#ความรู้สึกหลังชม #SpiderMan #FarFromHome #2019 #แบบไม่สปอย #MCU #smwo
Spider-Man: Far From Home (2019) 7.5/10
#แนวเรื่อง #ซุปเปอร์ฮีโร่ #เด็กมัธยมปลาย #วัยรุ่น #ใสๆ #สไตล์มาเวล
***หมายเหตุเกณฑ์การให้คะแนนไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เขียนล้วนๆ หากจะถามว่าอะไรเป็นเกณฑ์การให้คะแนนนั่นก็คือตัวผู้เขียนนั่นเองจอบอ.
#เกริ่นนำก่อนเข้าเรื่อง
Spider-Man: Far From Home (2019) เป็นภาพยนตร์ปิดตำนานเฟส(Phase) 3 ของจักรวาลภาพยนตร์มาเวล (MCU) และเป็นภาคต่อของตำนานที่ยิ่งใหญ่อย่าง Avengers: Endgame อย่างที่เรารู้ๆกันไปในบทสรุปสุดท้ายของจักรวาลใน Endgame ถึงการสูญเสียชายผู้เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่อย่าง Tony Stark หรือ Iron Man ของเรา ผมก็ค่อนข้างคาดหวังถึงการสานต่อตำนานของ Tony กับเจ้าตัวหนุ่ม Peter Parker แม้สุดท้ายภาคนี้จะไม่ค่อยสมหวังแต่ก็ถือว่ารักษามาตราฐานของตัวเองได้ดีสำหรับผู้กำกับ Jon Watts
#เรื่องย่อ
หลังจากการสูญเสีย Tony Stark เด็กหนุ่ม Peter ของเราก็ต้องการจะหยุดพักเรื่องทุกอย่างไว้ปล่อยใจปล่อยกายไปกับชีวิตมัธยมจะแสนธรรมดากับชีวิตรักและทริปทัศนศึกษาสุขสันต์ โดยการพยายามหลบหนีทุกทางถึงการติดต่อจาก Nick Fury ชายผู้ซึ่งเป็นหูเป็นตาเป็นเกราะกำบังให้กับโลก แม้สุดท้ายแล้วเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกให้ทริปทัศนศึกษาของเขาต้องไปเจอกับ Nick Fury เข้าจนได้และต้องร่วมมือกับชายปริศนานาม Quentin Beck หรือ Mysterio ชายที่บอกว่าตนมาจากจักรวาลอื่น แล้วเด็กหนุ่ม Peter ของเราจะแก้ปัญหาทั้งหมดยังไงก็ต้องไปดูกันเข้าชายแล้วเมื่อวาน(3 กรกฎาคม 2019)
#ความประทับใจ
อืม...มันก็ค่อนข้างจะพูดยากถึงความประทับใจ เพราะในภาคนี้ประเด็นที่จะเล่าจากภาคแรกมันยิบย่อยยากเย็นและเยอะไปหมด แม้ในภาคแรกจะเล่าถึงประเด็นความอยากเด่นดังไปแล้วแต่ภาคนี้ประเด็นการแบกรับทั้งกับความสูญเสียและความมหาภัยที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะรับมือ ก็ต้องบอกว่าผู้กำกับ Jon Watts ทำได้ดีสมมาตราฐานของตัวเองแล้วละมั้ง เพราะโทนเรื่องโดยรวมก็ถือว่าทำได้ดีได้อารมณ์การดูคล้ายกับภาคแรกถึงชีวิตมัธยมบ้าๆบอๆของเด็กมัธยม
แล้วก็ขอเตือนไว้ก่อนถึงใครที่จะคาดหวังถึงความสนุกแบบจัดหนักจัดเต็มแล้วละก็ภาคนี้ก็ค่อนข้างจะเอือยเฉื่อยไปซักนิดเพราะอย่างที่บอกตามสไตล์เด็กมัยธยมในอุดมคติของคุณ Jon Watts เขาละมั้ง เพราะหนังตลอดทั้งเรื่องมีส่วนเนือยๆอึนๆมึนๆอยู่ประปรายเหมือนภาคแรก
แม้ไคลแม็กซ์ของเรื่องจะทำได้ดีซีจีอลังราวกับหลุดออกมาจากโลกของคอมมิคต้นฉบับ(ให้อารมณ์ประมาณนั้นจริงๆเหมือนเราหลุดเข้าไปในโลกของการ์ตูนคอมมิคเลย)แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้ยังขาดจุดพีคหรือจุดเด่นกว่านี้(พีคสุดก็จุดนี้แหละ)นอกเหนือจากความคิดความอ่านแบบเด็กมัธยมจากตัว Peter ก็แทบไม่ได้อะไรเลย ผมถึงบอกว่าหนังมันสมมาตราฐาน(ละมั้ง)
พูดถึงงานด้านภาพซีจีไปแล้วงานด้านการแสดงต้องยอมรับว่าตัว Tom Holland ทำได้ดีกว่าภาคแรกและภาคก่อนๆเพราะในภาคนี้เขาสามารถแบกรับตัวหนังไว้ได้ทั้งการแสดงหรือการปูบทมาหลายๆภาคที่แสดงให้เราเห็นแล้วว่าเขาเหมาะสมและคู่ควรกับบทบาทไอ้แมงมุมนี้จริงๆ แม้จะไม่ต้องมีป๋าดันอย่าง Robert Downey Jr. มาช่วยพยุงหนังไว้ด้วยก็ตาม
แต่ก็นั่นแหละที่มันออกมาดีได้น่าสนใจได้ขนาดนี้ก็คงเพราะการคุมโทนและการมีเงื่อนงำยำรวมในจักรวาลละมั้งที่ทำให้หนังมันยังคงความตื่นเต้นของการที่พร้อมจะปะทะกับตัวละครในจักรวาลของตัวหนังของได้ตลอดเวลา นั่นแหละถือเป็นข้อดีที่สุดของหนังไอ้แมงมุมในภาคนี้ ต้องบอกว่า Sony เขาคิดถูกจริงๆที่ยอมร่วมมือกับมาเวล
#สรุป
ก็นั่นแหละครับแม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็ต้องขออุบไว้แค่นี้แหละเพราะถ้ามากกว่านี้จะเป็นการสปอย และก็เหมือนเดิมว่าหากคุณเป็นแฟนหนังจักรวาล MCU หนังเรื่องนี้ก็ไม่ควรพลาด
แต่ขอให้ลดความคาดหวังในการดูไปได้เลยเพราะในหนัง(เรื่องแยก)เรื่องนี้มันไม่ได้โดดเด่นหวือหวาเท่า Avengers: Endgame แน่นอน แต่ก็ยังคงสไตล์ลายมือลายเซ็นของภาคที่แล้วของหนังได้ดีสมมาตราฐาน Jon Watts
อ๋อ ลืมบอกไปเรื่องนี้มี เอนเครดิต End credit 2 ตัวเหมือนเดิม ตัวแรกค่อนข้างสำคัญนะ เพราะอะไรที่เราคาดหวังแล้วมันล้มเหลวไปจากตัวอย่างแล้ว End credit ตัวแรกก็ค่อนข้างเติมความเพ้อฝันให้ได้
ส่วนตัวที่2 ....ใครปวดฉี่รีบออกมาแล้วมาหาอ่านสปอยเอาก็ได้ผมมองว่ามันไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ แม้ใครจะมอง(มโน)ว่ามันค่อนข้างจะสำคัญถึงภาพรวมของจักรวาลหนังก็ตาม แต่ใครปวดฉี่ก็ออกมาอ่านเอาเถอะ คิดว่าเป็นลูกเล่นขำๆของหนังไปละกัน
ขอจบการบรรยาย #ความรู้สึกหลังดู Spider-Man: Far From Home (2019) ไว้เพียงเท่านี้หากมีคำผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดประการณ์ใดขออภัยมาไว้ที่นี้หรือหากใครต้องการแสดงความคิดเห็นก็สามารถทำได้ที่ด้านล่าง หรือหากผมเข้าใจเรื่องราวใดในเรื่องผิดไปก็สามารถติชมได้ด้านล่าง สุดท้ายนี้ขอบอกว่า ใช้ชีวิตให้มีสติและมีสติเมื่ออยู่กับคนที่เรารัก เพราะเวลามีค่า ควรใช้เวลากับคนที่เรารัก ขอบคุณที่สละเวลาในการอ่านมาจนถึงจุดนี้ หากท่านไม่อยากเสียเวลาในการทำสิ่งใดๆก็จงจำไว้ไม่แน่ผมอาจเคยทำมาแล้ว อยากให้ท่านมาเสพข้อมูลจากผมได้ที่นี่ ที่เพจ “โลกแคบ”ขอบคุณครับ
***ฝากแฟนเพจ โลกแคบ ของผมด้วยครับ จะเป็นเพจที่เป็นความรู้สึกของผมกับหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องภาพยตร์ การ์ตูน ซี่รี่ หรือเรื่องต่างๆที่ผมเคยรับชม จะพยายามแสดงออกมาตามที่ผมเข้าใจและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองที่สุด ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/โลกแคบ-2180885415324096
#ความรู้สึกหลังชม #SpiderMan #FarFromHome #2019 #แบบไม่สปอย #MCU #smwo
Spider-Man: Far From Home (2019) 7.5/10
#แนวเรื่อง #ซุปเปอร์ฮีโร่ #เด็กมัธยมปลาย #วัยรุ่น #ใสๆ #สไตล์มาเวล
***หมายเหตุเกณฑ์การให้คะแนนไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เขียนล้วนๆ หากจะถามว่าอะไรเป็นเกณฑ์การให้คะแนนนั่นก็คือตัวผู้เขียนนั่นเองจอบอ.
#เกริ่นนำก่อนเข้าเรื่อง
Spider-Man: Far From Home (2019) เป็นภาพยนตร์ปิดตำนานเฟส(Phase) 3 ของจักรวาลภาพยนตร์มาเวล (MCU) และเป็นภาคต่อของตำนานที่ยิ่งใหญ่อย่าง Avengers: Endgame อย่างที่เรารู้ๆกันไปในบทสรุปสุดท้ายของจักรวาลใน Endgame ถึงการสูญเสียชายผู้เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่อย่าง Tony Stark หรือ Iron Man ของเรา ผมก็ค่อนข้างคาดหวังถึงการสานต่อตำนานของ Tony กับเจ้าตัวหนุ่ม Peter Parker แม้สุดท้ายภาคนี้จะไม่ค่อยสมหวังแต่ก็ถือว่ารักษามาตราฐานของตัวเองได้ดีสำหรับผู้กำกับ Jon Watts
#เรื่องย่อ
หลังจากการสูญเสีย Tony Stark เด็กหนุ่ม Peter ของเราก็ต้องการจะหยุดพักเรื่องทุกอย่างไว้ปล่อยใจปล่อยกายไปกับชีวิตมัธยมจะแสนธรรมดากับชีวิตรักและทริปทัศนศึกษาสุขสันต์ โดยการพยายามหลบหนีทุกทางถึงการติดต่อจาก Nick Fury ชายผู้ซึ่งเป็นหูเป็นตาเป็นเกราะกำบังให้กับโลก แม้สุดท้ายแล้วเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกให้ทริปทัศนศึกษาของเขาต้องไปเจอกับ Nick Fury เข้าจนได้และต้องร่วมมือกับชายปริศนานาม Quentin Beck หรือ Mysterio ชายที่บอกว่าตนมาจากจักรวาลอื่น แล้วเด็กหนุ่ม Peter ของเราจะแก้ปัญหาทั้งหมดยังไงก็ต้องไปดูกันเข้าชายแล้วเมื่อวาน(3 กรกฎาคม 2019)
#ความประทับใจ
อืม...มันก็ค่อนข้างจะพูดยากถึงความประทับใจ เพราะในภาคนี้ประเด็นที่จะเล่าจากภาคแรกมันยิบย่อยยากเย็นและเยอะไปหมด แม้ในภาคแรกจะเล่าถึงประเด็นความอยากเด่นดังไปแล้วแต่ภาคนี้ประเด็นการแบกรับทั้งกับความสูญเสียและความมหาภัยที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะรับมือ ก็ต้องบอกว่าผู้กำกับ Jon Watts ทำได้ดีสมมาตราฐานของตัวเองแล้วละมั้ง เพราะโทนเรื่องโดยรวมก็ถือว่าทำได้ดีได้อารมณ์การดูคล้ายกับภาคแรกถึงชีวิตมัธยมบ้าๆบอๆของเด็กมัธยม
แล้วก็ขอเตือนไว้ก่อนถึงใครที่จะคาดหวังถึงความสนุกแบบจัดหนักจัดเต็มแล้วละก็ภาคนี้ก็ค่อนข้างจะเอือยเฉื่อยไปซักนิดเพราะอย่างที่บอกตามสไตล์เด็กมัยธยมในอุดมคติของคุณ Jon Watts เขาละมั้ง เพราะหนังตลอดทั้งเรื่องมีส่วนเนือยๆอึนๆมึนๆอยู่ประปรายเหมือนภาคแรก
แม้ไคลแม็กซ์ของเรื่องจะทำได้ดีซีจีอลังราวกับหลุดออกมาจากโลกของคอมมิคต้นฉบับ(ให้อารมณ์ประมาณนั้นจริงๆเหมือนเราหลุดเข้าไปในโลกของการ์ตูนคอมมิคเลย)แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังเรื่องนี้ยังขาดจุดพีคหรือจุดเด่นกว่านี้(พีคสุดก็จุดนี้แหละ)นอกเหนือจากความคิดความอ่านแบบเด็กมัธยมจากตัว Peter ก็แทบไม่ได้อะไรเลย ผมถึงบอกว่าหนังมันสมมาตราฐาน(ละมั้ง)
พูดถึงงานด้านภาพซีจีไปแล้วงานด้านการแสดงต้องยอมรับว่าตัว Tom Holland ทำได้ดีกว่าภาคแรกและภาคก่อนๆเพราะในภาคนี้เขาสามารถแบกรับตัวหนังไว้ได้ทั้งการแสดงหรือการปูบทมาหลายๆภาคที่แสดงให้เราเห็นแล้วว่าเขาเหมาะสมและคู่ควรกับบทบาทไอ้แมงมุมนี้จริงๆ แม้จะไม่ต้องมีป๋าดันอย่าง Robert Downey Jr. มาช่วยพยุงหนังไว้ด้วยก็ตาม
แต่ก็นั่นแหละที่มันออกมาดีได้น่าสนใจได้ขนาดนี้ก็คงเพราะการคุมโทนและการมีเงื่อนงำยำรวมในจักรวาลละมั้งที่ทำให้หนังมันยังคงความตื่นเต้นของการที่พร้อมจะปะทะกับตัวละครในจักรวาลของตัวหนังของได้ตลอดเวลา นั่นแหละถือเป็นข้อดีที่สุดของหนังไอ้แมงมุมในภาคนี้ ต้องบอกว่า Sony เขาคิดถูกจริงๆที่ยอมร่วมมือกับมาเวล
#สรุป
ก็นั่นแหละครับแม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็ต้องขออุบไว้แค่นี้แหละเพราะถ้ามากกว่านี้จะเป็นการสปอย และก็เหมือนเดิมว่าหากคุณเป็นแฟนหนังจักรวาล MCU หนังเรื่องนี้ก็ไม่ควรพลาด
แต่ขอให้ลดความคาดหวังในการดูไปได้เลยเพราะในหนัง(เรื่องแยก)เรื่องนี้มันไม่ได้โดดเด่นหวือหวาเท่า Avengers: Endgame แน่นอน แต่ก็ยังคงสไตล์ลายมือลายเซ็นของภาคที่แล้วของหนังได้ดีสมมาตราฐาน Jon Watts
อ๋อ ลืมบอกไปเรื่องนี้มี เอนเครดิต End credit 2 ตัวเหมือนเดิม ตัวแรกค่อนข้างสำคัญนะ เพราะอะไรที่เราคาดหวังแล้วมันล้มเหลวไปจากตัวอย่างแล้ว End credit ตัวแรกก็ค่อนข้างเติมความเพ้อฝันให้ได้
ส่วนตัวที่2 ....ใครปวดฉี่รีบออกมาแล้วมาหาอ่านสปอยเอาก็ได้ผมมองว่ามันไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ แม้ใครจะมอง(มโน)ว่ามันค่อนข้างจะสำคัญถึงภาพรวมของจักรวาลหนังก็ตาม แต่ใครปวดฉี่ก็ออกมาอ่านเอาเถอะ คิดว่าเป็นลูกเล่นขำๆของหนังไปละกัน
ขอจบการบรรยาย #ความรู้สึกหลังดู Spider-Man: Far From Home (2019) ไว้เพียงเท่านี้หากมีคำผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดประการณ์ใดขออภัยมาไว้ที่นี้หรือหากใครต้องการแสดงความคิดเห็นก็สามารถทำได้ที่ด้านล่าง หรือหากผมเข้าใจเรื่องราวใดในเรื่องผิดไปก็สามารถติชมได้ด้านล่าง สุดท้ายนี้ขอบอกว่า ใช้ชีวิตให้มีสติและมีสติเมื่ออยู่กับคนที่เรารัก เพราะเวลามีค่า ควรใช้เวลากับคนที่เรารัก ขอบคุณที่สละเวลาในการอ่านมาจนถึงจุดนี้ หากท่านไม่อยากเสียเวลาในการทำสิ่งใดๆก็จงจำไว้ไม่แน่ผมอาจเคยทำมาแล้ว อยากให้ท่านมาเสพข้อมูลจากผมได้ที่นี่ ที่เพจ “โลกแคบ”ขอบคุณครับ
***ฝากแฟนเพจ โลกแคบ ของผมด้วยครับ จะเป็นเพจที่เป็นความรู้สึกของผมกับหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องภาพยตร์ การ์ตูน ซี่รี่ หรือเรื่องต่างๆที่ผมเคยรับชม จะพยายามแสดงออกมาตามที่ผมเข้าใจและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองที่สุด ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/โลกแคบ-2180885415324096