุบันไม่พัฒนาฟอร์มก็พร้อมดร็อปจากทีม ให้อารมณ์ที่เป็นโค้ชจริงๆ ไม่ใช่ครูที่ไม่อยากทำลายลูกศิษย์ที่อุ้มชูกันมา
ว่ากันว่า โค้ชนา สำหรับผมยังไม่ได้ฉายแววจากสมัยผู้เล่นมากนัก และได้ไปเล่นทีมในต่างประเทศถือว่าน้อยนะ เมื่อเทียบกับ บรรดา 7 เซียนที่เหลือ ผลงานยังขนาดนี้ นี้ผมคิดว่า ถ้าให้ 7 เซียนผันตัวมาเป็นโค้ชหลังโอลิมปิกส์ จะมีโค้ชเก่งกว่า โค้ชนา ขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็น กิ๊ฟ, หน่อง, ปู, อร ที่ผ่านศึกร้อน ศึกหนาว กับสังเวียนการเล่นต่างประเทศทั้งลีกกลาง และลีกใหญ่ มานับไม่ถ้วน มันจะปฎิวัติการคุมทีมชาติขนาดไหน โดยเฉพาะคนที่ผมเห็นแววมากที่สุดคือ นุศรา ที่เล่นตำแหน่งมือเซ็ต ต้องคิดแผนในการปัญชาเกม อ่านจังหวะคู่ต่อสู้เพื่อเซ็ตแก้เกม แถมเป็นคนที่ประสบการณ์เล่นต่างประเทศมากที่สุดใน 7 เซียน จะมีฝีมือการคุมทีมแค่ไหน แล้วให้ 6 เซียนที่เหลือเป็นลูกมือ แค่คิดก็เห็นแสงสว่างเรืองรองแล้ว