เรามีประสบการณ์กับแท๊กซี่มาก ไม่ว่าเรื่องแย่หรือเรื่องดีแต่ส่วนมากจะค่อนไปทางเรื่องแย่มากกว่าเพราะเราทำงานในย่านท่องเที่ยวกลางคืนที่แท๊กซี่ไม่ชอบรับคนไทย ไม่กดมิเตอร์ พาอ้อม แล้วเวลาที่เราต้องนั่งประจำคือเวลาเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ฝนตกหนักมากเราเปียกไปทั้งตัวเรียกหลายคันมากจอดถามแต่ไม่ยอมไปทั้งที่เราเป็นผู้หญิงแหละระยะทางก็ไม่ได้ไกล เราเจอจนปลง
แต่คืนนี้ถึงไม่ใช่ เกือบเที่ยงคืนฝนตกป่อยๆเราเรียกแท๊กซี่จากสุรวงศ์มาบ้านเรามีแท๊กซี่คันหนึ่งสีชมพูจอดรับเรา เรารีบเปิดประตูนั่งเบาะหลังคิดในใจว่าโชคดีจังวันนี้ไม่ต้องเรียกรถนาน ขึ้นไปถึงโชเฟอร์ก็ชวนเราคุย
โชเฟอร์ "มาเที่ยวเหรอครับ"
เรา"เปล่าพี่พึงเลิกงาน นี้เงียบมากไม่มีคนเดินเลยซอยนี้ ที่อื่นเงียบอย่างนี้ไหม"
เราคุยกับโชเฟอร์ไปเรื่อยๆ ถึงชีวิตการทำงานว่าลำบากได้เงินน้อย อยากเปลี่ยนงาน บ่นไปก็ท้อไป
จนโชเฟอร์พูดว่า
"เราไม่ต้องท้อหรอกพี่ลำบากกว่าอีก ยังต้องเอาลูกมาเลี้ยงบนรถ"
เรา หือในใจ ชะโงกมองไปข้างหน้า เราเห็นเด็กชายคนหนึ่งนอนห่มผ้าซุกอยู่กับเบาะ พี่โชเฟอร์เอามือลูบหัวลูกเขา บอกเราว่าเลี้ยงลูกคนเดียวมาสามปีแล้วไม่มีใครดูให้ เลี้ยงบนรถมาตลอด เดี่ยววิ่งรถได้เงินอีกสักสองร้อยก็เขาบ้านแล้ว เราถามกลับไปว่าน้องไปโรงเรียนไหม พี่เขายิ้มแล้วบอกว่า อนุบาลหนึ่งแล้วปีนี่ เช้าไปส่งแล้วก็วิ่งรถหาเงินต่อเลย เรามองน้องเขาอีกครั้งเนื้อตัวสะอาด แก้มยุ้ยเชียว พี่เขาบอกน้องเลี้ยงง่าย สายตาที่พี่เขามองลูกทำให้เราน้ำตาจะไหลเราก็โตมากับแม่เลี้ยงเราคนเดียว เรารู้ว่ามันยากแค่ไหน เราที่พึ่งบ่นลำบากท้อ เราคิดถึงแม่ที่ปันจักรยานเป็นกิโลไปส่งเราเรียนได้ทุกวัน อย่างน้อยคนที่ลำบากกว่าเราก็แม่เรา ความเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้อยู่ที่การให้กำเนิดเพี่ยงอย่างเดียว แต่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้าสู้ด้วย ถึงจะมีความเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเต็มภาคภูมิ ค่ารถ 63 บาท เราให้ไป120เสียดายถ้ามีมากกว่าเราอยากจะให้มากกว่า พี่โชเฟอร์เกรงใจเราเหมือนไม่อยากรับคงเพราะเราบ่นเรื่องรายได้ที่ลดลง แต่สำหรับวันนี้เราได้อะไรมากกว่าเงิน120ที่เสียไป
ปล.เรารู้นะว่าการเอามาเลี้ยงเเบนนี้ไม่เหมาะแต่พี่เขาคงไม่มีทางเลือก อนาคตอาจยากลำบากกว่านี้หวังว่าพี่เขาจะมีทางเลือกทีดีกว่านี้
แท๊กซี่กับวันฝนตก
แต่คืนนี้ถึงไม่ใช่ เกือบเที่ยงคืนฝนตกป่อยๆเราเรียกแท๊กซี่จากสุรวงศ์มาบ้านเรามีแท๊กซี่คันหนึ่งสีชมพูจอดรับเรา เรารีบเปิดประตูนั่งเบาะหลังคิดในใจว่าโชคดีจังวันนี้ไม่ต้องเรียกรถนาน ขึ้นไปถึงโชเฟอร์ก็ชวนเราคุย
โชเฟอร์ "มาเที่ยวเหรอครับ"
เรา"เปล่าพี่พึงเลิกงาน นี้เงียบมากไม่มีคนเดินเลยซอยนี้ ที่อื่นเงียบอย่างนี้ไหม"
เราคุยกับโชเฟอร์ไปเรื่อยๆ ถึงชีวิตการทำงานว่าลำบากได้เงินน้อย อยากเปลี่ยนงาน บ่นไปก็ท้อไป
จนโชเฟอร์พูดว่า
"เราไม่ต้องท้อหรอกพี่ลำบากกว่าอีก ยังต้องเอาลูกมาเลี้ยงบนรถ"
เรา หือในใจ ชะโงกมองไปข้างหน้า เราเห็นเด็กชายคนหนึ่งนอนห่มผ้าซุกอยู่กับเบาะ พี่โชเฟอร์เอามือลูบหัวลูกเขา บอกเราว่าเลี้ยงลูกคนเดียวมาสามปีแล้วไม่มีใครดูให้ เลี้ยงบนรถมาตลอด เดี่ยววิ่งรถได้เงินอีกสักสองร้อยก็เขาบ้านแล้ว เราถามกลับไปว่าน้องไปโรงเรียนไหม พี่เขายิ้มแล้วบอกว่า อนุบาลหนึ่งแล้วปีนี่ เช้าไปส่งแล้วก็วิ่งรถหาเงินต่อเลย เรามองน้องเขาอีกครั้งเนื้อตัวสะอาด แก้มยุ้ยเชียว พี่เขาบอกน้องเลี้ยงง่าย สายตาที่พี่เขามองลูกทำให้เราน้ำตาจะไหลเราก็โตมากับแม่เลี้ยงเราคนเดียว เรารู้ว่ามันยากแค่ไหน เราที่พึ่งบ่นลำบากท้อ เราคิดถึงแม่ที่ปันจักรยานเป็นกิโลไปส่งเราเรียนได้ทุกวัน อย่างน้อยคนที่ลำบากกว่าเราก็แม่เรา ความเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้อยู่ที่การให้กำเนิดเพี่ยงอย่างเดียว แต่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้าสู้ด้วย ถึงจะมีความเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเต็มภาคภูมิ ค่ารถ 63 บาท เราให้ไป120เสียดายถ้ามีมากกว่าเราอยากจะให้มากกว่า พี่โชเฟอร์เกรงใจเราเหมือนไม่อยากรับคงเพราะเราบ่นเรื่องรายได้ที่ลดลง แต่สำหรับวันนี้เราได้อะไรมากกว่าเงิน120ที่เสียไป
ปล.เรารู้นะว่าการเอามาเลี้ยงเเบนนี้ไม่เหมาะแต่พี่เขาคงไม่มีทางเลือก อนาคตอาจยากลำบากกว่านี้หวังว่าพี่เขาจะมีทางเลือกทีดีกว่านี้