เที่ยวเชียงใหม่ ตามรอยกลิ่นกาสะลอง


จากกระแสละคร กลิ่นกาสะลอง ทางช่อง3 ที่มาแรงแซงทุกโค้ง และภรรยาผมก็ติดละครเรื่องนี้งอมแงมถึงขนาดที่อาบน้ำก็ต้องเอาเข้าไปดูด้วย กลิ่นกาสะลอง ถ่ายทอดความงดงามในอดีตของเชียงใหม่ได้เป็นอย่างดี ทั้งสถานที่สำคัญต่างๆ ศิลปวัฒนธรรม อาหารการกินและชีวิตความเป็นอยู่ ในละครมีหลายฉากหลายสถานที่ที่สวยงามมากๆ เราเองแม้จะเป็นคนเชียงใหม่แท้ๆก็ยังไม่เคยได้ไปสัมผัส วันนี้เราเลยจัดทริปง่ายๆใน 1 วัน เพื่อที่จะไปให้เห็นสถานที่เหล่านั้นด้วยตาของตัวเอง

คลิปวีดีโอ เที่ยวเชียงใหม่ตามรอยกลิ่นกาสะลองทางมีให้รับชมทางยูทูปเพลินๆแล้วครับครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
จุดต่างๆที่เราไปล้วนมีความเกี่ยวของกับละครกลิ่นกาสะลอง ใครมาเที่ยวเชียงใหม่แล้วอยากไปเที่ยวตามรอยละคร สามารถเที่ยวตามแผนนี้ได้เลยครับ ใช้เวลาและงบประมาณไม่มาก รับรองว่าต้องชอบและประทับใจแน่นอนครับ

จุดเช็คอินทั้งหมดมีดังนี้ครับ
1.ประตูท่าแพ
2.ขนมเส้นช้างม่อยร้อยปี
3.วัดเจดีย์หลวง
4.ขัวเหล็ก / ร้านแอทขัวแหล็ก
5.วัดอินทราวาส (วัดต้นเกว๋น)
6.อุโบสถเงินวัดศรีสุพรรณ
7.ตลาดต้นลำไย
8.ร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋โกเหน่ง
9.สะพานจันทร์สมอนุสรณ์ (ขัวแขก)
10.วัดเกตุการาม
11.ตลาดสันป่าข่อย / ขนมจีนสันป่าข่อย


เราพยายามออกจากบ้านให้เช้าที่สุด แต่เช้าที่สุดของเราก็ได้แค่ 9 โมงแหละครับ ก็ดีครับสบายๆไม่รีบร้อน เริ่มแรกเราไปเปิดตัวกันที่ประตูท่าแพ แลนด์มาร์คสำคัญจุดหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ คุณสามารถฝากรถได้ตามวัดใกล้เคียงต่างๆแล้วเดินมาประตูท่าแพได้เลยครับ เชียงใหม่มีประตูเมืองทั้งหมด 5 ประตู ได้แก่ ประตูช้างเผือก ประตูเชียงใหม่ ประตูสวนดอก ประตูสวนปรุง และประตูท่าแพ ซึ่งประตูท่าแพนั้นหันหน้าไปไปทางทิศตะวันออกนั่นก็คือแม่น้ำปิงนั่นเองครับ เดิมทีประตูท่าแพใช้เป็นจุดสำคัญในการคมนาคมทางน้ำในการเดินทางค้าขาย ทั้งเรือและแพต่างๆก็ต้องมาจอดเทียบท่าตรงจุดนี้นั่นและครับ จึงเป็นที่มาของชื่อประตูท่าแพ


ถ่ายรูปกันเพลินเริ่มหิวครับ เดี๋ยวผมจะพาเพื่อนไปทานร้านขนมเส้นน้ำเงี้ยวที่อร่อยมากๆของจังหวัดเชียงใหม่และยังไม่มีที่ไหนทำการรีวิวมากนัก นั่นคือร้าน ขนมเส้นช้างม่อยร้อยปี ตั้งอยู่บนถนนช้างม่อยซอย 2 เอาจริงๆก็คือสามารถเดินจากประตูท่าแพมาได้เลยครับ หรือถ้าขับรถมาก็สามารถฝากรถตามวัดต่างๆใกล้เคียงได้ครับ เดินเข้าซอยมานิดเดียวก็เจอร้านเลยครับ ตามชื่อเลย ขนมเส้นช้างม่อยร้อยปี คือร้านนี้เปิดมากว่าร้อยปีแล้วครับ ถ่ายทอดสูตรต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ขนมเส้นน้ำเงี้ยว น้ำยา จานละ 25 บาท อร่อยกลมกล่อมสุดๆ รสชาติแบบชาวเหนือแท้ๆคือเป็นขนมจีนที่ปรุงรสด้วยถั่วเน่าด้วยนั่นเองครับ พลาดไม่ได้อีกอย่างก็คือข้าวเงี้ยวครับ ห่อละ 15 บาทเท่านั้นเอง ทานกับหอมเจียว พริกคั่ว แกล้มกับแคบหมู รับรองว่าอร่อยสุดๆครับ


อิ่มท้องแล้วไปกันต่อที่วัดเจดีย์หลวงครับ จริงก็ห่างจากประตูท่าแพไปไม่ไกล ถ้าขับรถไปก็ประมาณ 5 นาที หรือใครจะเดินไปเพลินก็ได้ครับ ในวัดสามารถจอดรถได้เลยไม่เสียค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว จริงๆเราคุ้นเคยกับวัดเจดีย์หลวงเป็นอย่างดีเพราะทุกวันอาทิตย์เราจะมาตั้งร้านขายของที่ถนนคนเดินครับ ต้องอาศัยใบบุญวัดในการฝากรถฝากของทุกวันอาทิตย์ หรือว่าสมัยโบราณเราจะเป็นพ่อคาวานิชที่มาทำการค้าขายที่เมืองเชียงใหม่เหมือนในละครกลิ่นกาสะลอง...ก็...เป็น...ด้ายยยย


จุดเด่นของวัดเจดีย์หลวงก็คือเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่มากๆแม้จะมีการชำรุดไปมากแล้วแต่ก็ยังได้รับการดูแลอย่างดีและยังคงความยิ่งใหญ่เอาไว้เหมือนครั้งอดีตที่ผ่านมา คนเก่าคนแก่เล่าว่าสมัยก่อนมีการเปิดให้เข้าไปสักการะใต้ฐานพระเจดีย์ และใต้ฐานนั้นมีอุโมงค์ทะลุไปถึงวัดสวนดอกซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 2 กิโลเมตรได้ แต่ปัจจุบันเพื่อความปลอดภัยทางวัดได้ปิดส่วนนี้ไปแล้วไม่มีการเปิดให้เข้าชมอีกต่อไป ซึ่งสำหรับคนรุ่นหลังอย่างผมก็ยังสงสัยว่ามีจริงหรือไม่แล้วสมัยก่อนเค้าขุดอุโมงค์ที่ยาวขนาดนั้นได้อย่างไร เป็นปริศนาที่น่าทึ่งจริงๆครับ อย่างไรก็ตาม วัดเจดีย์หลวงยังคงมีความงดงามหลายอย่าง ทั้งเป็นที่ประดิษฐานของเสาอินทขิลสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ และคุณย่ายางนา หรือต้นยางนาโบราณอายุกว่า 200 ปีที่ตั้งตระหง่านอยู่เคียงข้างเสาอินทขิล ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติถ้าได้มาเชียงใหม่แล้วพลาดไม่ได้จริงๆที่จะต้องมาที่วัดเจดีย์หลวงแห่งนี้ครับ


แดดเริ่มร้อน ตาเริ่มจะปิด เดี๋ยวผมจะพาไปดื่มกาแฟที่ร้านบรรยากาศดีๆครับ ร้านนี้อยู่ติดกับขัวเหล็ก หรือสะพานเหล็ก ซึ่งเป็นสะพานเก่าแก่ของชาวเชียงใหม่ ด้วยโครงสร้างเป็นเหล็กชาวเชียงใหม่จึงเรียกชื่อว่าสะพานเหล็กติดปากเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน บอกเลยว่ากลางคืนถ่ายรูปสวยมากๆ แต่อันที่จริงแล้วเดิมทีสะพานเหล็กนี่คือสะพานนวรัฐซึ่งสร้างไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักรหรือเจ้าเจ็ดตน และองค์สุดท้ายแห่งนครเชียงใหม่ ปัจจุบันมีการสร้างสะพานนวรัฐใหม่แล้วเป็นสะพานใหญ่โตรถสัญจรได้ 4 เลน เป็นสะพานหลักในการสัญจรของชาวเชียงใหม่ในปัจจุบัน


ร้านกาแฟที่ผมพามานี้ ชื่อร้าน แอทขัวแหล็ก ครับ ติดกับลำน้ำปิง นั่งทานอาหารและเครื่องดื่มไปสามารถชมวิวแม่น้ำปิงและสะพานเหล็กได้เลย มีทั้งกาแฟ ขนมเค้ก อาหารก็อร่อยหลายอย่างเลยครับ หน้าร้านมีที่จอดรถให้ประมาณนึง ผมอยู่เชียงใหม่เองก็ชอบพาเพื่อนๆจากต่างจังหวัดมาทานที่ร้านนี้อยู่บ่อยๆครับ


ได้กาแฟแล้วเริ่มสดชื่นขึ้นอีกครั้ง ผมจะพาไปยังสถานที่สำคัญที่ใช้ถ่ายทำให้ละครกลิ่นกาสะลองครับ นั่นคือวัดต้นเกว๋น หรือวัดอินทราวาส ตั้งอยู่บนเส้นคันคลอง ขับรถออกไปทางอำเภอหางดง เลยพืชสวนโลกไปไม่ไกลก็ถึงแล้วครับ วัดนี้ใช้เป็นฉากสำคัญต่างๆมากมาย เห็นภาพแล้วแฟนๆละครคงคุ้นตากันเป็นอย่างดี จุดเด่นของวัดนี้นอกจากวิหารที่มีความสวยงามจนสถาปนิกนำไปเป็นต้นแบบของหอคำหลวงในงานพืชสวยโลกแล้ว นอกจากนี้ยังมี ศาลาจัตุรมุข คือศาลาที่มีมุขทางเข้า 4 ทาง เชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียงหลังเดียวที่วัดต้นเกว๋นแห่งนี้ ในวัดมีที่จอดรถสะดวกสบาย ภายในวัดสะอาดและสวยงามมากๆครับ เชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมวัดนี้อีกมากเลยทีเดียว


บ่ายคล้อยแล้วกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง เดี๋ยวผมจะพาไปเที่ยววัด ที่อ้ายมั่นฟ้าฝึกฝนฝีมือทำปิ่นเงินไปจีบสาวนั่นแหละครับ ที่วัดนี้เลย วัดศรีสุพรรณ บนถนนวัวลายครับ เป็นที่ทราบกันดีว่าชุมชนวัวลายเป็นชุมชนใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการทำศิลปะเครื่องเงินมายาวนานหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังคงมีร้านค้าเครื่องเงินตลอดถนนทั้งสายและยังมีช่างฝีมืออยู่มากมายสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น แม้เด็กๆในยุคปัจจุบันจะไม่ค่อยสนใจศิลปะด้านนี้แล้วแต่ก็ยังมีน้องๆที่ผมรู้จักอีกหลายคนที่ยึดอาชีพนี้สืบทอดศิลปะการทำเครื่องเงินต่อไปตราบนานเท่านาน และที่วัดศรีสุพรรณนี้เองที่มีอุโบสถเงินที่สวยงามมากๆ คิดดูครับว่าอุโบสถทั้งหลังทำด้วยศิลปะการทำเครื่องเงินทั้งหลัง ประณีตงดงามละเอียดอ่อนมากๆครับ


เริ่มหิวอีกแล้วไปกันต่อที่ตลาดต้นลำไยครับ ชาวไทยและชาวต่างชาติ มาเชียงใหม่ถ้าอยากได้ของฝากคุณภาพดีราคาเป็นกันเองแล้วละก็พลาดไม่ได้ที่จะมาที่ตลาดต้นลำไยครับ รอบๆบริเวรมีที่รับฝากรถมากมาย ราคาคันละ 20 บาทเท่านั้นเอง ปัจจุบันเนื่องจากตลาดมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันเข้ามาก ลูกหลานแม่ค้าชาวตลาดก็มาทำธุรกิจใหม่ๆเช่นคาเฟ่ ร้านกาแฟ ร้านขายของฝากงานทำมือเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายร้านครับ เสริมสเน่ห์ให้ตลาดนี้น่าเดินน่าจับจ่ายมากยิ่งขึ้น ครอบครัวเราก็เป็นครอบครัวแม่ค้าดั้งเดิมของตลาดต้นลำไยเช่นกัน แวะซื้อหาของฝากกันได้ที่ร้านป้าแก้วร้านสุดท้ายของตลาดต้นลำไยติดกับฝั่งขายดอกไม้สดครับ แหะๆ ขออนุญาตโปรโมทร้านนิดนึง ขายพวกผลไม้อบแห้ง สตรอเบอรี่ ลำไย มะม่วง ไปจนถึงสมุนไพรอบแห้ง และชาต่างๆด้วยครับ


พอๆๆๆ ขายของกันพอแล้ว ถึงเวลากินอีกแล้วครับ ที่หน้าตลาดเข้าทางศาลเจ้าจีนจะเจอร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ชื่อดัง โกเหน่ง ถ้านึกไม่ออกนึกถึงปาท่องโก๋รูปไดโนเสาครับรับรองว่าต้องร้องอ๋อแน่นอน ปาท่องโกไดโนเสาตัวละ 20 บาท กรอบนอกนุ่มใน แวะไปชิมกันได้ครับ เดินเข้าไปในตลาดต้นลำไย มีอาหารมากมายหลายอย่าง ที่เด็ดๆเลยจริงๆผมอยากจะแนะนำร้านขนมหวานกลางตลาดครับ ข้าวเหนียวมะม่วง รวมมิตร ที่ผมไปตลาดทุกครั้งก็ต้องแวะทานให้ได้ทุกครั้ง สั่งแล้วนั่นกินที่หน้าร้านได้เลย ได้บรรยากาศมากๆ อร่อยและราคาไม่แพงรวมมิตรหอมๆหวานๆเครื่องแน่นๆราคาเพียง 15 บาทเท่านั้นครับ


แวะตลาดหาของหวานกระแทกปากเสร็จแล้วเราไปตามรอยละครกันต่อครับ เดินข้ามถนนมาฝั่งแม่น้ำปิง จะเจอกับฉากสำคัญอีกฉากในละครครับ นั่นคือขัวแขก หรือสะพานจันทร์สมอนุสรณ์ มีเรื่องราวเล่าขานกันมาว่าสมัยก่อนเป็นสะพานไม้ใช้สำหรับชาวชุมชนวัดเกตุเดินทางข้ามแม่น้ำปิงมายังตลาดต้นลำไย แล้วเกิดผุพัง ปี พ.ศ.2509 มีพ่อค้าแขกชื่อนายห้างโมตี ชื่อไทยว่านายห้างมนตรี บริจาคเงินให้กับทางการถึงหลักแสนบาทเพื่อสร้างสะพานใหม่ให้ชาวบ้านใช้เดินข้ามแม่น้ำปิง เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับคุณจันทร์สมภรรยาผู้ล่วงลับของนายห้างมนตรี ตั้งแต่นั้นมาสะพานนี้จึงได้ชื่อว่า สะพานจันทร์สมอนุสรณ์ แต่ชาวบ้านเรียกติดปากว่าขัวแขกมาจนถึงทุกวันนี้


ที่ไม่พอไปกันต่อที่คอมเมนท์ด้านล่างนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่