[CR] Be the 1st Coach --- คอร์สอบรมสำหรับพ่อแม่

กระทู้รีวิว
คอร์สแนะวิธีเลี้ยงลูก --- Be the First Coach

                2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมาของปี ดิฉันหมกมุ่น สาละวนกับการฝึกอบรม และสอบอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างมาก ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานและส่วนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว แต่หนึ่งในหัวข้ออบรมสัมมนาที่อยากจะแชร์ในห้องชานเรือนนี้คือคอร์สนี้ค่ะ    Be the First Coach จัดโดยสถาบัน John Robert Powers และ Jimi the Coach

นานาเรียนพาพันขยัน

               ต้องออกตัวก่อนว่า ดิฉันไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของการสัมมนาประเภทนี้มาก่อนเลยนะคะ 

               แต่โดยส่วนตัว เป็นคนที่เชื่อในการเรียนรู้ทุกรูปแบบค่ะ เพราะชีวิตที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า “มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน”จริง ๆ การเรียนรู้จะเปิดโลกทัศน์ เปิดแนวคิด ปรับปรุง mindset นำเราไปสู่สังคมใหม่ ๆ ที่ทำให้เราสามารถพัฒนาตัวเองทั้งสติปัญญาและอารมณ์ได้

                แรกเริ่มเดิมที ดิฉันคิดจะส่งลูกไปอบรมด้านบุคลิกภาพที่ John Robert Powers เพราะรู้สึกว่า บางครั้ง ลูกอาจมีความไม่มั่นใจในตัวเองบางอย่าง รู้สึกไม่มั่นคงกับบางเรื่อง หรือ ในบางสถานการณ์อาจรู้สึกว่าตัวเองวางตัวไม่ถูก  ก็เลยอยากจะส่งให้ลองไปฝึกฝนขัดเกลาบุคลิกภาพดู เพื่อจะได้สามารถเข้าสังคมได้อย่างมั่นใจ  แม้ว่าลูกดิฉันจะไม่มีปัญหาอะไรกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน แต่ดิฉันเอง รู้สึกว่า ลูกออกจะขี้อายและตกประหม่าเวลาต้องไปอยู่ในสังคมใหม่ ๆ  เลยอยากให้ลูกมีความกล้าแสดงออก   รู้สึกมั่นใจเมื่อต้องเข้าสังคม เข้าหาเพื่อนใหม่ ๆ จะได้มีความสุข มีทัศนคติที่ดีกับสังคมและสิ่งแวดล้อม  โดยส่วนตัวดิฉันมีความเชื่อว่า ความสุข ความสำเร็จ ต้องไปคู่กัน และทัศนคติที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตที่มีความสุข
เม่าอ่านเม่าเริงร่าเม่าหอยทาก

              จนแล้วจนเล่า เฝ้าจัดเวลาก็พบว่า เวลาของลูกกับเวลาของคอร์สไม่ตรงกันซักที  ถามข้อมูลสถาบันจนดิฉันออกจะเกรงใจมากทีเดียว  
จนวันหนึ่ง ทาง John Robert ก็ส่งข้อมูลมาว่า มีหัวข้ออบรมสำหรับพ่อแม่ชื่อ Be the First Coach จัดร่วมกับ Jimi The Coach ดิฉันสนใจหรือไม่
พออ่านหัวข้อแล้วก็ตอบรับทันที ไม่ต้องคิดมาก และพบว่ามันดีจริง ๆ ค่ะ
อมยิ้ม36อมยิ้ม38

             คือ บางทีการเป็นพ่อแม่ เราเองก็หวังแต่จะให้ ให้ ให้ สอน สอน สอน ส่งลูกเรียน ส่งอบรม อะไรต่อมิอะไรตลอดเวลา  จนเราเองบางทีก็ลืมไปเหมือนกันว่า เราเองเป็นคนที่ใกล้ชิดลูกมากที่สุด  จะดีกว่าไหมถ้าเราจะลองปรับ ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการรับมือกับลูกดู เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกเป็นไปอย่างราบรื่น และเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกดีแล้ว  มันก็เหมือนดินที่ได้รับการพรวนจนร่วนซุย ปลูกอะไรลงไป รดน้ำใส่ปุ๋ยไป ต้นไม้ก็งอกงาม

นานาก่อทราย

            ดิฉันเองเคยผ่านงานมาหลายบทบาทในชีวิต เคยสอนหนังสือ เป็นหัวหน้างาน พบว่าการสอน การแนะ การโค้ช นักศึกษา ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน มันไม่ยากเหมือนการโค้ชลูก เพราะกับลูกบางทีเราจะมีดราม่าแม่ลูก การเล่นบทแม่มากเกินไปจนเหมือนน้ำเต็มแก้วที่ลูกใส่ข้อมูลอะไรลงมาให้เราไม่ได้เลย   เราจะเจอซีนประเภท  “เชื่อชั้น   ชั้นเป็นแม่”  จนบางทีเรากับลูกที่เมื่อโตขึ้น  กลับห่างเหินออกไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

             คอร์สนี้ สอนหลักคิดอะไรดี ๆ หลายอย่าง รวมถึงมี workshop สำหรับการพูดคุยถึงปัญหา แชร์ประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมสัมมนาแต่ละคน

             ดิฉันได้เรียนรู้

            1. การปรับ mindset ตัวเอง  

            2. การทำตัวเป็นโค้ช การสนทนาแบบโค้ช  คือ ฟังแบบไม่ด่วนตัดสิน ชี้แนะ และคอยไกด์ให้ลูกแก้ปัญหาได้โดยที่ลูกรู้สึกว่า ตัวเองแก้ปัญหาได้เอง ทำให้ลูกรู้สึกว่า ตัวเอง “เลือกชีวิต” ของตัวเองได้

            3. การแก้ปัญหาความไม่เข้าใจด้วยวิธีอันหลากหลาย

            4. การสื่อสารเชิงบวก ที่จะมีส่วนช่วยเสริมศักยภาพของลูกให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้น

            ฟัง ๆ ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องที่ต้องเข้าอบรมเลยใช่ไหมคะ ? เหมือนเป็น common sense แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว Common sense is not so common. ค่ะ

              หลายครั้ง ดิฉันเองก็พลาดไป พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด  พูดด้วยวิธีที่ไม่ควร  พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมาะ พูดด้วยความรู้สึกอคติมีอารมณ์และตัวตนเข้าครอบงำ  พูดด้วยความรู้สึกที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง   ด่วนตัดสินลูกหรือใช้คำพูด (ที่คิดว่าดี) ไม่ถูกจังหวะ และทำให้ลูกปิดกั้นตัวเองจากเรา
ยกตัวอย่างสิ่งสร้างสรรค์น่าสนใจที่ได้เรียนจากคอร์สนี้คือ

              1. Mindset ที่เชื่อในศักยภาพในตัวของลูก
                  - เชื่อว่า ไม่ว่าลูกจะทำอะไรพลาดไปก็ตาม ลูกทำดีที่สุดภายใต้ทรัพยากรและข้อจำกัดที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น
                  - เชื่อว่า คนเราสามารถปรับพฤติกรรมได้
                  - เชื่อว่า ไม่มีความล้มเหลวใด ๆ เป็นเพียงผลสะท้อนกลับของสิ่งที่เราป้อนเข้าไป เวลาเรามองว่า ทำไมลูกเราพูดไม่เพราะ เราอาจจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า “แล้วเราพูดเพราะกับลูกหรือไม่” 

               2. การสื่อสารที่สร้างสรรค์และไม่ตัดสิน มีส่วนช่วยในการเปลี่ยนพฤติกรรม และทำให้ความสัมพันธ์ราบรื่นขึ้น
                  - แทนที่จะพูดว่า “ทำไมลูกแย่อย่างนี้” “ทำไมคนอื่นไม่เป็น” ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง  เราสามารถเปลี่ยนเป็นพูดว่า “แม่รู้สึกเสียใจที่ลูกทำอย่างนี้” 
 
               จริง ๆ มันยังมีข้อปลีกย่อย และรายละเอียดสวยงามต่าง ๆ มากมายที่ได้เรียนรู้จากคอร์สนี้ค่ะ เลยคิดว่า ลองมาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ในชานเรือนดีกว่า เผื่อใครสนใจ
               ที่สำคัญการเรียนรู้ผ่าน workshop และการทำ group coaching ทำให้เราสามารถแชร์ส่วนที่เป็นปัญหาเฉพาะของเราเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย

 
               หลายปีมาแล้ว ดิฉันเคยเข้าร่วมสัมมนาคอร์สหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง  

               เมื่อถูกถามว่า ทำไมเธอจึงตัดสินใจมาเรียนคอร์สนี้
               คำตอบเธอน่าสนใจและมีเสน่ห์มากค่ะ

miniheart
                เธอตอบว่า ทุกปี เมื่อถึงวันเกิดเธอ  เธอจะให้ของขวัญตัวเองด้วยการไปลงเรียนอะไรสักอย่างที่เธอคิดว่าดีและน่าสนใจเพื่อพัฒนาปรับปรุงตัวเอง

                ดิฉันฟังคำตอบเธอแล้วก็ยิ้มตามค่ะ หลังจากนั้น ทุกคอร์สการอบรมใด ๆ ก็ตาม ดิฉันจะทรีทว่าเป็นการให้ของขวัญกับตัวเองเสมอ  ก็เราอยากเป็น better me ในทุก ๆ วันที่ผ่านไปนี่คะ
ชื่อสินค้า:   Be the 1st Coach --- คอร์สอบรมสำหรับพ่อแม่
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่