คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 24
ตลกคนที่บอกว่าคนมันไม่ได้เป็น จะสอนยังไงมันก็ไม่เป็น บ้างบอกว่ามันต้อง born to be
คุณคงไม่เข้าใจว่าการเลี้ยงดูมีผลสูงมาก จริงอยู่ว่าการเป็นเพศที่สาม มันต้อง born to be หรือการส่งเสริมให้เหมือนเพศตรงข้ามนั้นไม่มีผล
แต่มันจะไม่มีผลเลยก็ต่อเมื่อ เด็กคนนั้นโตขึ้นมาหน่อยแล้ว เช่น เด็กผู้ชายม.ต้นแมนแท้ๆ โดนเพื่อนในห้องขอให้แต่งตัวเป็นตัวละครผู้หญิงในงาน แสดงละครในงานทุกๆงานของโรงเรียน เด็กผู้ชายม.ต้นบางคนเต็มใจ และสนุกไปกับมัน ยอมทำบ่อยๆด้วยซ้ำ แต่เด็กพวกนี้จะไม่กลายเป็นเพศที่สามเพราะเขามีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว
หรือเด็กผู้หญิง ที่โตขึ้นมาหน่อยสักประถมปลาย ก็เริ่มยอมรับการเล่นกับเพื่อนผู้ชายวัยเดียวกัน อาจจะมีการเล่นพิเรนเหมือนเด็กผู้ชาย หรือเล่นของเล่นของเด็กผู้ชาย แต่เด็กหญิงคนนี้ก็อาจจะยังไม่มีแนวโน้มเบี่ยงเบน
แต่มันต่างกับเด็กที่พึ่งเกิด วัยที่จะมีแค่ผู้ปกครองเท่านั้นที่ได้เลี้ยงดู อบรม สั่งสอน อย่างใกล้ชิด วัยนี้เด็กยังไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ยังไม่เจอบุคลิกภาพตัวเอง เขายังไม่ถึงวัยขี้สงสัย วัยค้นหาเพื่อนเลยด้วยซ้ำ เขาเป็นแค่เด็กที่พึ่งเกิดมา วัยก่อนเข้าเรียนนี้จะสำคัญมากต่อชีวิตคนคนนึงเลยนะ ใส่อะไรลงไปก็จะได้แบบนั้นออกมาจากเขา อย่างน้อย ปล่อยให้เขาผ่านวัยก่อนเข้าเรียน วัยอนุบาลมาสักพัก มันจะค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าเขาเลือกเป็นเพศไหน
แล้วอีกอย่าง การมีปัญหา ทะเลาะกันในหมู่ครอบครัว หรือครอบครัวที่มีแม่เพียงคนเดียวแล้วได้ลูกสาว ก็มีสิทธิ์ที่ลูกสาวจะเบี่ยงเบน มันไม่จำเป็นต้องเป็นมาแต่เกิด หลายสิ่ง ทั้งการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมตอนเกิด ช่วงก่อนเข้าเรียน ล้วนเป็นผลผลิตของคนคนนึงในวันนี้ทั้งนั้น
คุณคงไม่เข้าใจว่าการเลี้ยงดูมีผลสูงมาก จริงอยู่ว่าการเป็นเพศที่สาม มันต้อง born to be หรือการส่งเสริมให้เหมือนเพศตรงข้ามนั้นไม่มีผล
แต่มันจะไม่มีผลเลยก็ต่อเมื่อ เด็กคนนั้นโตขึ้นมาหน่อยแล้ว เช่น เด็กผู้ชายม.ต้นแมนแท้ๆ โดนเพื่อนในห้องขอให้แต่งตัวเป็นตัวละครผู้หญิงในงาน แสดงละครในงานทุกๆงานของโรงเรียน เด็กผู้ชายม.ต้นบางคนเต็มใจ และสนุกไปกับมัน ยอมทำบ่อยๆด้วยซ้ำ แต่เด็กพวกนี้จะไม่กลายเป็นเพศที่สามเพราะเขามีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว
หรือเด็กผู้หญิง ที่โตขึ้นมาหน่อยสักประถมปลาย ก็เริ่มยอมรับการเล่นกับเพื่อนผู้ชายวัยเดียวกัน อาจจะมีการเล่นพิเรนเหมือนเด็กผู้ชาย หรือเล่นของเล่นของเด็กผู้ชาย แต่เด็กหญิงคนนี้ก็อาจจะยังไม่มีแนวโน้มเบี่ยงเบน
แต่มันต่างกับเด็กที่พึ่งเกิด วัยที่จะมีแค่ผู้ปกครองเท่านั้นที่ได้เลี้ยงดู อบรม สั่งสอน อย่างใกล้ชิด วัยนี้เด็กยังไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ยังไม่เจอบุคลิกภาพตัวเอง เขายังไม่ถึงวัยขี้สงสัย วัยค้นหาเพื่อนเลยด้วยซ้ำ เขาเป็นแค่เด็กที่พึ่งเกิดมา วัยก่อนเข้าเรียนนี้จะสำคัญมากต่อชีวิตคนคนนึงเลยนะ ใส่อะไรลงไปก็จะได้แบบนั้นออกมาจากเขา อย่างน้อย ปล่อยให้เขาผ่านวัยก่อนเข้าเรียน วัยอนุบาลมาสักพัก มันจะค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าเขาเลือกเป็นเพศไหน
แล้วอีกอย่าง การมีปัญหา ทะเลาะกันในหมู่ครอบครัว หรือครอบครัวที่มีแม่เพียงคนเดียวแล้วได้ลูกสาว ก็มีสิทธิ์ที่ลูกสาวจะเบี่ยงเบน มันไม่จำเป็นต้องเป็นมาแต่เกิด หลายสิ่ง ทั้งการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมตอนเกิด ช่วงก่อนเข้าเรียน ล้วนเป็นผลผลิตของคนคนนึงในวันนี้ทั้งนั้น
สุดยอดความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
คุณคิดอย่างไร กับ แม่หรือพ่อ ที่ส่งเสริมให้ลูก เป็นเพศตรงข้ามกับเพศกำเนิด
มีพ่อ หรือ แม่บางคน ที่มักแต่งตัวให้ลูก
หรือ สอนลูก ผิดไปจากเพศที่แท้จริง
วันก่อน ขณะอยู่ รพ. เราเห็นแม่คนหนึ่ง
แต่งตัวให้ลูก 3 ขวบ (ซึ่งยังไม่รู้เรื่องอะไร) เป็นผู้หญิง
และจากนั้น ก็สอน ให้พูด คะ/ค่ะ
พอไปถาม ว่า "เพราะอะไร ถึงแต่งตัวไม่ตรงกับเพศของลูก" เธอบอก "อยากได้ลูกสาว"
หรือบางคน แต่งตัวลูกสาว
ให้เป็นลูกชาย
สำหรับเรา คิดว่าไม่เหมาะสม
(ถึงแม้จะบอกลูกฉันเลี้ยงยังไงก็ได้ คนอื่นอย่ายุ่ง)
เด็กคงจะโชคร้ายมาก ที่เกิดในครอบครัวนี้
เป็นการสร้างตราบาปให้ลูก ไม่ได้รักลูกจริงๆ
โตมา เขาคงเสียใจมาก ที่ถูกเลี้ยงมาผิดๆ
เพราะอะไรถึงไม่ปล่อยให้เขาเป็นไปตามเพศสภาพ
ถ้าเขาเป็นเอง ก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะการเป็น
สาวสอง หรือ ทอม ก็ไม่ใช่เรื่องผิด
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก
1. อยากได้ลูกเพศนี้ แต่ได้อีกเพศ เช่น อยากได้ลูกสาว แต่กลับได้ลูกชาย
2.ประชดใครบางคน เหมือนในละครใบไม้ที่ปลิดปลิว
พ่อ หรือ แม่ ที่ผิดหวังแบบนี้ แนะนำให้มาตรวจสุขภาพจิต นะครับ