รีวิวหนัง SpiderMan:Far From Home 2019 มีความเป็นหนังรักวัยรุ่นที่ดูสนุกและน่ารักแต่ก็มีข้อด้อยอยู่ไม่ใช่น้อย [ไม่สปอยล]

#รีวิวหนังbypopcash ไม่สปอยล์

เรื่อง: SpiderMan:Far From Home 2019


     อันดับแรกเลยก็ต้องข้อกล่าวสวัสดีกันก่อนนะครับทุกคน ยินดีต้อนรับเข้าสู่เพจ “POPCASH STUDIO” เพจที่จะมาเป็นพื้นที่ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นเรื่องหนัง ซีรี่ย์ หรือการ์ตูนในดวงใจ ไปพร้อมๆกับการมโนเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับโลกภาพยนตร์ สำหรับรีวิวนี้ก็นับเป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกของเพจนี้เลยก็ว่าได้ และสำหรับหนังเรื่องแรกที่ผมจะขอหยิบยกมารีวิวกันก่อนก็คืออออ… “SpiderMan:Far From Home” นั้นเอง จะเป็นยังไงก็ไปติดตามอ่านกันได้เลยครับ ^^

เรื่องย่อ: หลังจากวีรกรรมอันห้าวหาญของเหล่า “Avengers” ในภาค “EndGame” ก็ทำให้โลกกลับมาสงบสุขอีกครั้ง “Peter Parker” (Tom Holland ) ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติและยังคงทำหน้าที่เป็น “SpiderMan” เพื่อนบ้านที่แสนดีต่อไป จนกระทั่งตัว Peter ได้ไปร่วมทัศนศึกษากับเพื่อนๆไกลถึงยุโรป เรื่องราววุ่นๆก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อจู่ๆก็มีตัวร้ายปริศนาโผล่มาทำลายเมือง เขาจึงจำเป็นต้องร่วมมือกับฮีโร่ปริศนาอย่าง “Mysterio” (Jake Gyllenhaal) ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นนักเดินทางจากมิติอื่น?...

ความรู้สึกหลังดูจบ: ส่วนตัวผมมองว่ามันก็สนุกดีนะ ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมากมันก็คือหนังที่ดูบันเทิงตามสูตรสำเร็จทั่วๆไป แต่ถ้าลองมองลึกๆดูก็อาจจะเห็นถึงจุดด่อยหรือจุดที่น่าผิดหวังมากพอสมควรเลยในหนัง สำหรับผมแล้วสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดเลยก็คือตัวละคร Mysterio ที่นำแสดงโดย Jake Gyllenhaal ซึ่งอาจจะเป็นความเห็นที่แตกต่างไปจากใครหลายๆคน (เพราะเหมือนส่วนใหญ่จะชอบนะ) เดี๋ยวผมจะอธิบายไปทีละสเต็ปละกันว่าอะไรเป็นอะไร

#ความเป็นหนังรักวัยรุ่น
     สิ่งแรกที่ผมขอหยิบมาพูดถึงก่อนเลยก็คืออารมณ์ของความเป็นหนังรักวัยรุ่นที่ถูกอัดแน่นเข้ามาอยู่ในหนังอย่างเต็มเปี่ยมโดยเฉพาะในช่วงองค์แรก ต้องบอกเลยว่านี่คือสิ่งที่ผมชอบที่สุดในหนัง ส่วนหนึ่งก็เพราะผมเป็นคนที่ชอบโทนหนังประเภทนี้อยู่แล้ว และในหนังเรื่องนี้ก็นำเสนอเรื่องราวในส่วนนี้ออกมาได้ดูน่ารักมากๆ มันมีมุมมองของความเป็นเด็กที่ดูเนิร์ดๆและไร้เดียงสาที่พยายามหาทางจีบกันไรงี้ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกจิ้นๆฟินๆไปกับความน่ารักแบบเด็กของตัวละครเหล่านี้อย่างบอกไม่ถูกเลย ที่สำคัญหนังมักจะมีการเอาความซวยและความเปิ่นของ “Character” อย่าง Peter พระเอกของเรื่องมาสร้างเป็น “Conflict” ที่ทำให้อะไรๆดูผิดที่ผิดทางจนเกิดความชุลมุนวุ่นวายได้ตลอด (ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนสไปดี้ก็คงจะรู้ดีว่าอีตา Peter มันเป็นเทพเจ้าแห่งความดวงซวยขนาดไหน) และด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้หนังมีอารมณ์ขบขันเบาสมองและทำให้เราสนุกเพลิดเพลินได้ตลอด

#ผลกระทบจากเหตุการณ์ Snap
     เนื่องจากมันเป็นเหตุการณ์หลังจาก “Avengers Endgame” ดังนั้นหนังจึงมีการกล่าวถึงผลกระทบที่เกิดจากการ Snap ทั้ง 2 ครั้งด้วย ซึ่งต้องบอกเลยหนังกล่าวถึงได้กระชับรวดรัดและเข้าใจง่ายมากๆ ที่สำคัญมันยังสอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคมและเป็นธรรมชาติมากๆ

#เคมีของตัวละครเข้าขากันดีมาก (โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก)
     อย่างที่ผมบอกว่าหนังมันจะมีความเป็นหนังรักวัยรุ่นอยู่สูง ดังนั้นตัวละครเด็กๆในเรื่องจึงมีความสำคัญและถูกโฟกัสมาก ซึ่งผมชอบตัวละครเหล่านี้มากมันดูเขาขากันดีอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะตัวนักแสดงที่ถ่ายทอดความเป็นเด็กออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและดูเหมาะกับ Character นอกจากนี้หนังยังมีการจับคู่ตัวละครให้ไปอยู่ด้วยกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ มันจึงยิ่งส่งเสริมเคมีให้เข้ากันเข้าไปอีก อย่างเช่น คู่พระนาง PeterและMJ ที่เหมือนจะมีความต่างกันคนนึงเป็นผู้ชายเนิร์ดๆไม่ค่อยมีความมั่นใจ คนนึงเป็นผู้หญิงตรงๆมีความลึกลับซับซ้อนน่าค้นหา ความแตกต่างเหล่านี้แหละครับที่พอมันมาอยู่ด้วยกันมันเลยเกิดมุมมองที่น่าสนใจและเป็นการเติมเต็มให้กันและกันด้วย แถม MJ( Zendaya) เวอร์ชั่นนี้ยังดีน่ารักสุดๆด้วยผมชอบมาก หรือจะเป็นอีกคู่ที่ขโมยซีนสุดๆอย่างคู่ของ Nedกับ Betty ที่ต้องบอกเลยว่าคู่ยิ้มดูไม่สมกันเลยยยยย แต่ก็นั้นแหละครับที่ทำให้มันดูน่ารักและน่าหมั่นไส้ไปอีกแบบ Betty (Angourie Rice) ก็น่ารักเว่อร์ๆๆๆๆ

#ดราม่าไม่เวิร์ค
     การเล่าหรือการบิ้วอารมณ์ดราม่าภายในหนังเรื่องนี้ถือว่าสอบตก คือมันแย่มากอะผมว่าไม่โอเคเลย ส่วนนึงก็อาจจะเพราะความติดตลกของหนังซึ่งเหมือนจะเป็นข้อดีแต่บางทีก็ติดตลกเกินไปในช่วงที่ไม่ควรจะตลก จนทำให้ในบางจังหวะที่น่าจะจริงจังกลายเป็นไม่จริงจังซะงั้น!! และที่สำคัญจังหวะของซีนอารมณ์บางจังหวะก็ยังถูกใส่เข้ามาอย่างฉายฉวยและก็ให้มันจบไปแบบดื้อๆ ผมจะยกตัวอย่างฉากนึงจะไม่สปอยล์ขอบอกแค่ว่ามันเป็นฉากบนเครื่องบิน ซึ่งอยู่ๆตัวละครยิ้มนึกจะระเบิดอารมณ์ก็ระเบิดขึ้นมาแบบดื่อๆ (แต่นักแสดงเล่นดีนะ) และนึกจะเปลี่ยนมูสไปคอมเมดี้ก็เปลี่ยนไปอย่างง่ายได้ จนผมรู้สึกแบบเฮ้ยกูยังไม่ทันจะอินเลยเปลี่ยนอารมณ์ซะและอะไรแบบ ซึ่งมันจะมีอะไรแบบนี้อยู่หลายช่วงมาก หรือแม้แต่ตัวเนื้อเรื่องที่บางที่ก็ไม่ได้ให้น้ำหนักกับปมของตัวละครได้หนักแน่นพอ จนทำให้ผมยิ้มไม่อินกับดราม่าอะไรในหนังเลย ผมว่าหนังเรื่องจับจังหวะอะไรหลายๆอย่างไม่ค่อยดี การตัดต่อก็เหมือนกันถ้าสังเกตมันจะมีบางจังหวะที่ตัดแบบกระโดดๆไม่ค่อยสมูทเท่าไรอยู่ด้วย

#แอคชั่นทำดีภาพสวยอลังการ
     ใน “Spiderman Homecoming” หลายคนน่าจะบ่นว่าทำไมสไปดี้มันกากจัง ดูแอคชั่นไม่มันเลยซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ แต่พอมาภาคนี้ต้องบอกเลยว่าสกิลนางเนี่ยเพิ่มมากขึ้นนะจ๊ะ ส่วนนึงก็คงเพราะได้ประสบการณ์จากการไปบู๊กับเหล่า Avengers เนี่ยแหละ โดยในภาคนี้สิ่งที่เด่นชัดสุดก็คงจะเป็นสกิลในการยิงใยซึ่งดูเทพขึ้นและถูกใช้งานได้หลากหลายมากขึ้นด้วย และด้วยความที่ศัตรูของสไปดี้ในภาคนี้นั้นมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตแถมยังเป็นตัวธาตุน้ำบ้างธาตุไฟบ้าง เวลาแอคชั่นเนี่ยเราจึงจะได้เห็น “Visual Effect” ที่สวย (ซึ่งมันก็สวยจริงๆนะ) อย่างเวลาสู้กับตัวธาตุน้ำเนี่ยคุณก็จะได้เห็นรายละเอียดของระลอกคลื่นที่มันพลิ้วไหวไปมาอยู่ตามตัวสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมันเลยดูสมจริงสุดๆ นอกจากนี้ภาคนี้ยังใช้มุมกล้องที่เล่นกับการเคลื่อนไหวของสไปเดอร์แมนมากขึ้นด้วย เช่นเวลาที่สไปดี้ตีลังกาม้วนตัวลงไปกล้องก็จะมี “Movement” ที่เหมือนกับเป็นการตีลังกาตามลงไปด้วย เวลาเราดูก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าได้เคลื่อนไหวไปพร้อมๆกับสไปเดอร์แมนยังไงยังงั้นเลย

#Mysterio เจ้าปัญหา
     ที่นี่มาพูดกันถึงตัวละครสำคัญซึ่งน่าจะเป็นจุดขายหลักของหนังเรื่องนี้กันบ้างอย่าง Mysterio ซึ่งผมได้เกริ่นเอาไว้แล้วว่ามันคือตัวละครที่น่าผิดหวัง อย่างแรกผมต้องบอกก่อนว่าผมชอบตัวนักแสดงอย่าง Jake Gyllenhaal มาก และแกก็เล่นได้ดีด้วยนะ ที่สำคัญที่ตัว Character นี้มันก็มีเสน่ห์และความน่าสนใจอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือบุคลิคมันดูมีสีสันและดูแพรวพราว ซึ่งมันดันมาผสมกับบุคลิกมายเท่ที่มีความกวนแต่แอบแฝงไว้ด้วยความจิตอ่อนของ Jake ได้อย่างลงตัว ทุกครั้งที่ Jake แสดงมันจะมีรอยยิ้มบางอย่างที่เป็นรอยยิ้มเฉพาะของตัวละครนี้ซึ่ง Jake แสดงออกมาได้แบบมันใช่เลย (น่าเสียดายที่ผมคงบอกไม่ได้ว่ามันเป็นรอยยิ้งยังไง) แต่!! ถึงแม้ว่าตัวละครนี้จะมีเสน่ห์มากเพียงใด แต่ให้ตายเถอะมันช่างไร้มิติเอาเสียเลย นอกเหนือจากสิ่งที่ผมกล่าวมาตัวละครนี้ก็แทบไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น แม้แต่ปมของตัวละครในตอนที่ถูกเล่าออกมาเหมือนจะน่าสนใจแต่ยิ้มก็แบบเล่าขึ้นมาแบบทื่อๆและมันดูไม่มีน้ำหนักไม่มีความน่าเชื่อถือเอาเสียเลย ที่สำคัญผมยังแอบรู้สึกตลกเพราะ “Plot” ของมันถูกถ่ายทอดออกมาอย่างกับการ์ตูนหลอกเด็ก หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ของ MysterioกับPeter ผมว่าหนังก็ไม่ได้ให้เวลามากพอที่จะทำให้เราเข้าถึงความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครนี้ได้ ซึ่งเวลาคุณดูในตัวอย่างหรือเวลาที่หนังโปรโมทคุณอาจจะรู้สึกว่าตัวละครนี้มันน่าจะอยู่ด้วยกันบ่อย แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลยตัวละคร 2 ตัวนี้คุยกันจริงๆแค่ไม่กี่ฉากเท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญผมก็เลยไม่มีความรู้สึกอะไรให้กับ 2 ตัวละครนี้เลย แต่ถึงกระนั้นนะครับก็ต้องยอมรับเลยว่าความสามารถของ Mysterio มันเป็นอะไรที่เจ๋งจริงๆ ผมพูดเยอะไม่ได้คงบอกได้แค่ว่า มันสวย มันตื่นตา มันแปลก มันลึกลับ มันสับสน และมีความใกล้เคียงกับฉบับคอมมิคมากๆ!! ยิ่งเวลาใช้ความสามารถนี้ร่วมกับสไปเดอร์แมนนะมันจะยิ่งส่งเสริมให้ Visual ดูสวยมากๆ โดยเฉพาะโทนสีมันตัดเข้ากับชุดของสไปเดอร์แมนได้อย่างพอดิบพอดีเลย

#ทำไมต้องพยายามใส่ความเป็นโทนี่ลงไปในตัวสไปเดอร์แมน?
     มาถึงประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึง ซึ่งถ้าบอกว่าเรื่องของ Mysterio เป็นส่วนที่น่าผิดหวังที่สุดแล้วสำหรับผม ผมบอกได้เลยว่าไม่ใช่ครับ ส่วนที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับผมก็คือประเด็นเรื่องโทนี่เนี่ยแหละ เอาจริงๆตอนดูในตัวอย่างเนี่ยผมว่ามันก็น่าสนใจดีที่จะเอาเรื่องการตายของโทนี่มาเป็นประเด็นในหนัง แต่พอไปดูอย่างแรกที่ต้องติเลยคือหนังแทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้เท่าไรเลยอะ ทั้งที่จริงๆประเด็นนี้มันสำคัญนะ เพราะมันเป็นปมหลังของตัว Peter ในภาคนี้เลย และยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ Peter ตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างด้วย แต่มันน่าเสียตรงที่วิธีการนำเสนอเนี่ยแหละที่เหมือนหนังจะไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไร บางทีผมดูๆไปเนี่ยผมยังลืมด้วยซ้ำว่าเออมันมีประเด็นนี้อยู่นะ เหมือนมันแค่เล่าให้เราเข้าใจและก็ปล่อยให้ผ่านๆไป ไม่ได้ให้น้ำหนักหรือแสดงออกว่ามันมีความลึกซึ้งอะไร กล่าวง่ายๆก็คือมันเล่าให้เราเข้าใจก็จริงแต่เราไม่มีความรู้สึกตามอะ งงไหม? 555 แต่นี่มันก็ยังไม่ได้น่าขัดใจเท่ากับเรื่องที่หนังพยายามซะเหลือเกินที่จะทำให้ตัว Peter เป็นเสมือน Tony Stark คนต่อไป แนวคิดนี้ผมบอกตรงๆผมไม่เห็นด้วยเลยเว้ย คือหนังมันก็พยายามจริงๆที่จะชี้ให้เห็นว่าสไปเดอร์แมนก็คือไอรอนแมนคนต่อไป เป็นคนที่จะมาสืบทอดอะไรแบบนี้แหละ ผมก็แบบรู้สึกว่าทำไมอะ ทำไม คือสไปเดอร์แมนมันก็คือสไปเดอร์แมนมันมีเอกลักษณ์มันเสน่ห์เฉพาะตัวอยู่แล้วไม่เห็นจำเป็นจะต้องใส่ความเป็นไอรอนแมนเข้ามาเลย จริงผมชอบสไปดี้เวอร์ชั่นนี้นะแต่ต้องบอกจริงๆว่านับวัน “Marvel” ก็ยิ่งพยายามจะยัดความเป็นไอรอนแมนเข้ามาในตัวสไปดี้คนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนบางทีผมดูไปเนี่ยยังอดคิดไม่ได้เลยว่านี่มันสไปเดอร์แมนหรือไอรอนแมนในอีกเวอร์ชั่นกันแน่ ซึ่งผมว่าแนวคิดนี้ของมาเวลมันเป็นการทำลาย Character อย่างแรงเลยนะ และถ้าเกิด Marvel ยังไม่สามารถสลัดตัวละครของโทนี่ออกไปจากสไปดี้เวอร์ชั่นนี้ได้ ผมว่าอีกหน่อยมันก็คงจะหมดความน่าจดจำในฐานะสไปเดอร์แมนและกลายเป็นว่าเราต้องไปจดจำมันในฐานะของการเป็นไอรอนแมนอีกเวอร์ชั่นแน่ๆ

#เอนเครดิต
     สำหรับเอนเครดิตนะครับมีกันทั้งหมด 2 ตัว ตัวแรกน่าสนใจมากมันมีเซอร์ไพส์เกี่ยวกับตัวละครสุดคลาสสิคที่คุณจะต้องหายคิดถึง และที่สำคัญมันเป็นการเปิดประเด็นปมสำคัญที่จะมีผลต่อเรื่องราวของสไปดี้ในตอนต่อๆไปด้วย มันสำคัญถึงขนาดที่ว่าผมว่ามันน่าจะใส่เข้ามาอยู่ในตอนจบเลยด้วยซ้ำน้า ส่วนตัวที่ 2 นี่เล่นผมงงไปเลย คงมีประเด็นให้ถกกันยาวเลยละ

     ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับการรีวิวของผม ถ้ามีข้อผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ โดยรวมในฐานะที่ผมเป็นแฟน Marvel คนนึงก็ยังชอบหนังเรื่องนี้อยู่นะแม้มันจะมีข้อที่น่าผิดหวังอยู่หลายอย่างเลยก็ตาม แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังชอบ "Spiderman Homecoming" มากกว่า และเเน่นอนรวมไปถึงตำนานสไปดี้ฉบับของ "Sam Raimi" ด้วย ยังไงไตรภาคนั้นก็ยังคงเป็นไตรภาคสไปดี้ที่ดีที่สุดตลอดกาลสำหรับผมจริงๆ (โดยเฉพาะภาค 1 กะ 2)

#คะแนน 7

สามารถติดตามการรีวิวหนังของผมได้ที่ เพจ Facebook Popcash Studio : https://www.facebook.com/PopcashStudio/?modal=admin_todo_tour
หรือทาง Youtube Popcash Studio : https://www.youtube.com/channel/UCezvYsjsEqVaGeta32fikqA?view_as=subscriber
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่