ก่อนอื่นขอยกข้อมูลการเกิดโรคมาให้อ่านกันก่อน ข้อความนี้เรายกมาจาก kapook .com เท่าที่อ่านดูก็เป็นแบบเดียวกับที่คุณหมอที่รักษาน้องอธิบายให้ฟังดังนี้ค่ะ
มาทำความรู้จัก โรคลำไส้อักเสบในสุนัข สาเหตุเกิดจากอะไร มีอาการที่สังเกตได้อย่างไร ต้องรักษาด้วยวิธีใด แล้วป้องกันได้หรือไม่ ตามไปดูกันค่ะ จะได้ช่วยชีวิตสุนัขได้ทันท่วงที
โรคลำไส้อักเสบถือเป็นโรคอันตรายของสุนัขอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว เนื่องจากโรคนี้ยังไม่มียาที่สามารถรักษาได้โดยตรง และที่สำคัญอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้ ฉะนั้นมาดูกันค่ะว่าโรคลำไส้อักเสบในสุนัขมีสาเหตุเกิดจากอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสุนัขติดเชื้อ มีวิธีรักษาหรือเปล่า หากยังไม่เป็นจะป้องกันสุนัขจากโรคนี้ได้อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ
สาเหตุของโรคลำไส้อักเสบในสุนัข
โรคลำไส้อักเสบในสุนัขเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น พยาธิ เชื้อแบคทีเรีย และไวรัส แต่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงคือการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า พาร์โวไวรัส หรือ Canine Parvovirus (CPV) กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือ ลูกสุนัขและลูกแมวอายุระหว่าง 6 สัปดาห์ถึง 6 เดือน ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้กับสุนัขโตด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ (Rottweilers), โดเบอร์แมน พินเชอร์ (Doberman Pinschers), พิทบูล (Pit Bulls), ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retrievers), เยอรมันเชพเพิท (German Shepherds), อิงลิช สปริงเจอร์ สเปเนียล (English Springer Spaniels) และสุนัขลากเลื่อน (Alaskan sled dogs)
ข้อมูลด้านบนนี้ Cr.kapok.com
ส่วนเรื่องราวของเราตามนี้เลยค่ะ
น้องหมาตัวที่ป่วยเป็นพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี อายุตอนนั้ประมาณ 1 ขวบ ซึ่งช่วงที่น้องป่วยนั้นหน้าจะเป็นช่วงที่โรคลำใส้อักเสบกำลังระบาด จากการสังเกตตอนนั้นมีน้องหมาในบ้านป่วยซึมไม่ยอมกินอาหารเป็นอยู่ประมาณ 1-2 วัน และเป็นติดต่อกันสองตัว ลักษณะคือเป็นต่อกันตัวแรกหายตัวที่สองเป็นต่อ และก็ต่อมาที่น้องไซบีเรียนฮัสกีเป็นตัวที่ 3 แต่น้องโชคร้ายที่น้องไม่หายบวกกับความสะเพร่าที่เราไม่ได้ฉีกวัคซีนป้องกันโรคลำใส้อักเสบให้น้องอย่างต่อเนื่อง สองตัวแรกที่เป็นแล้วหายเพราะยังมีวัคซีนอยู่นั่นเองค่ะ ตรงนี้เราอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญเมื่อครบกำหนดฉีดวัคซีนต่างๆ ให้กับน้องนะคะ
ตัดสินใจพาน้องไปหาหมอพราะน้องเริ่มมีอาการน้ำลายยืด เลยเริ่มสงสัยว่าน้องหน้าจะเป็นลำใส้อักเสบ ยอมรับว่าตัดสินใจช้าไปมากๆ โดยการรักษาน้องจนหายนั้นเราพาน้องหาหมอถึง 3 คลินิก
1.คลินิกแรกที่เราพาน้องไปรักษา (ป่วย 3 วัน) หมอเริ่มจากชั่งน้ำหนัก ตรวจดูและสอบถามอาการ ก็สรุปการวินิจฉัยโรคตามคาดคือน้องเป็นโรคคลำใส้อักเสบโดยการติดเชื่อไวรัสซึ่งหมอแจ้งว่าจากอาการของน้องนั้นหน้าจะเป็นพาร์โวไวรัส การรักษาหมอให้ยามาฉีดเองที่บ้านวันละ 3 เข็ม เป็นเวลา 3 วัน
2.คลินิกที่สอง (ป่วย 4 วัน) เราตัดสินใจพาน้องไปหาหมออีกครั้งแต่เปลี่ยนหมอหลังจากฉีดยาน้องครบ 3 เข็ม ในวันแรกที่หาหมอ ซึ่งเช้าอีกวันอาการน้องไม่ดีขึ้นเลย และดู่การการหน้าจะทรุดลงด้วยซ้ำ เลยเลือกเปลี่ยนหมอและแน่นอนไม่ลืมนำยาที่ฉีดให้น้องที่ได้จากคลินิกแรกมาให้คุณหมอดูด้วย (จะมารอบคอบอะไรตอนนี้) เมื่อพาน้องมาถึงคลินิกใหม่คุณหมอก็ให้ชั่งน้ำหนัก สอบถามเหมือนที่แรกและตรวจดูอาการ สิ่งที่คุณหมอทั้งสองที่เน้นถามคือน้องป่วยมากี่วันแล้ว แต่ที่ต่างคือคลิกนิกที่สองขอดูยาที่ฉีดให้น้อง (ตามคาด) สิ่งที่คุณหมอพูดหลังจากเห็นยาที่ใช้ฉีดให้น้องคือยาที่น้องได้รับการฉีดนั้นมีปริมาณที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว หมอเลยให้ยามาใหม่ตามน้ำหนักตัวน้องแต่ให้กลับมาฉีดเองที่บ้านเหมือนเดิม และเพิ่มเติมให้น้ำเกลือ เราก็รักษากันต่อด้วยการฉีดยาและให้น้ำเกลือแบบนี้ 2 วัน ระหว่างนี้ก็ฉีดน้ำผึ้งเข้าทางปากเพื่อให้น้องได้กินอะไรบ้างวิธีให้กินน้ำผึ้งนี้ได้จากโพสหนึ่งในพันธิปนี้เองค่ะ ผลคืออาการน้องไม่ดีขึ้นซ้ำยังทรุดลงไปอีก คิดว่าน้องคล้ายๆ คนปวดท้องจนอ้วก น้ำลายยืดและดูไม่ค่อยมีสติเพราะเวลาเราเรียกเค้าเค้าจะไม่ให้ความสนใจและงอตัวงอขาตลอกเวลา อีกอย่างคือชอบหลบตัวเองในพุ่มไม้หรือที่ลับตา หลังจากที่อาการน้องหนักขึ้นไม่กินอาหาร อ้วกสีเหลืองเยอะมากทั้งที่ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ถ่ายแหลวสีดำปนเลือด สิ่งที่หน้าจะทำให้น้องพอมีเรี่ยวแรงหน้าจะเป็นน้ำเกลือแต่ไม่แน่ใจว่าน้ำผึ้งที่ป้อนจะมีส่วนช่วยหรือไม่ เราจึงพาน้องไปหาหมอที่คลินิกที่สองอีกรอบ แต่รอบนี้เราเห็นสีหน้าคุณหมอดูหนักใจ และบอกกับเราว่าไม่มั่นใจว่าน้องจะหายมั้ยอยากให้ทำใจไว้ก่อน แต่ถึงยังไงน้องหน้าจะต้อง admit ซึ่งที่คลินิกคุณหมอไม่สามารถรับน้อง admit ได้เพราะคลินิกคุณหมอไม้ได้เตรียมสถานที่ไว้สำหรับน้องหมาที่ป่วยเป็นโรคติดต่อ (เนื่องจากน้องหมาที่เป็นโรคติดต่อต้องมีสถานที่ดูแลแยกจากตัวอื่นๆ และต้องทำความสะอาดล้างพื้นฆ่าเชื้อโรคทุกครั้งที่น้องขับถ่ายของแหลวออกมา) แต่คุณหมอคลินิกที่สองก็ไม่ได้ทิ้งพวกเรานะคะถึงแม้ทางคลินิกรับไว้ไม่ได้ คุณหมอกรุณาเรามากๆ ด้วยการช่วยโทรติดต่อไปที่คลินิกอื่นๆ ในระแวกนั้น คุณหมอโทรติดต่อไปถึงสามที่เพื่อที่จะหาที่รับน้องไว้ admit และก็ได้ที่คลินิกที่สามที่คุณหมอโทรไป ที่โชคดีคลินิกที่สามอยู่ใกล้กับคลินิกนี้มากๆ
3.คลินิกที่สาม (ป่วย 6 วัน) หลังจากที่เราพาน้องมาถึงคลินิกที่สาม คุณหมอก็ ช่างน้ำหนัก สอบถามและตรวจเบื้องต้นเหมือนเดิม และสุดท้ายคุณหมอถามว่าน้องป่วยมาแล้วกี่วัน เราตอบหมอไปว่าน้องป่วยมา 6 วัน คุณหมอตกลงรับน้องไว้ด้วยสีหน้าที่หนักใจและบอกให้เราทำใจไว้เพราะโดยปกติน้องหมาที่ป่วยด้วยโรคนี้จะมีโอกาสรอดน้อย และถ้าตัวไหนที่เป็นแล้วหายส่วนใหญ่จะหายป่วยเองใน 3-5 วันหลังจากที่เริ่มป่วย แต่เคสของน้องเราที่ป่วยมา 6 วันแล้วนั้นเจ้าของอาจจะต้องเผื่อใจไว้ ตอนนั้นเราก็เข้าใจแบบเศร้าๆ คืออยากจะร้องไห้ออกมาตรงนั้นแต่ต่อหน้าคนอื่นก็อดทนไว้ คุณหมอพาเราไปส่งน้องเข้ากรงสำหรับพักน้องเพื่อให้น้ำเกลือต่อและเสริมวิตามินลงไปในน้ำเกลือด้วย หลังจากส่งน้องเข้าพักเสร็จ คุณหมอก็คุยแผนรักษากับเราว่าเย็นวันนั้นหมอจะให้ยาที่แรงขึ้นกว่าปกติเพื่อต้านเชื้อแต่น้องอาจจะทนไม่ไหว หมอบอกว่าน้องจะรอดไม่รอดอยู่ที่ตัวเค้าว่าจะทนได้หรือไม่เพราะถ้าให้ยาตัวเดิมในความเห็นของคุณหมอคิดว่าเชื้อหน้าจะดื้อยาตัวเดิมแล้ว เราเองตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ไหวเลยโทรปรึกษาแฟนว่าจะรับแผนรักษาของหมอได้หรือไม่ สรุปแฟนเราตัดสินใจให้การรักษาอยู่ในดุลพินิจของคุณหมอ เมื่อตกลงการรักษาน้องได้แล้วตามนั้นเราก็กลับบ้านก่อนออกมาจากคลินิกเราฝากให้พี่ที่จะเป็นคนดูแล้วช่วยป้อนน้ำผึ้งที่เอามาจากบ้านให้น้องต่อ น้องพักรักษาตัวอยู่ที่คลินิกที่สามอีกปประมาณ 7 วัน อาการน้องดีขึ้นแต่ยังไม่หายเพราะน้องยังอ้วก ถ่ายแหลวปนเลือด ยังไม่ยอมกินอาหาร และผลการตรวจเลือดทุกๆ 3 วัน ค่าเลือดของน้องยังไม่ปกติ (ตลอดระยะเวลาที่น้องอยู่ที่คลินิกแฟนเราจะเข้าไปเยี่ยมน้องทุกวัน ไปเป็นกำลังใจและสวดมนต์ภาวนาให้น้องหาย คือทำทุกทางที่จะทำได้ในตอนนั้นนะคะ เผื่อมีใครไม่เข้าใจคิดว่าเรางมงายเรื่องแบบนี้พอเกิดกับตัวจะรู้เอง แต่ไม่ได้บอกว่าน้องหายเพราะสวดมนต์นะ) หมอจึงคุยเรื่องแผนรักษาอีกครั้งว่าจะให้ยาที่แรงขึ้นอีกเพราะดูจากอาการของน้องหน้าจะทนต่อการสู้เชื้อโรคและตัวยาได้มาก ขึ้นแล้ว เราก็ตกลงตามนั้นเพราะเราเชื่อมั่นมากขึ้นว่าน้องมีโอกาสหายและน้องจะได้กลับบ้าน สรุปรวมน้องพักรักษาตัวที่คลินิกที่สามถึง 15 วัน (ค่าใช้จ่ายไม่ต้องพูดถึงนะคะตามที่ทุกคนคาดเลยค่ะตัวเลขหลักหมื่น) น้องเริ่มกินอาหารบ้างก่อนวันที่ได้กลับบ้านประมาณ 3-4 วัน จากการพูดคุยกับคุณหมออาการที่บ่งบอกว่าน้องกลับบ้านได้คือ เริ่มกินอาหาร หายอ้วก และไม่มีเลือดปนออกมาเวลาขับถ่าย ก่อนรับน้องกลับบ้านที่คลินิกอาบน้ำตัดขนน้องให้เรียบร้อย วันนั้นน้องกลับมาหล่อแต่ตัวยังผอม ก่อนวันที่จะรับน้องกลับคุณหมอแนะนำให้เตรียมทำความสะอาดบ้านโดยให้ถูพื้นด้วยไฮเตอร์ เราก็ทำตามเพื่อฆ่าเชื่อโรคที่ยังค้างอยู่ในบริเวณบ้าน ฟังแบบนี้แล้วตอนนี้น้องยังไม่พ้นขีดอันตรายนะคะ การที่เค้ากลับบ้านก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำเพราะน้องยังไม่สามารถรับวัคซีนป้องกันโรคลำไส้อักเสบได้ในทันที่ เพราะฉนั้นเท่ากับว่าน้องกลับบ้านด้วยร่างกายที่ยังอ่อนแอและยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
หลังจากน้องกลับมาที่บ้านเรายังต้องพาน้องกลับไปตรวจเลือดอีกประมาณ 2 -3 ครั้ง เพื่อดูว่ามีค่าเลือดปกติและมีภูมิคุ้มกันที่มากขึ้น คุณหมอจึงจะฉีดวัตซีนให้น้องได้ เราโชคดีมากๆ ที่ได้น้องกลับมาซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเกิดขึ้นได้ หลังจากครั้งนั้นเราให้ความสำคัญกับการพาน้องไปฉีดวัคซีนมากๆ เพราะคือสิ่งสำคัญที่สุดถ้าเราไม่อยากเสียน้องที่น่ารักของเราไปนะคะ
แชร์ประสบการณ์ความโชคดี น้องหมาป่วยเป็นโรคลำใส้อักเสบแล้วรักษาจนหาย
มาทำความรู้จัก โรคลำไส้อักเสบในสุนัข สาเหตุเกิดจากอะไร มีอาการที่สังเกตได้อย่างไร ต้องรักษาด้วยวิธีใด แล้วป้องกันได้หรือไม่ ตามไปดูกันค่ะ จะได้ช่วยชีวิตสุนัขได้ทันท่วงที
โรคลำไส้อักเสบถือเป็นโรคอันตรายของสุนัขอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว เนื่องจากโรคนี้ยังไม่มียาที่สามารถรักษาได้โดยตรง และที่สำคัญอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตได้ ฉะนั้นมาดูกันค่ะว่าโรคลำไส้อักเสบในสุนัขมีสาเหตุเกิดจากอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสุนัขติดเชื้อ มีวิธีรักษาหรือเปล่า หากยังไม่เป็นจะป้องกันสุนัขจากโรคนี้ได้อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ
สาเหตุของโรคลำไส้อักเสบในสุนัข
โรคลำไส้อักเสบในสุนัขเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น พยาธิ เชื้อแบคทีเรีย และไวรัส แต่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงคือการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า พาร์โวไวรัส หรือ Canine Parvovirus (CPV) กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือ ลูกสุนัขและลูกแมวอายุระหว่าง 6 สัปดาห์ถึง 6 เดือน ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน ทว่าสามารถเกิดขึ้นได้กับสุนัขโตด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ (Rottweilers), โดเบอร์แมน พินเชอร์ (Doberman Pinschers), พิทบูล (Pit Bulls), ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retrievers), เยอรมันเชพเพิท (German Shepherds), อิงลิช สปริงเจอร์ สเปเนียล (English Springer Spaniels) และสุนัขลากเลื่อน (Alaskan sled dogs)
ข้อมูลด้านบนนี้ Cr.kapok.com
ส่วนเรื่องราวของเราตามนี้เลยค่ะ
น้องหมาตัวที่ป่วยเป็นพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี อายุตอนนั้ประมาณ 1 ขวบ ซึ่งช่วงที่น้องป่วยนั้นหน้าจะเป็นช่วงที่โรคลำใส้อักเสบกำลังระบาด จากการสังเกตตอนนั้นมีน้องหมาในบ้านป่วยซึมไม่ยอมกินอาหารเป็นอยู่ประมาณ 1-2 วัน และเป็นติดต่อกันสองตัว ลักษณะคือเป็นต่อกันตัวแรกหายตัวที่สองเป็นต่อ และก็ต่อมาที่น้องไซบีเรียนฮัสกีเป็นตัวที่ 3 แต่น้องโชคร้ายที่น้องไม่หายบวกกับความสะเพร่าที่เราไม่ได้ฉีกวัคซีนป้องกันโรคลำใส้อักเสบให้น้องอย่างต่อเนื่อง สองตัวแรกที่เป็นแล้วหายเพราะยังมีวัคซีนอยู่นั่นเองค่ะ ตรงนี้เราอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญเมื่อครบกำหนดฉีดวัคซีนต่างๆ ให้กับน้องนะคะ
ตัดสินใจพาน้องไปหาหมอพราะน้องเริ่มมีอาการน้ำลายยืด เลยเริ่มสงสัยว่าน้องหน้าจะเป็นลำใส้อักเสบ ยอมรับว่าตัดสินใจช้าไปมากๆ โดยการรักษาน้องจนหายนั้นเราพาน้องหาหมอถึง 3 คลินิก
1.คลินิกแรกที่เราพาน้องไปรักษา (ป่วย 3 วัน) หมอเริ่มจากชั่งน้ำหนัก ตรวจดูและสอบถามอาการ ก็สรุปการวินิจฉัยโรคตามคาดคือน้องเป็นโรคคลำใส้อักเสบโดยการติดเชื่อไวรัสซึ่งหมอแจ้งว่าจากอาการของน้องนั้นหน้าจะเป็นพาร์โวไวรัส การรักษาหมอให้ยามาฉีดเองที่บ้านวันละ 3 เข็ม เป็นเวลา 3 วัน
2.คลินิกที่สอง (ป่วย 4 วัน) เราตัดสินใจพาน้องไปหาหมออีกครั้งแต่เปลี่ยนหมอหลังจากฉีดยาน้องครบ 3 เข็ม ในวันแรกที่หาหมอ ซึ่งเช้าอีกวันอาการน้องไม่ดีขึ้นเลย และดู่การการหน้าจะทรุดลงด้วยซ้ำ เลยเลือกเปลี่ยนหมอและแน่นอนไม่ลืมนำยาที่ฉีดให้น้องที่ได้จากคลินิกแรกมาให้คุณหมอดูด้วย (จะมารอบคอบอะไรตอนนี้) เมื่อพาน้องมาถึงคลินิกใหม่คุณหมอก็ให้ชั่งน้ำหนัก สอบถามเหมือนที่แรกและตรวจดูอาการ สิ่งที่คุณหมอทั้งสองที่เน้นถามคือน้องป่วยมากี่วันแล้ว แต่ที่ต่างคือคลิกนิกที่สองขอดูยาที่ฉีดให้น้อง (ตามคาด) สิ่งที่คุณหมอพูดหลังจากเห็นยาที่ใช้ฉีดให้น้องคือยาที่น้องได้รับการฉีดนั้นมีปริมาณที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว หมอเลยให้ยามาใหม่ตามน้ำหนักตัวน้องแต่ให้กลับมาฉีดเองที่บ้านเหมือนเดิม และเพิ่มเติมให้น้ำเกลือ เราก็รักษากันต่อด้วยการฉีดยาและให้น้ำเกลือแบบนี้ 2 วัน ระหว่างนี้ก็ฉีดน้ำผึ้งเข้าทางปากเพื่อให้น้องได้กินอะไรบ้างวิธีให้กินน้ำผึ้งนี้ได้จากโพสหนึ่งในพันธิปนี้เองค่ะ ผลคืออาการน้องไม่ดีขึ้นซ้ำยังทรุดลงไปอีก คิดว่าน้องคล้ายๆ คนปวดท้องจนอ้วก น้ำลายยืดและดูไม่ค่อยมีสติเพราะเวลาเราเรียกเค้าเค้าจะไม่ให้ความสนใจและงอตัวงอขาตลอกเวลา อีกอย่างคือชอบหลบตัวเองในพุ่มไม้หรือที่ลับตา หลังจากที่อาการน้องหนักขึ้นไม่กินอาหาร อ้วกสีเหลืองเยอะมากทั้งที่ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ถ่ายแหลวสีดำปนเลือด สิ่งที่หน้าจะทำให้น้องพอมีเรี่ยวแรงหน้าจะเป็นน้ำเกลือแต่ไม่แน่ใจว่าน้ำผึ้งที่ป้อนจะมีส่วนช่วยหรือไม่ เราจึงพาน้องไปหาหมอที่คลินิกที่สองอีกรอบ แต่รอบนี้เราเห็นสีหน้าคุณหมอดูหนักใจ และบอกกับเราว่าไม่มั่นใจว่าน้องจะหายมั้ยอยากให้ทำใจไว้ก่อน แต่ถึงยังไงน้องหน้าจะต้อง admit ซึ่งที่คลินิกคุณหมอไม่สามารถรับน้อง admit ได้เพราะคลินิกคุณหมอไม้ได้เตรียมสถานที่ไว้สำหรับน้องหมาที่ป่วยเป็นโรคติดต่อ (เนื่องจากน้องหมาที่เป็นโรคติดต่อต้องมีสถานที่ดูแลแยกจากตัวอื่นๆ และต้องทำความสะอาดล้างพื้นฆ่าเชื้อโรคทุกครั้งที่น้องขับถ่ายของแหลวออกมา) แต่คุณหมอคลินิกที่สองก็ไม่ได้ทิ้งพวกเรานะคะถึงแม้ทางคลินิกรับไว้ไม่ได้ คุณหมอกรุณาเรามากๆ ด้วยการช่วยโทรติดต่อไปที่คลินิกอื่นๆ ในระแวกนั้น คุณหมอโทรติดต่อไปถึงสามที่เพื่อที่จะหาที่รับน้องไว้ admit และก็ได้ที่คลินิกที่สามที่คุณหมอโทรไป ที่โชคดีคลินิกที่สามอยู่ใกล้กับคลินิกนี้มากๆ
3.คลินิกที่สาม (ป่วย 6 วัน) หลังจากที่เราพาน้องมาถึงคลินิกที่สาม คุณหมอก็ ช่างน้ำหนัก สอบถามและตรวจเบื้องต้นเหมือนเดิม และสุดท้ายคุณหมอถามว่าน้องป่วยมาแล้วกี่วัน เราตอบหมอไปว่าน้องป่วยมา 6 วัน คุณหมอตกลงรับน้องไว้ด้วยสีหน้าที่หนักใจและบอกให้เราทำใจไว้เพราะโดยปกติน้องหมาที่ป่วยด้วยโรคนี้จะมีโอกาสรอดน้อย และถ้าตัวไหนที่เป็นแล้วหายส่วนใหญ่จะหายป่วยเองใน 3-5 วันหลังจากที่เริ่มป่วย แต่เคสของน้องเราที่ป่วยมา 6 วันแล้วนั้นเจ้าของอาจจะต้องเผื่อใจไว้ ตอนนั้นเราก็เข้าใจแบบเศร้าๆ คืออยากจะร้องไห้ออกมาตรงนั้นแต่ต่อหน้าคนอื่นก็อดทนไว้ คุณหมอพาเราไปส่งน้องเข้ากรงสำหรับพักน้องเพื่อให้น้ำเกลือต่อและเสริมวิตามินลงไปในน้ำเกลือด้วย หลังจากส่งน้องเข้าพักเสร็จ คุณหมอก็คุยแผนรักษากับเราว่าเย็นวันนั้นหมอจะให้ยาที่แรงขึ้นกว่าปกติเพื่อต้านเชื้อแต่น้องอาจจะทนไม่ไหว หมอบอกว่าน้องจะรอดไม่รอดอยู่ที่ตัวเค้าว่าจะทนได้หรือไม่เพราะถ้าให้ยาตัวเดิมในความเห็นของคุณหมอคิดว่าเชื้อหน้าจะดื้อยาตัวเดิมแล้ว เราเองตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ไหวเลยโทรปรึกษาแฟนว่าจะรับแผนรักษาของหมอได้หรือไม่ สรุปแฟนเราตัดสินใจให้การรักษาอยู่ในดุลพินิจของคุณหมอ เมื่อตกลงการรักษาน้องได้แล้วตามนั้นเราก็กลับบ้านก่อนออกมาจากคลินิกเราฝากให้พี่ที่จะเป็นคนดูแล้วช่วยป้อนน้ำผึ้งที่เอามาจากบ้านให้น้องต่อ น้องพักรักษาตัวอยู่ที่คลินิกที่สามอีกปประมาณ 7 วัน อาการน้องดีขึ้นแต่ยังไม่หายเพราะน้องยังอ้วก ถ่ายแหลวปนเลือด ยังไม่ยอมกินอาหาร และผลการตรวจเลือดทุกๆ 3 วัน ค่าเลือดของน้องยังไม่ปกติ (ตลอดระยะเวลาที่น้องอยู่ที่คลินิกแฟนเราจะเข้าไปเยี่ยมน้องทุกวัน ไปเป็นกำลังใจและสวดมนต์ภาวนาให้น้องหาย คือทำทุกทางที่จะทำได้ในตอนนั้นนะคะ เผื่อมีใครไม่เข้าใจคิดว่าเรางมงายเรื่องแบบนี้พอเกิดกับตัวจะรู้เอง แต่ไม่ได้บอกว่าน้องหายเพราะสวดมนต์นะ) หมอจึงคุยเรื่องแผนรักษาอีกครั้งว่าจะให้ยาที่แรงขึ้นอีกเพราะดูจากอาการของน้องหน้าจะทนต่อการสู้เชื้อโรคและตัวยาได้มาก ขึ้นแล้ว เราก็ตกลงตามนั้นเพราะเราเชื่อมั่นมากขึ้นว่าน้องมีโอกาสหายและน้องจะได้กลับบ้าน สรุปรวมน้องพักรักษาตัวที่คลินิกที่สามถึง 15 วัน (ค่าใช้จ่ายไม่ต้องพูดถึงนะคะตามที่ทุกคนคาดเลยค่ะตัวเลขหลักหมื่น) น้องเริ่มกินอาหารบ้างก่อนวันที่ได้กลับบ้านประมาณ 3-4 วัน จากการพูดคุยกับคุณหมออาการที่บ่งบอกว่าน้องกลับบ้านได้คือ เริ่มกินอาหาร หายอ้วก และไม่มีเลือดปนออกมาเวลาขับถ่าย ก่อนรับน้องกลับบ้านที่คลินิกอาบน้ำตัดขนน้องให้เรียบร้อย วันนั้นน้องกลับมาหล่อแต่ตัวยังผอม ก่อนวันที่จะรับน้องกลับคุณหมอแนะนำให้เตรียมทำความสะอาดบ้านโดยให้ถูพื้นด้วยไฮเตอร์ เราก็ทำตามเพื่อฆ่าเชื่อโรคที่ยังค้างอยู่ในบริเวณบ้าน ฟังแบบนี้แล้วตอนนี้น้องยังไม่พ้นขีดอันตรายนะคะ การที่เค้ากลับบ้านก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำเพราะน้องยังไม่สามารถรับวัคซีนป้องกันโรคลำไส้อักเสบได้ในทันที่ เพราะฉนั้นเท่ากับว่าน้องกลับบ้านด้วยร่างกายที่ยังอ่อนแอและยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
หลังจากน้องกลับมาที่บ้านเรายังต้องพาน้องกลับไปตรวจเลือดอีกประมาณ 2 -3 ครั้ง เพื่อดูว่ามีค่าเลือดปกติและมีภูมิคุ้มกันที่มากขึ้น คุณหมอจึงจะฉีดวัตซีนให้น้องได้ เราโชคดีมากๆ ที่ได้น้องกลับมาซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเกิดขึ้นได้ หลังจากครั้งนั้นเราให้ความสำคัญกับการพาน้องไปฉีดวัคซีนมากๆ เพราะคือสิ่งสำคัญที่สุดถ้าเราไม่อยากเสียน้องที่น่ารักของเราไปนะคะ