เรียกว่าบทไหนๆ ก็เอาอยู่ สำหรับนางเอกสาวมากฝีมือ
'ใบเฟิร์น' พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ที่ล่าสุดมารับบทสาวข้ามเพศ
'นิรา' ในละคร
"ใบไม้ที่ปลิดปลิว" ทางช่องวัน 31
เป็นอย่างไรบ้างกับบท 'นิรา' สาวข้ามเพศครั้งแรก?
ใบเฟิร์น - "กดดันมากกว่าทุกเรื่อง นอกจากอยากถ่ายทอดตัวละครที่ได้รับให้ดีเป็นพื้นฐานแล้ว จะมีความกดดันจากความไว้ใจจากผู้ใหญ่จากรอบข้าง ความรู้สึกตอนแรกที่พี่กู่ (เอกสิทธิ์) ชวนเล่น คือยากมาก มีปมครอบครัว น่าสนใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากเล่น อยากถ่ายทอด เลยตกลงรับเล่น"
รู้สึกอย่างไรกับกระแสตอนแรกที่คนมองว่าทำไมเลือกผู้หญิงมาเล่นเป็นกะเทย?
ใบเฟิร์น - "ในฐานะนักแสดงหน้าที่ส่งมาถึงเราแล้ว ถ้าเราได้รับบทอะไรก็ตาม ต้องทำหน้าที่ของนักแสดงให้ดีที่สุด วิเคราะห์ตัวละครพยายามเข้าใจเขาให้มากที่สุด ไม่ได้โฟกัสว่าบทนี้เป็นชาวข้ามเพศ ไม่ว่าบทนี้จะเป็นใครเราก็ต้องวิเคราะห์ให้รอบด้านที่สุดอยู่แล้ว โดยคาแร็กเตอร์นิราหลักๆ พูดน้อย อาจด้วยเสียงส่วนหนึ่งที่ต้องคุมไว้เดี๋ยวโป๊ะ ระวังตัว ไม่อยากให้ใครรู้จักมาก กลับมาปลอมเอกสารทุกอย่างหมด ไม่มีใครจำเขาได้ จะเรียกว่ากลับมาแก้แค้นก็ได้ แต่จริงๆ มองว่ามันเป็นเรื่องของความรัก มีสองคนที่เขารักที่สุดในชีวิต แม่ที่เสียไป กับพระเอกที่เป็นอาเขยของเขา"
ศึกษาทำการบ้านบุคลิกคาแร็กเตอร์ความเป็นสาวข้ามเพศอย่างไร?
ใบเฟิร์น - พี่เจี๊ยบ (วรรธนา) เขียนบทมาละเอียด เฟิร์นอ่านบทซ้ำอยู่นั่นแหละว่ามีอะไรที่เล่นได้บ้าง แล้วเอาไปคุยกับครูแอ๊กติ้งโค้ช มีการเวิร์กช็อป นิราเป็นคนนิ่งพูดน้อย ไม่จริตจะก้านเยอะเกินผู้หญิง ซึ่งจริงๆ สาวประเภทสองมีหลายประเภท ไม่จำเป็นต้องสะดีดสะดิ้งอย่างเดียว เรียบร้อยแบบผู้หญิงก็มี บางคนดัดเสียงเล็ก บางคนไม่ดัดเสียง พอเป็นนิราเฟิร์นมองว่าเขาไม่ได้อยากทำตัวเป็นผู้หญิงตัวเล็กเสียงเล็ก เขามีปมที่ใหญ่รออยู่ข้างหน้า จะกลับมาแก้แค้นหรือจัดการความรักตัวเอง เขาเลยไม่บีบเสียงเล็ก มานั่งคุยกับผู้กำกับฯ ว่าเห็นเหมือนกันมั้ยว่านิราพูดโทนเสียงปกติ แต่พูดน้อย เพราะรู้ว่าเสียงตัวเองไม่ได้เหมือนผู้หญิง ก็พยายามฝึกใช้เสียง"
คนชมฉากสูญเสียแม่?
ใบเฟิร์น - "เราทำการบ้านกับตัวนิราเยอะมาก สองขวบ ห้าขวบ ผ่านอะไรมา อยู่กับแม่ยังไง อยากมีชีวิตสุขสงบกับแม่ที่ต่างประเทศ นาทีนั้นแม่โดนพราก ตอนที่เล่นไม่ได้ดูมอนิเตอร์ ไม่รู้ว่าจะออกมายังไง พอเห็นฟีดแบ็กที่คนชม ชื่นใจมากๆ หายเหนื่อย ต้องขอบคุณพี่กู่ ทีมตากล้องจับภาพเร็ว"
อีกฉากที่คนพูดถึงมาก ฉากแยงโม ตอนเล่นศึกษาหรือจินตนาการอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "โทรหาเพื่อนสาวสอง จะมีหลายคนที่แปลงเพศแล้ว แต่ละคนมีเทคนิคไม่เหมือนกัน บางคนนอนบนเตียง บางคนที่พื้นได้ บางคนนั่งบนส้วม พี่กู่ให้โจทย์อยากให้ทำในห้องน้ำ ก็ให้นั่งขอบส้วมหมิ่นออกมาเลย บางทีภาพในละครทำเยอะไม่ได้ แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคนจริงๆ ส่วนความรู้สึกบางคนไม่เจ็บมาก บางคนเจ็บสุดๆ ช่วงเวลาที่เราทำในละครมีภาพออกไปคือ ตั้งแต่ผ่าแปลงเพศคือสองเดือน ไม่ใช่ครั้งแรกในการแยงโม มันเป็นขนาดที่สอง ก็พยายามคุยหาข้อมูลให้ละเอียดที่สุด บางคนบอกว่าเหมือนแผลสดที่กดลงไป บางคนบอกมันดีขึ้นแล้วถ้าผ่ามาสองเดือน ก็แล้วแต่ความฟื้นตัวของแต่ละคน เราศึกษาเยอะเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกเขาจริงๆ เฟิร์นไม่รู้มาก่อนว่าถ้าผ่ามาแล้วนั่งกับพื้นไม่ได้ ต้องนั่งบนห่วงยาง ลำบากมาก กว่าที่เขาจะมีแบบผู้หญิงเขาต้องผ่านความเจ็บปวดมาก ดีมากที่ละครเรื่องนี้มีมุมแบบนี้ให้หลายคนรู้"
เปิดมาตอนแรกกระแสดี มีแฮชแท็ก #ใบเฟิร์นยืนหนึ่ง คนชมฝีมือการแสดงที่พัฒนาขึ้น?
ใบเฟิร์น - "ดีใจ ภูมิใจ หายเหนื่อย แต่ที่ดีใจกว่าที่เขาเปิดใจให้ตัวละคร เฟิร์นกลัวเขาจะไม่เปิดใจรับนิราในแบบที่เฟิร์นตีความ แต่วันนี้เขายอมรับตั้งแต่ตอนแรก เปิดใจพร้อมจะตามไปกับเรื่องราว"
สาวข้ามเพศมีคอนเมนต์การสวมบทบาทนี้ของเราอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "เขาบอกว่าชอบ เฟิร์นเหมือนทั้งเรื่องการใช้เสียง เสียงเหมือนเขาเลย ก็ดีใจนะ จริงๆ สาวสองเขาเหมือนผู้หญิงผู้ชายที่มีคาแร็กเตอร์ วิธีคิด และภูมิหลังต่างกัน แต่คนชอบบอกว่ากะเทยต้องเป็นแบบนี้ มีภาพแบบนี้ เขาเหมือนคนปกติคนหนึ่งที่สามารถมีได้หลายนิสัย เหมือนผู้หญิงทุกประเภทบนโลกนี้"
"เฟิร์นกลัวมากว่าพอเล่นแล้วจะวิเคราะห์ตัวละครเป็นการตีกรอบว่าต้องเล่นเป็นกะเทยเหมือนจำกัดความ กลายเป็นว่าเราจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ไปตีกรอบให้เขาเป็นภาพนี้ในจอ เรารู้สึกว่าเขาแค่เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดในร่างเด็กผู้ชาย ประเด็นหลักคือการไม่ยอมรับจากคนในครอบครัว จากพ่อที่ว่าเขาผิดปกติวิปริต อยากได้รับการยอมรับบ้าง"
ร่วมงานกับพี่แซม-ยุรนันท์ พุฒ-พุฒิชัย และแตงโม-นิดา เป็นอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "กับพี่แซมเพิ่งร่วมงานครั้งแรก เป็นพ่อลูกกัน เขาไม่ได้เล่นละครนานมาก แต่เขาเหมือนเล่นอยู่ทุกวัน ธรรมชาติ พี่แซมน่ามองมาก เขาเก่งมาก ตอนแรกก็เกร็ง พี่เขาชวนคุยก็ผ่อนคลายขึ้น เขาส่งอารมณ์ดีมาก หลังจากเราแปลงเพศกลับมาเขาจำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเราเป็นลูก อยากได้เราเป็นของเล่น"
"ส่วนพี่พุฒตัวจริงอบอุ่นอารมณ์ดีอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ในเรื่องเรารักอาแต่เขาไม่รู้ จำเราไม่ได้ เขามีเมียอยู่แล้ว จะทำยังไงไม่ให้ผิดไปมากกว่านี้ เราก็อยากให้เขาเลิกกับเมียก่อนค่อยมาเป็นเรื่องของเรา เลิฟซีนไม่เยอะ ประมาณหนึ่ง กับพี่แตงโมก็ทะเลาะกันตลอดในเรื่อง เขาต้องอาละวาดเยอะมาก เพราะนิราไปเกาะแกะสามีเขา"
ได้รับบทบาทที่ทลายกำแพงการแสดงตัวเองขึ้นเรื่อยๆ มีแนวคิดการทำงานอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "อยากให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตลอด รู้สึกยังดีไม่พอ ชอบความรู้สึกที่ว่าจะเล่นไม่ได้ตลอดเวลา กลับบ้านไปคิดตลอดว่าซีนนั้นยังเล่นไม่ดี อยากทำให้ดีกว่านี้ เรายังเรียนแอ๊กติ้งอีกไปเรื่อยๆ อยากมองเห็นตัวละครกว้างอีก ลึกอีก ไม่หยุดเรียนรู้ มีความสุขที่ได้ศึกษาไปเรื่อยๆ"
มองย้อนกลับไปจนถึงวันนี้มองเห็นพัฒนาการทางการแสดงของตัวเองอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "เฟิร์นแทบไม่รู้ตัว คนชมว่าเดี๋ยวนี้เก่งมากเลย อาจจะง่ายขึ้นหลายๆ อย่าง เช่น สมาธิดีขึ้น ไม่ต้องทำอารมณ์นาน รู้สึกมีลิ้นชักให้หยิบมาใช้เยอะขึ้น เช่น เมื่อก่อนเคยเสียใจสุดระดับสิบ เดี๋ยวนี้มีสี่สิบ ห้าสิบ เลือกมาใช้ได้หมด อยู่ที่ว่าจะเลือกมาเล่นขนาดไหนก็ได้ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าวันนี้ฉันมาไกลแล้ว ยังรู้สึกว่าเล่นไม่ได้ทุกวัน อยากให้ดีขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนยิ่งทำความรู้จักกับตัวละครใหม่ ทำให้เรามีลิ้นชักที่เยอะขึ้น เหมือนเรารู้จักคนเต็มไปหมด"
หลังจากนี้คิดว่าจะรับบทอะไรที่ท้าทายความสามารถ ก้าวข้ามขีดจำกัดการแสดงไปอีก?
ใบเฟิร์น - "เฟิร์นไม่เคยแพลนว่าการแสดงต้องไปให้สุดมากขึ้น ต้องยากมากขึ้น ทุกอย่างเป็นจังหวะชีวิต มันเป็นโอกาส ต้องขอบคุณจริงๆ เฟิร์นก็ไม่รู้ว่าจะมีแบบนี้อีกมั้ยในชีวิต อาจจะง่ายกว่านี้หรือยากกว่านี้ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราอยู่กับปัจจุบันกับงานที่ได้รับมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี เฟิร์นเป็นคนที่ทุ่มเทกับตัวละครที่ตัวเองได้รับอยู่แล้ว"
รู้สึกพอใจกับชีวิตในตอนนี้ไหม?
ใบเฟิร์น - "แฮปปี้นะ รู้สึกว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง งานดี รู้สึกโชคดีมากที่ได้ทำในสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้"
มาถึงตอนนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?
ใบเฟิร์น - "คิดว่าประสบความสำเร็จแล้วนะ แต่ไปได้อีกเรื่อยๆ สำหรับเฟิร์นแค่ได้ทำงานที่เรารัก และทำมันได้ดีมีความสุขกับคนรอบข้าง ครอบครัวแฮปปี้ ชีวิตอยู่ได้แล้วมีความสุขแล้ว ถ้าจะดีกว่านี้ก็ให้ดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาทำให้พังทลาย ไม่ต้องมากกว่านี้ ไม่ต้องดังกว่านี้ ไม่ต้องรวยกว่านี้ แต่มีทุกอย่างที่เรามีความสุขทุกวันนี้ไปเรื่อยๆ ชอบชีวิตตัวเองในตอนนี้แล้ว"
พอใจกับชีวิตตัวเองตอนนี้ ถึงแม้จะไม่มีความรักก็ตาม?
ใบเฟิร์น-"ความรักอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ เรามีความสุขดีแล้วจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ถ้าจะมาจริงๆ ก็แอบกลัวผิดหวังเพราะเจ็บมา ตอนนี้ไม่ได้คุยกับใคร เอาจริงๆ ชีวิตตอนนี้ลงล็อกมาก เราเป็นคนเซ้นซิทีฟถ้าเกิดมีความรัก ให้ความรู้สึกไปแล้วเดี๋ยวจะทำให้ชีวิตไม่ดีขึ้น ไม่ได้ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น ก็อย่ามีดีกว่า"
ระวังมากขึ้นที่จะรับใครเข้ามาในหัวใจ?
ใบเฟิร์น - "ใช่ค่ะ เมื่อก่อนจะใช้ความรู้สึกนำ แต่ความเป็นจริงมันทำร้ายเราได้มากเหมือนกัน ก็เลยต้องใช้สมองบ้าง ถึงจะระวังหัวใจตัวเองมากขึ้น แต่ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ก่อนหน้านี้โฟกัสความรักมากไป ตอนนี้พอมีเวลาอยู่กับตัวเองมาโฟกัสงาน รู้แล้วว่าการอยู่แบบนี้ก็อยู่ได้จริงๆ และดีด้วย ไม่ต้องเอาความรู้สึกคาดหวังไปผูกติดกับใครนอกจากสิ่งที่เรากำลังทำอยู่"
ไม่ถึงกับเข็ดหนุ่มในวงการใช่ไหม?
ใบเฟิร์น - "ไม่ได้เหมารวมขนาดนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะมีคนในหรือนอกวงการ มันอาจดีขึ้นในปีสองปีนี้"
ความรักมุมมองโตขึ้น?
ใบเฟิร์น - "น่าจะโตขึ้น เมื่อก่อนเวลาคนพูดว่าเฟิร์นอย่าไปยึดติดมาก อย่าเอาชีวิตไปผูกไว้กับใคร ตอนนั้นไม่เข้าใจ จะมีคนเตือนว่าอายุเท่านี้จะไปคิดเรื่องแต่งงานทำไม คือเราวาดฝันเหมือนผู้หญิงทั่วไป อยากแต่งงานมีลูกมีครอบครัวอบอุ่น โดยตอนนั้นไม่รู้ว่าคำเตือนของคนรอบข้างคืออะไร ผิดหวังมาถึงรู้ ฉันจะไม่พูดเรื่องแต่งงานอีกต่อไป เข้าใจแล้วพอมันไม่เป็นอย่างฝัน พอไปโฟกัสว่าจะต้องแต่งงาน มันทำให้เรามุ่งเป้าไปอย่างนั้น คนที่อยู่ข้างๆ เป็นไงไม่สน เพราะฉันอยากพาเธอไปถึงจุดแต่งงานเหมือนเอาเจ้าบ่าวในฝันมาสวมทับไว้ คนนี้ดีไม่ดีเราก็จะแต่ง ทำให้ปิดทุกอย่าง ซึ่งมันเป็นความคิดในตอนเด็ก"
ทำไมถึงมีความคิดอยากแต่งงาน ทั้งที่ตอนนี้กำลังฮอต มีชื่อเสียง งานปัง?
ใบเฟิร์น - "เราไม่ได้สนใจว่ากำลังฮอต ชื่อเสียงมันมาแล้วก็ไป ความรักนั่นแหละยืนยง มันเป็นผลมาจากการดูการ์ตูนดิสนี่ย์ แฮปปี้เอ็นดิ้ง ขี่ม้ากลับปราสาท แต่งงานอยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์ ไม่น่าเลย รู้อย่างนี้ดูดราก้อนบอลก็ดี และเฟิร์นชอบอ่านหนังสือทฤษฎีโลกสวย จิตวิทยา เพ้อเจ้อคืออาชีพนักแสดงเรามีความสุขที่ได้ทำ แต่สิ่งที่มีความสุขจริงๆ เราจะมีครอบครัวอบอุ่นร เราโชคดีที่ครอบครัวอบอุ่น เห้นพ่อแม่อยู่ด้วยกันมีลูกน่ารัก"
พอมาเจอโลกความเป็นจริง ต่างจากที่วาดฝันไว้?
ใบเฟิร์น - "ก็มีคนบอก มันต้องจริงถึงจะเรียนรู้ เมื่อก่อนบูชาความรัก เป็นไงล่ะ คือเฟิร์นเป็นคนเซ้นซิทีฟมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ขี้สงสาร อินกับอะไรแว้บๆ เอาความรู้สึกนำล้วนๆ ตอนนี้เข้าใจและอยู่ในโลกความเป็นจริงมากขึ้นแล้วค่ะ"
แหล่งที่มา : บทสัมภาษณ์โดยคุณวีรนุช จันทำ จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2562
'ใบเฟิร์น' ขอบคุณโอกาส ไม่หยุดเรียนรู้-ท้าบทสาวสอง
เป็นอย่างไรบ้างกับบท 'นิรา' สาวข้ามเพศครั้งแรก?
ใบเฟิร์น - "กดดันมากกว่าทุกเรื่อง นอกจากอยากถ่ายทอดตัวละครที่ได้รับให้ดีเป็นพื้นฐานแล้ว จะมีความกดดันจากความไว้ใจจากผู้ใหญ่จากรอบข้าง ความรู้สึกตอนแรกที่พี่กู่ (เอกสิทธิ์) ชวนเล่น คือยากมาก มีปมครอบครัว น่าสนใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากเล่น อยากถ่ายทอด เลยตกลงรับเล่น"
รู้สึกอย่างไรกับกระแสตอนแรกที่คนมองว่าทำไมเลือกผู้หญิงมาเล่นเป็นกะเทย?
ใบเฟิร์น - "ในฐานะนักแสดงหน้าที่ส่งมาถึงเราแล้ว ถ้าเราได้รับบทอะไรก็ตาม ต้องทำหน้าที่ของนักแสดงให้ดีที่สุด วิเคราะห์ตัวละครพยายามเข้าใจเขาให้มากที่สุด ไม่ได้โฟกัสว่าบทนี้เป็นชาวข้ามเพศ ไม่ว่าบทนี้จะเป็นใครเราก็ต้องวิเคราะห์ให้รอบด้านที่สุดอยู่แล้ว โดยคาแร็กเตอร์นิราหลักๆ พูดน้อย อาจด้วยเสียงส่วนหนึ่งที่ต้องคุมไว้เดี๋ยวโป๊ะ ระวังตัว ไม่อยากให้ใครรู้จักมาก กลับมาปลอมเอกสารทุกอย่างหมด ไม่มีใครจำเขาได้ จะเรียกว่ากลับมาแก้แค้นก็ได้ แต่จริงๆ มองว่ามันเป็นเรื่องของความรัก มีสองคนที่เขารักที่สุดในชีวิต แม่ที่เสียไป กับพระเอกที่เป็นอาเขยของเขา"
ศึกษาทำการบ้านบุคลิกคาแร็กเตอร์ความเป็นสาวข้ามเพศอย่างไร?
ใบเฟิร์น - พี่เจี๊ยบ (วรรธนา) เขียนบทมาละเอียด เฟิร์นอ่านบทซ้ำอยู่นั่นแหละว่ามีอะไรที่เล่นได้บ้าง แล้วเอาไปคุยกับครูแอ๊กติ้งโค้ช มีการเวิร์กช็อป นิราเป็นคนนิ่งพูดน้อย ไม่จริตจะก้านเยอะเกินผู้หญิง ซึ่งจริงๆ สาวประเภทสองมีหลายประเภท ไม่จำเป็นต้องสะดีดสะดิ้งอย่างเดียว เรียบร้อยแบบผู้หญิงก็มี บางคนดัดเสียงเล็ก บางคนไม่ดัดเสียง พอเป็นนิราเฟิร์นมองว่าเขาไม่ได้อยากทำตัวเป็นผู้หญิงตัวเล็กเสียงเล็ก เขามีปมที่ใหญ่รออยู่ข้างหน้า จะกลับมาแก้แค้นหรือจัดการความรักตัวเอง เขาเลยไม่บีบเสียงเล็ก มานั่งคุยกับผู้กำกับฯ ว่าเห็นเหมือนกันมั้ยว่านิราพูดโทนเสียงปกติ แต่พูดน้อย เพราะรู้ว่าเสียงตัวเองไม่ได้เหมือนผู้หญิง ก็พยายามฝึกใช้เสียง"
คนชมฉากสูญเสียแม่?
ใบเฟิร์น - "เราทำการบ้านกับตัวนิราเยอะมาก สองขวบ ห้าขวบ ผ่านอะไรมา อยู่กับแม่ยังไง อยากมีชีวิตสุขสงบกับแม่ที่ต่างประเทศ นาทีนั้นแม่โดนพราก ตอนที่เล่นไม่ได้ดูมอนิเตอร์ ไม่รู้ว่าจะออกมายังไง พอเห็นฟีดแบ็กที่คนชม ชื่นใจมากๆ หายเหนื่อย ต้องขอบคุณพี่กู่ ทีมตากล้องจับภาพเร็ว"
อีกฉากที่คนพูดถึงมาก ฉากแยงโม ตอนเล่นศึกษาหรือจินตนาการอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "โทรหาเพื่อนสาวสอง จะมีหลายคนที่แปลงเพศแล้ว แต่ละคนมีเทคนิคไม่เหมือนกัน บางคนนอนบนเตียง บางคนที่พื้นได้ บางคนนั่งบนส้วม พี่กู่ให้โจทย์อยากให้ทำในห้องน้ำ ก็ให้นั่งขอบส้วมหมิ่นออกมาเลย บางทีภาพในละครทำเยอะไม่ได้ แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคนจริงๆ ส่วนความรู้สึกบางคนไม่เจ็บมาก บางคนเจ็บสุดๆ ช่วงเวลาที่เราทำในละครมีภาพออกไปคือ ตั้งแต่ผ่าแปลงเพศคือสองเดือน ไม่ใช่ครั้งแรกในการแยงโม มันเป็นขนาดที่สอง ก็พยายามคุยหาข้อมูลให้ละเอียดที่สุด บางคนบอกว่าเหมือนแผลสดที่กดลงไป บางคนบอกมันดีขึ้นแล้วถ้าผ่ามาสองเดือน ก็แล้วแต่ความฟื้นตัวของแต่ละคน เราศึกษาเยอะเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกเขาจริงๆ เฟิร์นไม่รู้มาก่อนว่าถ้าผ่ามาแล้วนั่งกับพื้นไม่ได้ ต้องนั่งบนห่วงยาง ลำบากมาก กว่าที่เขาจะมีแบบผู้หญิงเขาต้องผ่านความเจ็บปวดมาก ดีมากที่ละครเรื่องนี้มีมุมแบบนี้ให้หลายคนรู้"
เปิดมาตอนแรกกระแสดี มีแฮชแท็ก #ใบเฟิร์นยืนหนึ่ง คนชมฝีมือการแสดงที่พัฒนาขึ้น?
ใบเฟิร์น - "ดีใจ ภูมิใจ หายเหนื่อย แต่ที่ดีใจกว่าที่เขาเปิดใจให้ตัวละคร เฟิร์นกลัวเขาจะไม่เปิดใจรับนิราในแบบที่เฟิร์นตีความ แต่วันนี้เขายอมรับตั้งแต่ตอนแรก เปิดใจพร้อมจะตามไปกับเรื่องราว"
สาวข้ามเพศมีคอนเมนต์การสวมบทบาทนี้ของเราอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "เขาบอกว่าชอบ เฟิร์นเหมือนทั้งเรื่องการใช้เสียง เสียงเหมือนเขาเลย ก็ดีใจนะ จริงๆ สาวสองเขาเหมือนผู้หญิงผู้ชายที่มีคาแร็กเตอร์ วิธีคิด และภูมิหลังต่างกัน แต่คนชอบบอกว่ากะเทยต้องเป็นแบบนี้ มีภาพแบบนี้ เขาเหมือนคนปกติคนหนึ่งที่สามารถมีได้หลายนิสัย เหมือนผู้หญิงทุกประเภทบนโลกนี้"
"เฟิร์นกลัวมากว่าพอเล่นแล้วจะวิเคราะห์ตัวละครเป็นการตีกรอบว่าต้องเล่นเป็นกะเทยเหมือนจำกัดความ กลายเป็นว่าเราจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ไปตีกรอบให้เขาเป็นภาพนี้ในจอ เรารู้สึกว่าเขาแค่เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกิดในร่างเด็กผู้ชาย ประเด็นหลักคือการไม่ยอมรับจากคนในครอบครัว จากพ่อที่ว่าเขาผิดปกติวิปริต อยากได้รับการยอมรับบ้าง"
ร่วมงานกับพี่แซม-ยุรนันท์ พุฒ-พุฒิชัย และแตงโม-นิดา เป็นอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "กับพี่แซมเพิ่งร่วมงานครั้งแรก เป็นพ่อลูกกัน เขาไม่ได้เล่นละครนานมาก แต่เขาเหมือนเล่นอยู่ทุกวัน ธรรมชาติ พี่แซมน่ามองมาก เขาเก่งมาก ตอนแรกก็เกร็ง พี่เขาชวนคุยก็ผ่อนคลายขึ้น เขาส่งอารมณ์ดีมาก หลังจากเราแปลงเพศกลับมาเขาจำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเราเป็นลูก อยากได้เราเป็นของเล่น"
ใบเฟิร์น - "อยากให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตลอด รู้สึกยังดีไม่พอ ชอบความรู้สึกที่ว่าจะเล่นไม่ได้ตลอดเวลา กลับบ้านไปคิดตลอดว่าซีนนั้นยังเล่นไม่ดี อยากทำให้ดีกว่านี้ เรายังเรียนแอ๊กติ้งอีกไปเรื่อยๆ อยากมองเห็นตัวละครกว้างอีก ลึกอีก ไม่หยุดเรียนรู้ มีความสุขที่ได้ศึกษาไปเรื่อยๆ"
มองย้อนกลับไปจนถึงวันนี้มองเห็นพัฒนาการทางการแสดงของตัวเองอย่างไร?
ใบเฟิร์น - "เฟิร์นแทบไม่รู้ตัว คนชมว่าเดี๋ยวนี้เก่งมากเลย อาจจะง่ายขึ้นหลายๆ อย่าง เช่น สมาธิดีขึ้น ไม่ต้องทำอารมณ์นาน รู้สึกมีลิ้นชักให้หยิบมาใช้เยอะขึ้น เช่น เมื่อก่อนเคยเสียใจสุดระดับสิบ เดี๋ยวนี้มีสี่สิบ ห้าสิบ เลือกมาใช้ได้หมด อยู่ที่ว่าจะเลือกมาเล่นขนาดไหนก็ได้ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าวันนี้ฉันมาไกลแล้ว ยังรู้สึกว่าเล่นไม่ได้ทุกวัน อยากให้ดีขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนยิ่งทำความรู้จักกับตัวละครใหม่ ทำให้เรามีลิ้นชักที่เยอะขึ้น เหมือนเรารู้จักคนเต็มไปหมด"
หลังจากนี้คิดว่าจะรับบทอะไรที่ท้าทายความสามารถ ก้าวข้ามขีดจำกัดการแสดงไปอีก?
ใบเฟิร์น - "เฟิร์นไม่เคยแพลนว่าการแสดงต้องไปให้สุดมากขึ้น ต้องยากมากขึ้น ทุกอย่างเป็นจังหวะชีวิต มันเป็นโอกาส ต้องขอบคุณจริงๆ เฟิร์นก็ไม่รู้ว่าจะมีแบบนี้อีกมั้ยในชีวิต อาจจะง่ายกว่านี้หรือยากกว่านี้ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราอยู่กับปัจจุบันกับงานที่ได้รับมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี เฟิร์นเป็นคนที่ทุ่มเทกับตัวละครที่ตัวเองได้รับอยู่แล้ว"
มาถึงตอนนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?
ใบเฟิร์น - "คิดว่าประสบความสำเร็จแล้วนะ แต่ไปได้อีกเรื่อยๆ สำหรับเฟิร์นแค่ได้ทำงานที่เรารัก และทำมันได้ดีมีความสุขกับคนรอบข้าง ครอบครัวแฮปปี้ ชีวิตอยู่ได้แล้วมีความสุขแล้ว ถ้าจะดีกว่านี้ก็ให้ดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาทำให้พังทลาย ไม่ต้องมากกว่านี้ ไม่ต้องดังกว่านี้ ไม่ต้องรวยกว่านี้ แต่มีทุกอย่างที่เรามีความสุขทุกวันนี้ไปเรื่อยๆ ชอบชีวิตตัวเองในตอนนี้แล้ว"
ใบเฟิร์น-"ความรักอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ เรามีความสุขดีแล้วจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ถ้าจะมาจริงๆ ก็แอบกลัวผิดหวังเพราะเจ็บมา ตอนนี้ไม่ได้คุยกับใคร เอาจริงๆ ชีวิตตอนนี้ลงล็อกมาก เราเป็นคนเซ้นซิทีฟถ้าเกิดมีความรัก ให้ความรู้สึกไปแล้วเดี๋ยวจะทำให้ชีวิตไม่ดีขึ้น ไม่ได้ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น ก็อย่ามีดีกว่า"
ระวังมากขึ้นที่จะรับใครเข้ามาในหัวใจ?
ไม่ถึงกับเข็ดหนุ่มในวงการใช่ไหม?
ความรักมุมมองโตขึ้น?
ใบเฟิร์น - "น่าจะโตขึ้น เมื่อก่อนเวลาคนพูดว่าเฟิร์นอย่าไปยึดติดมาก อย่าเอาชีวิตไปผูกไว้กับใคร ตอนนั้นไม่เข้าใจ จะมีคนเตือนว่าอายุเท่านี้จะไปคิดเรื่องแต่งงานทำไม คือเราวาดฝันเหมือนผู้หญิงทั่วไป อยากแต่งงานมีลูกมีครอบครัวอบอุ่น โดยตอนนั้นไม่รู้ว่าคำเตือนของคนรอบข้างคืออะไร ผิดหวังมาถึงรู้ ฉันจะไม่พูดเรื่องแต่งงานอีกต่อไป เข้าใจแล้วพอมันไม่เป็นอย่างฝัน พอไปโฟกัสว่าจะต้องแต่งงาน มันทำให้เรามุ่งเป้าไปอย่างนั้น คนที่อยู่ข้างๆ เป็นไงไม่สน เพราะฉันอยากพาเธอไปถึงจุดแต่งงานเหมือนเอาเจ้าบ่าวในฝันมาสวมทับไว้ คนนี้ดีไม่ดีเราก็จะแต่ง ทำให้ปิดทุกอย่าง ซึ่งมันเป็นความคิดในตอนเด็ก"
ทำไมถึงมีความคิดอยากแต่งงาน ทั้งที่ตอนนี้กำลังฮอต มีชื่อเสียง งานปัง?
ใบเฟิร์น - "เราไม่ได้สนใจว่ากำลังฮอต ชื่อเสียงมันมาแล้วก็ไป ความรักนั่นแหละยืนยง มันเป็นผลมาจากการดูการ์ตูนดิสนี่ย์ แฮปปี้เอ็นดิ้ง ขี่ม้ากลับปราสาท แต่งงานอยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์ ไม่น่าเลย รู้อย่างนี้ดูดราก้อนบอลก็ดี และเฟิร์นชอบอ่านหนังสือทฤษฎีโลกสวย จิตวิทยา เพ้อเจ้อคืออาชีพนักแสดงเรามีความสุขที่ได้ทำ แต่สิ่งที่มีความสุขจริงๆ เราจะมีครอบครัวอบอุ่นร เราโชคดีที่ครอบครัวอบอุ่น เห้นพ่อแม่อยู่ด้วยกันมีลูกน่ารัก"
พอมาเจอโลกความเป็นจริง ต่างจากที่วาดฝันไว้?
ใบเฟิร์น - "ก็มีคนบอก มันต้องจริงถึงจะเรียนรู้ เมื่อก่อนบูชาความรัก เป็นไงล่ะ คือเฟิร์นเป็นคนเซ้นซิทีฟมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ขี้สงสาร อินกับอะไรแว้บๆ เอาความรู้สึกนำล้วนๆ ตอนนี้เข้าใจและอยู่ในโลกความเป็นจริงมากขึ้นแล้วค่ะ"
แหล่งที่มา : บทสัมภาษณ์โดยคุณวีรนุช จันทำ จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2562