"สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้ คือพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง
ไม่เช่นนั้นแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ก็จะถูก USA ขวางลำไปตลอดกาล"
USA กำลังทำสงครามกับเขตเทคโนโลยี ในเซินเจิ้น (Shenzhen) ประเทศจีน
27/6/2019
มีโจ๊กที่กลายเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์จีนหลังจากที่สงครามการค้าสหรัฐฯและจีนบานปลายมาเป็นสงครามเทคโนโลยีที่ดุเดือดเลือดพล่านในเดือนที่ผ่านมา เป้าหมายที่ทางสหรัฐฯกำหนดไว้บนแผนที่เผด็จศึกโจมตีให้ย่อยยับคือ เขตเย่ว์ไห่ ในนครเซินเจิ้น มากกว่าที่จะเป็นประเทศจีน
เขตเย่ว์ไห่นี้เป็นที่ตั้งของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ชื่อสะท้านพิภพของจีน ทั้งยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียจีน
เทนเซนต์ (Tencent) ผู้ผลิตโทรคมนาคม
ZTE และยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตโดรน
DJI เขตนี้จึงได้สมญาว่า “ซิลลิคอน วัลลเลย์แห่งเมืองจีน”
“รัฐบาลสหรัฐฯได้เริ่มสงครามเทคโนโลยีกับเย่ว์ไห่ มากกว่าที่จะเป็นประเทศจีน และเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นในเขตนี้น่าจะเป็นผู้แทนไปเจรจากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มากกว่า” เซาท์ ไช่น่า มอร์นิ่ง โพสต์ ได้อ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้หนึ่งที่ดูแลเขตเย่ว์ไห่
ตามถนนสายต่างๆในเย่วไห่เป็นที่ตั้งของบรรดาสำนักงานใหญ่บริษัทเทคโนโลยี สำนักงานดั้งเดิมของเทนเซนต์ตั้งอยู่ที่ถนนวิทยาศาสตร์และการวิจัย (Science and Research Road) ขณะที่สำนักงานใหญ่ของ DJI บนถนนไฮ เทค (High Tech Road) อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก เพียงเดินราวครึ่งชั่วโมงก็ถึง
และหากเดินทางโดยรถยนต์ ไปอีกประมาณ 30 นาที ก็ถึงหมู่ตึกสำนักงานใหญ่ของบริษัท
หัวเหวย เทคโนโลยีส์ (Huawei Technologies)ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมที่เป็นศูนย์กลางของสงครามเทคโนโลยีที่กำลังบานปลายหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ห้ามกลุ่มบริษัทอเมริกันขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฮเทคให้กับกลุ่มบริษัทในบัญชีดำการค้า ซึ่งมีหัวเว่ยรวมอยู่ด้วย
80 เปอร์เซนต์ของโดรนที่ใช้กันอยู่สหรัฐฯและแคนนาดานั้นเป็นของ DJI ซึ่งอยู่ในบัญชีดำการค้าของสหรัฐฯด้วยเช่นกัน
บริษัทรายใหญ่แห่งเย่ว์ไห่ที่ยังไม่โดนไฟสงครามการค้าซัดกระหน่ำ คือ
เทนเซนต์ ผู้ประกอบการแพลตฟอร์ม
วีแชท (WeChat) ซีอีโอของ
เทนเซนต์ นาย หม่า ฮว่า เถิง ได้กล่าวถึงโจ๊กที่เป็นกระแสไวรัลในซัมมิตเทคโนโลยีที่เซินเจิ้นเมื่อเดือนที่แล้ว “มันถูกส่งต่อไปทั่วหย่อมหญ้าของโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว”
นครเซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งแรกของจีนตามนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศที่ประกาศเมื่อสี่สิบปีที่แล้วโดยเป็นเขตที่เปิดรับทุนนิยมและและทุนต่างประเทศในปี 1979 การพัฒนาดังกล่าวได้พลิกโฉมเซินเจิ้นจากหมู่บ้านประมงที่มีประชากรเพียง 30,000 คน กลายเป็นเมืองยักษ์ใหญ่แห่งนวัตกรรมและการผลิต ที่มีประชากรกว่า 13 ล้านคน
นอกจากเป็นฐานประกอบการของกลุ่มบริษัทรายใหญ่อย่าง
ZTE, DJI และ
Tencent เย่วห์ไห่ยังเป็นศูนย์รวมของศูนย์การวิจัยและเทคโนโลยีระดับชาตินับสิบราย ตลอดจนเป็นถิ่นของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี อย่างเช่น as
Shenzhen Dazu Laser Technology และ
Kingdee Software Group
ขณะนี้เซินเจิ้นกำลังผจญกับห่ากระสุนจากสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ-จีน เนื่องจากเป็นแหล่งพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดนับจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปถึงโดรน และหุ่นยนต์ “เขตไฮเทคแห่งเย่ว์ไห่มีสถานภาพที่พิเศษมาก มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมไฮเทค” หม่าแห่งเทนเซนท์ กล่าว
ผู้สื่อ
ข่าวเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ยังได้สัมภาษณ์กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร โปรแกรมเมอร์รุ่นเยาว์ ผู้ไม่ต้องการเผยชื่อแซ่ตัวเองและชื่อบริษัทที่ทำงานอยู่ เนื่องจากไมได้รับอนุญาตให้พูดกับสื่อ
“ทั้งสหรัฐฯและจีน จะไม่มีใครชนะทั้งนั้น หัวเว่ยและผู้ผลิตไฮเทคจะเจ็บหนักหากสงครามยังดำเนินต่อไป และผมไม่คิดว่าสหรัฐฯมีความพร้อมพอที่จะตัดขาดจากจีน” วิศวกรผู้หนึ่งกล่าว และว่า “ความขัดแย้งนี้มาจากการที่จีนต้องการมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้สหรัฐฯรู้สึกว่าตนกำลังถูกคุกคาม”
โปรแกรมเมอร์ชายผู้หนึ่งกล่าวว่าหัวเว่ยและผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เทคโนโลยีกลุ่มหนึ่งอยู่ในศูนย์กลางของพายุ หากมันยังดำเนินต่อไปทุกคนก็จะรู้สึกถึงผลกระทบด้านลบ “สำหรับบริษัทผมยังไม่มีการปลดคนออกในตอนนี้ แต่มีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การตลาด และสะดุดตอในการขายผลิตภัณฑ์บางกลุ่ม”
ด้านรัฐบาลเซินเจิ้นได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อผ่อนเพลาผลกระทบต่อเศรษฐกิจเทคโนโลยีของท้องถิ่นซึ่งมีสัดส่วนเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเมือง โดยประกาศตัดลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคลประจำปีจากระดับ 45 เปอร์เซ็นต์ ลดเหลือ 15 เปอร์เซ็นต์ เซินเจิ้นจะนำรายได้จากการดำเนินธุรกิจ (operating income) ของตัวเองมาชดเชยรายได้จากภาษีที่ลดลง รองนายกเทศมนตรี หวัง ลี่ซิน เผย
หลังจากที่สหรัฐฯแบน
ZTE ในปี 2017 ซึ่งการแบนฯนี้ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อ
ZTE จ่ายค่าปรับ 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และสัญญาปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ในตอนนั้นประธานาธิบดีสี จิ้นผิงออกมากระตุ้นให้จีนทำทุกวิถีทางที่จะยืนด้วยลำแข้งตัวในด้านวิทยาศาสตร์ให้ได้ เสียงเรียกร้องของประมุขแดนมังกรยิ่งดังมากขึ้นเมื่อหัวเว่ยประสบชะตากรรมคล้ายกันโดยถูกสกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน
“ฉันคิดว่าการกระทำของสหรัฐฯนั้นป่าเถื่อน สิ่งที่ทรัมป์ทำนั้นไม่ใช่การกระทำของผู้ที่มองการณ์ไกล เทรนด์ของโลกาภิวัตน์ไม่อาจที่จะหยุดยั้งได้แล้ว”
นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์อีกคนกล่าวว่า
"การบ่นหรือเอาแต่โกรธเกรี้ยว มิได้ช่วยแก้ไขปัญหาใด
สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้ คือพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง
ไม่เช่นนั้นแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ก็จะถูก USA ขวางลำไปตลอดกาล"
https://mgronline.com/china/detail/9620000061256
USA กำลังทำสงครามกับเขตเทคโนโลยี ในเซินเจิ้น (Shenzhen) ประเทศจีน
ไม่เช่นนั้นแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ก็จะถูก USA ขวางลำไปตลอดกาล"
USA กำลังทำสงครามกับเขตเทคโนโลยี ในเซินเจิ้น (Shenzhen) ประเทศจีน
27/6/2019
มีโจ๊กที่กลายเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์จีนหลังจากที่สงครามการค้าสหรัฐฯและจีนบานปลายมาเป็นสงครามเทคโนโลยีที่ดุเดือดเลือดพล่านในเดือนที่ผ่านมา เป้าหมายที่ทางสหรัฐฯกำหนดไว้บนแผนที่เผด็จศึกโจมตีให้ย่อยยับคือ เขตเย่ว์ไห่ ในนครเซินเจิ้น มากกว่าที่จะเป็นประเทศจีน
เขตเย่ว์ไห่นี้เป็นที่ตั้งของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ชื่อสะท้านพิภพของจีน ทั้งยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียจีน เทนเซนต์ (Tencent) ผู้ผลิตโทรคมนาคม ZTE และยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตโดรน DJI เขตนี้จึงได้สมญาว่า “ซิลลิคอน วัลลเลย์แห่งเมืองจีน”
“รัฐบาลสหรัฐฯได้เริ่มสงครามเทคโนโลยีกับเย่ว์ไห่ มากกว่าที่จะเป็นประเทศจีน และเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นในเขตนี้น่าจะเป็นผู้แทนไปเจรจากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มากกว่า” เซาท์ ไช่น่า มอร์นิ่ง โพสต์ ได้อ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้หนึ่งที่ดูแลเขตเย่ว์ไห่
ตามถนนสายต่างๆในเย่วไห่เป็นที่ตั้งของบรรดาสำนักงานใหญ่บริษัทเทคโนโลยี สำนักงานดั้งเดิมของเทนเซนต์ตั้งอยู่ที่ถนนวิทยาศาสตร์และการวิจัย (Science and Research Road) ขณะที่สำนักงานใหญ่ของ DJI บนถนนไฮ เทค (High Tech Road) อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก เพียงเดินราวครึ่งชั่วโมงก็ถึง
และหากเดินทางโดยรถยนต์ ไปอีกประมาณ 30 นาที ก็ถึงหมู่ตึกสำนักงานใหญ่ของบริษัทหัวเหวย เทคโนโลยีส์ (Huawei Technologies)ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมที่เป็นศูนย์กลางของสงครามเทคโนโลยีที่กำลังบานปลายหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ห้ามกลุ่มบริษัทอเมริกันขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฮเทคให้กับกลุ่มบริษัทในบัญชีดำการค้า ซึ่งมีหัวเว่ยรวมอยู่ด้วย
80 เปอร์เซนต์ของโดรนที่ใช้กันอยู่สหรัฐฯและแคนนาดานั้นเป็นของ DJI ซึ่งอยู่ในบัญชีดำการค้าของสหรัฐฯด้วยเช่นกัน
บริษัทรายใหญ่แห่งเย่ว์ไห่ที่ยังไม่โดนไฟสงครามการค้าซัดกระหน่ำ คือเทนเซนต์ ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มวีแชท (WeChat) ซีอีโอของเทนเซนต์ นาย หม่า ฮว่า เถิง ได้กล่าวถึงโจ๊กที่เป็นกระแสไวรัลในซัมมิตเทคโนโลยีที่เซินเจิ้นเมื่อเดือนที่แล้ว “มันถูกส่งต่อไปทั่วหย่อมหญ้าของโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว”
นครเซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งแรกของจีนตามนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศที่ประกาศเมื่อสี่สิบปีที่แล้วโดยเป็นเขตที่เปิดรับทุนนิยมและและทุนต่างประเทศในปี 1979 การพัฒนาดังกล่าวได้พลิกโฉมเซินเจิ้นจากหมู่บ้านประมงที่มีประชากรเพียง 30,000 คน กลายเป็นเมืองยักษ์ใหญ่แห่งนวัตกรรมและการผลิต ที่มีประชากรกว่า 13 ล้านคน
นอกจากเป็นฐานประกอบการของกลุ่มบริษัทรายใหญ่อย่าง ZTE, DJI และ Tencent เย่วห์ไห่ยังเป็นศูนย์รวมของศูนย์การวิจัยและเทคโนโลยีระดับชาตินับสิบราย ตลอดจนเป็นถิ่นของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี อย่างเช่น as Shenzhen Dazu Laser Technology และ Kingdee Software Group
ขณะนี้เซินเจิ้นกำลังผจญกับห่ากระสุนจากสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ-จีน เนื่องจากเป็นแหล่งพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดนับจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปถึงโดรน และหุ่นยนต์ “เขตไฮเทคแห่งเย่ว์ไห่มีสถานภาพที่พิเศษมาก มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมไฮเทค” หม่าแห่งเทนเซนท์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ยังได้สัมภาษณ์กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร โปรแกรมเมอร์รุ่นเยาว์ ผู้ไม่ต้องการเผยชื่อแซ่ตัวเองและชื่อบริษัทที่ทำงานอยู่ เนื่องจากไมได้รับอนุญาตให้พูดกับสื่อ
“ทั้งสหรัฐฯและจีน จะไม่มีใครชนะทั้งนั้น หัวเว่ยและผู้ผลิตไฮเทคจะเจ็บหนักหากสงครามยังดำเนินต่อไป และผมไม่คิดว่าสหรัฐฯมีความพร้อมพอที่จะตัดขาดจากจีน” วิศวกรผู้หนึ่งกล่าว และว่า “ความขัดแย้งนี้มาจากการที่จีนต้องการมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้สหรัฐฯรู้สึกว่าตนกำลังถูกคุกคาม”
โปรแกรมเมอร์ชายผู้หนึ่งกล่าวว่าหัวเว่ยและผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เทคโนโลยีกลุ่มหนึ่งอยู่ในศูนย์กลางของพายุ หากมันยังดำเนินต่อไปทุกคนก็จะรู้สึกถึงผลกระทบด้านลบ “สำหรับบริษัทผมยังไม่มีการปลดคนออกในตอนนี้ แต่มีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การตลาด และสะดุดตอในการขายผลิตภัณฑ์บางกลุ่ม”
ด้านรัฐบาลเซินเจิ้นได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อผ่อนเพลาผลกระทบต่อเศรษฐกิจเทคโนโลยีของท้องถิ่นซึ่งมีสัดส่วนเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเมือง โดยประกาศตัดลดภาษีเงินได้ส่วนบุคคลประจำปีจากระดับ 45 เปอร์เซ็นต์ ลดเหลือ 15 เปอร์เซ็นต์ เซินเจิ้นจะนำรายได้จากการดำเนินธุรกิจ (operating income) ของตัวเองมาชดเชยรายได้จากภาษีที่ลดลง รองนายกเทศมนตรี หวัง ลี่ซิน เผย
หลังจากที่สหรัฐฯแบน ZTE ในปี 2017 ซึ่งการแบนฯนี้ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อ ZTE จ่ายค่าปรับ 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และสัญญาปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ในตอนนั้นประธานาธิบดีสี จิ้นผิงออกมากระตุ้นให้จีนทำทุกวิถีทางที่จะยืนด้วยลำแข้งตัวในด้านวิทยาศาสตร์ให้ได้ เสียงเรียกร้องของประมุขแดนมังกรยิ่งดังมากขึ้นเมื่อหัวเว่ยประสบชะตากรรมคล้ายกันโดยถูกสกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน
“ฉันคิดว่าการกระทำของสหรัฐฯนั้นป่าเถื่อน สิ่งที่ทรัมป์ทำนั้นไม่ใช่การกระทำของผู้ที่มองการณ์ไกล เทรนด์ของโลกาภิวัตน์ไม่อาจที่จะหยุดยั้งได้แล้ว”
นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์อีกคนกล่าวว่า
"การบ่นหรือเอาแต่โกรธเกรี้ยว มิได้ช่วยแก้ไขปัญหาใด
สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้ คือพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง
ไม่เช่นนั้นแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ก็จะถูก USA ขวางลำไปตลอดกาล"
https://mgronline.com/china/detail/9620000061256