“น้องชายแดน” ด.ช.ฐปกร ทรัพย์สิน อายุ 14 ปี ชาว จ.ตาก
เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว พ่อรับราชการทหาร แม่เป็นพยาบาล
2- น้องใฝ่ฝันอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ จึงไปหาที่กวดวิชาเพื่อเตรียมเข้าโรงเรียนนายร้อย
จนไปเจอ “โรงเรียนกวดวิชาเตรียมทหารบ้านพี่ณัฐ” ที่ จ.นครสวรรค์
ลักษณะเข้าคอร์สติวแบบกินนอนที่สถาบัน มีกฎระเบียบกึ่งทหาร ค่าเล่าเรียนปีละ 280,000 บาท
พ่อแม่ส่งน้องไปเรียนตามความตั้งใจ ครั้งล่าสุดที่กลับบ้าน
น้องมีสีหน้าเศร้าซึม แต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้พ่อกับแม่ฟัง
วันที่ 13 มิ.ย. น้องชายแดนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพช็อกหมดสติ
อุจจาระปัสสาวะเรี่ยราด แพทย์ระบุว่าน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ศีรษะแตก
แขนขวาหัก อวัยวะภายในบอบช้ำ อัณฑะไหม้คล้ายถูกไฟลน
และติดเชื้อในกระแสเลือด อาการเป็นตายเท่ากัน แล้วเช้าวันต่อมาน้องก็เสียชีวิต
นายณัฐพล อายุ 27 ปี เจ้าของสถาบันกวดวิชาอ้างว่านักเรียนเล่นกันเอง
โดยสกัดให้ล้มเหมือนการเล่นรักบี้ แล้วล้มทับกันเป็นชั้นๆ น้องชายแดนอยู่ล่างสุด
เมื่อหลุดออกมาได้ น้องวิ่งหนีขึ้นไปชั้น 2 และหกล้มตรงบันได
ทำให้ศีรษะแตกและหมดสติ ตนจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล
พ่อไม่เชื่อและมั่นใจว่าลูกถูกทำร้าย จึงไปแจ้งความ
ตำรวจอายัดศพของน้องชายแดนเพื่อส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวช
ตำรวจเข้าตรวจสอบสถาบันกวดวิชา พบว่าเป็นสถาบันกวดวิชาเถื่อน
ส่วนนายณัฐพลจบจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 53
และศึกษาต่อที่โรงเรียนนายเรืออากาศ แต่ออกกลางคันตอนอยู่ปี 1
แล้วผันตัวมาเปิดสถาบันกวดวิชาเตรียมทหาร
ตำรวจพบว่าชนวนเหตุเกิดจากเจ้าของสถาบันไม่พอใจน้องชายแดนบางอย่าง
ค่ำวันที่ 8 มิ.ย. ครูกับลูกศิษย์หัวโจก 3 คนได้รุมทำร้ายน้องอย่างรุนแรงจนบอบช้ำทั้งตัว
แต่ไม่ยอมพาไปโรงพยาบาล และยึดโทรศัพท์มือถือไว้ไม่ให้ติดต่อพ่อแม่ได้
วันที่ 12 มิ.ย. น้องทนเจ็บไม่ไหว จึงไปขอโทรศัพท์คืนจากแม่ยายนายณัฐพล
ซึ่งเป็นคนเก็บโทรศัพท์ไว้ เพื่อโทรให้พ่อแม่มาพาไปโรงพยาบาล แต่ถูกปฏิเสธ
น้องจึงสบถออกมา แม่ยายนำเรื่องไปฟ้องลูกเขย นายณัฐพลจึงตีน้องซ้ำด้วยไม้เบสบอลอีก 20 ที
ตำรวจสอบสวนเด็กทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน แต่เด็กมีอาการหวาดกลัวมาก
ต้องใช้เวลานานถึง 72 ชม.ในการทำให้เด็กวางใจ ซึ่งเด็กให้การตรงกันว่า
นายณัฐพลกับศิษย์ที่เป็นหัวโจกอีก 3 คนรุมทำร้ายน้องชายแดน
ด.ช.ตี๋ (นามสมมุติ) ซึ่งลาออกไปแล้วให้การว่า ตนเคยถูกซ้อมจนทนไม่ไหว
ต้องปีนกำแพงหนีกลางดึก ไปซ่อนตัวอยู่บ้านข้างๆ
จากนั้นนายณัฐพลได้เรียกเงิน 18,000 บาทจากครอบครัวของ ด.ช.ตี๋
อ้างว่าข้างบ้านเรียกค่าเสียหายสำหรับกำแพง แต่เจ้าของบ้านยืนยันว่าไม่เคยเรียกเก็บเงินเลย
ด.ช.เอ (นามสมมุติ) เพื่อนสนิทของน้องชายแดน ซึ่งลาออกไปก่อนหน้านี้เล่าว่า
ครูมักทำโทษเด็กรุนแรง เช่น ตีด้วยไม้หวาย หวดด้วยไม้เบสบอล
และเคยต่อยตนจนเลือดกบปาก เพียงเพราะหยิบขนมในตู้เย็นกิน
ด.ช.เอลาออกไปก่อนที่น้องชายแดนจะถูกทำร้าย
ในวันที่ ด.ช.เอกลับไปเก็บของเห็นน้องชายแดนนอนเจ็บอยู่บนเตียง แต่น้องไม่กล้าบอกอะไรเพื่อน
ด.ชเอเล่าว่า ในสถาบันมีหัวโจก 3 คนที่เป็นศิษย์โปรดของครู
หากสามคนนี้ไม่ชอบหน้าใครก็จะไปขอครูรุมทำร้ายเด็กคนนั้น
ซึ่งครูก็จะบอกว่าทำได้แต่อย่าให้เจ็บหนัก ตนรับเรื่องนี้ไม่ได้จึงลาออก
เด็กยังให้การตรงกันว่า ครูชอบอวดอ้างว่ามีองค์ของพ่อปู่
ใครพูดอะไรทำอะไรครูรู้เห็นหมด และอ้างว่ารู้จักกับนายทหารทุกระดับ
ทำให้เด็กกลัวครูมาก ไม่กล้านำเรื่องไปบอกใครแม้แต่พ่อแม่
แม้จะมีเด็กบางคนลาออก แต่ก็มีเด็กอีกหลายคนที่ต้องทน เพราะพ่อแม่ไปกู้เงินมาเป็นค่าเล่าเรียน
วันที่ 18 มิ.ย. ตำรวจบุกจับนายณัฐพล ภรรยา (25 ปี) และแม่ยาย (54 ปี) ที่สถาบัน
โดยนายณัฐพลถึงกับร้องไห้โฮกลางห้องขัง แต่ก็ไม่ยอมรับสารภาพ
และเตรียมให้ทนายขอประกันตัว แต่ศาลไม่อนุญาต
เด็กชาย 1 ใน 3 หัวโจกบอกตำรวจว่า ครูนำไม้เบสบอล 10 อันที่ใช้ตีน้องชายแดน
ไปทิ้งทำลายหลักฐานที่สะพานข้ามแม่น้ำปิง นักประดาน้ำลงงมหาแต่ไม่พบ เนื่องจากกระแสน้ำเชี่ยวมาก
วันที่ 19 มิ.ย. เด็กชายวัย 12 ขวบคนหนึ่ง ให้แม่นำถุงไม้เบสบอล 4 อันมามอบให้ตำรวจ
โดยเล่าว่าเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ตนมาตกปลาใต้สะพาน แล้วเกี่ยวเอาถุงห่อไม้เบสบอลขึ้นมา
ไม่ทราบว่าเป็นของใครจึงเอากลับบ้าน
ต่อมาเด็กเห็นข่าวน้องชายแดน และเห็นป้ายสติ๊กเกอร์ตรงถุงเป็นชื่อนายณัฐพล
จึงรีบบอกแม่ให้โทรแจ้งตำรวจ หลังจากนั้นตำรวจยังงมพบไม้เบสบอลเพิ่มอีก 4 อัน
แม่น้องชายแดนเปิดเผยข้อความในสมุดบันทึกประจำวันของลูกชาย
เขียนไว้เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 62 หัวข้อ “วันกลับบ้าน” ความตอนหนึ่งว่า...
“วันนั้นเป็นวันที่ผมรอที่จะได้เจอพ่อและแม่
เป็นเวลาหลายเดือนที่ผมไม่ได้พบพวกท่าน ผมมีความสุขมาก”
—————
เป็นการสรุปข่าวที่เขียนไปน้ำตาไหลไป ขอให้วิญญาณของน้องไปสู่สุคติ
ใครที่ทำกับน้องไว้ขอให้ได้รับผลกรรม ขอให้น้องและครอบครัวได้รับความยุติธรรม
และขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของน้องด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/1093222840880948/photos/a.1093287734207792/1271702649699632/?type=3&theater
น้องชายแดน กับความฝันและชีวิตของเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งถูกพรากไปตลอดกาล
“น้องชายแดน” ด.ช.ฐปกร ทรัพย์สิน อายุ 14 ปี ชาว จ.ตาก
เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว พ่อรับราชการทหาร แม่เป็นพยาบาล
2- น้องใฝ่ฝันอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ จึงไปหาที่กวดวิชาเพื่อเตรียมเข้าโรงเรียนนายร้อย
จนไปเจอ “โรงเรียนกวดวิชาเตรียมทหารบ้านพี่ณัฐ” ที่ จ.นครสวรรค์
ลักษณะเข้าคอร์สติวแบบกินนอนที่สถาบัน มีกฎระเบียบกึ่งทหาร ค่าเล่าเรียนปีละ 280,000 บาท
พ่อแม่ส่งน้องไปเรียนตามความตั้งใจ ครั้งล่าสุดที่กลับบ้าน
น้องมีสีหน้าเศร้าซึม แต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้พ่อกับแม่ฟัง
วันที่ 13 มิ.ย. น้องชายแดนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพช็อกหมดสติ
อุจจาระปัสสาวะเรี่ยราด แพทย์ระบุว่าน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ศีรษะแตก
แขนขวาหัก อวัยวะภายในบอบช้ำ อัณฑะไหม้คล้ายถูกไฟลน
และติดเชื้อในกระแสเลือด อาการเป็นตายเท่ากัน แล้วเช้าวันต่อมาน้องก็เสียชีวิต
นายณัฐพล อายุ 27 ปี เจ้าของสถาบันกวดวิชาอ้างว่านักเรียนเล่นกันเอง
โดยสกัดให้ล้มเหมือนการเล่นรักบี้ แล้วล้มทับกันเป็นชั้นๆ น้องชายแดนอยู่ล่างสุด
เมื่อหลุดออกมาได้ น้องวิ่งหนีขึ้นไปชั้น 2 และหกล้มตรงบันได
ทำให้ศีรษะแตกและหมดสติ ตนจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล
พ่อไม่เชื่อและมั่นใจว่าลูกถูกทำร้าย จึงไปแจ้งความ
ตำรวจอายัดศพของน้องชายแดนเพื่อส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวช
ตำรวจเข้าตรวจสอบสถาบันกวดวิชา พบว่าเป็นสถาบันกวดวิชาเถื่อน
ส่วนนายณัฐพลจบจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 53
และศึกษาต่อที่โรงเรียนนายเรืออากาศ แต่ออกกลางคันตอนอยู่ปี 1
แล้วผันตัวมาเปิดสถาบันกวดวิชาเตรียมทหาร
ตำรวจพบว่าชนวนเหตุเกิดจากเจ้าของสถาบันไม่พอใจน้องชายแดนบางอย่าง
ค่ำวันที่ 8 มิ.ย. ครูกับลูกศิษย์หัวโจก 3 คนได้รุมทำร้ายน้องอย่างรุนแรงจนบอบช้ำทั้งตัว
แต่ไม่ยอมพาไปโรงพยาบาล และยึดโทรศัพท์มือถือไว้ไม่ให้ติดต่อพ่อแม่ได้
วันที่ 12 มิ.ย. น้องทนเจ็บไม่ไหว จึงไปขอโทรศัพท์คืนจากแม่ยายนายณัฐพล
ซึ่งเป็นคนเก็บโทรศัพท์ไว้ เพื่อโทรให้พ่อแม่มาพาไปโรงพยาบาล แต่ถูกปฏิเสธ
น้องจึงสบถออกมา แม่ยายนำเรื่องไปฟ้องลูกเขย นายณัฐพลจึงตีน้องซ้ำด้วยไม้เบสบอลอีก 20 ที
ตำรวจสอบสวนเด็กทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน แต่เด็กมีอาการหวาดกลัวมาก
ต้องใช้เวลานานถึง 72 ชม.ในการทำให้เด็กวางใจ ซึ่งเด็กให้การตรงกันว่า
นายณัฐพลกับศิษย์ที่เป็นหัวโจกอีก 3 คนรุมทำร้ายน้องชายแดน
ด.ช.ตี๋ (นามสมมุติ) ซึ่งลาออกไปแล้วให้การว่า ตนเคยถูกซ้อมจนทนไม่ไหว
ต้องปีนกำแพงหนีกลางดึก ไปซ่อนตัวอยู่บ้านข้างๆ
จากนั้นนายณัฐพลได้เรียกเงิน 18,000 บาทจากครอบครัวของ ด.ช.ตี๋
อ้างว่าข้างบ้านเรียกค่าเสียหายสำหรับกำแพง แต่เจ้าของบ้านยืนยันว่าไม่เคยเรียกเก็บเงินเลย
ด.ช.เอ (นามสมมุติ) เพื่อนสนิทของน้องชายแดน ซึ่งลาออกไปก่อนหน้านี้เล่าว่า
ครูมักทำโทษเด็กรุนแรง เช่น ตีด้วยไม้หวาย หวดด้วยไม้เบสบอล
และเคยต่อยตนจนเลือดกบปาก เพียงเพราะหยิบขนมในตู้เย็นกิน
ด.ช.เอลาออกไปก่อนที่น้องชายแดนจะถูกทำร้าย
ในวันที่ ด.ช.เอกลับไปเก็บของเห็นน้องชายแดนนอนเจ็บอยู่บนเตียง แต่น้องไม่กล้าบอกอะไรเพื่อน
ด.ชเอเล่าว่า ในสถาบันมีหัวโจก 3 คนที่เป็นศิษย์โปรดของครู
หากสามคนนี้ไม่ชอบหน้าใครก็จะไปขอครูรุมทำร้ายเด็กคนนั้น
ซึ่งครูก็จะบอกว่าทำได้แต่อย่าให้เจ็บหนัก ตนรับเรื่องนี้ไม่ได้จึงลาออก
เด็กยังให้การตรงกันว่า ครูชอบอวดอ้างว่ามีองค์ของพ่อปู่
ใครพูดอะไรทำอะไรครูรู้เห็นหมด และอ้างว่ารู้จักกับนายทหารทุกระดับ
ทำให้เด็กกลัวครูมาก ไม่กล้านำเรื่องไปบอกใครแม้แต่พ่อแม่
แม้จะมีเด็กบางคนลาออก แต่ก็มีเด็กอีกหลายคนที่ต้องทน เพราะพ่อแม่ไปกู้เงินมาเป็นค่าเล่าเรียน
วันที่ 18 มิ.ย. ตำรวจบุกจับนายณัฐพล ภรรยา (25 ปี) และแม่ยาย (54 ปี) ที่สถาบัน
โดยนายณัฐพลถึงกับร้องไห้โฮกลางห้องขัง แต่ก็ไม่ยอมรับสารภาพ
และเตรียมให้ทนายขอประกันตัว แต่ศาลไม่อนุญาต
เด็กชาย 1 ใน 3 หัวโจกบอกตำรวจว่า ครูนำไม้เบสบอล 10 อันที่ใช้ตีน้องชายแดน
ไปทิ้งทำลายหลักฐานที่สะพานข้ามแม่น้ำปิง นักประดาน้ำลงงมหาแต่ไม่พบ เนื่องจากกระแสน้ำเชี่ยวมาก
วันที่ 19 มิ.ย. เด็กชายวัย 12 ขวบคนหนึ่ง ให้แม่นำถุงไม้เบสบอล 4 อันมามอบให้ตำรวจ
โดยเล่าว่าเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ตนมาตกปลาใต้สะพาน แล้วเกี่ยวเอาถุงห่อไม้เบสบอลขึ้นมา
ไม่ทราบว่าเป็นของใครจึงเอากลับบ้าน
ต่อมาเด็กเห็นข่าวน้องชายแดน และเห็นป้ายสติ๊กเกอร์ตรงถุงเป็นชื่อนายณัฐพล
จึงรีบบอกแม่ให้โทรแจ้งตำรวจ หลังจากนั้นตำรวจยังงมพบไม้เบสบอลเพิ่มอีก 4 อัน
แม่น้องชายแดนเปิดเผยข้อความในสมุดบันทึกประจำวันของลูกชาย
เขียนไว้เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 62 หัวข้อ “วันกลับบ้าน” ความตอนหนึ่งว่า...
“วันนั้นเป็นวันที่ผมรอที่จะได้เจอพ่อและแม่
เป็นเวลาหลายเดือนที่ผมไม่ได้พบพวกท่าน ผมมีความสุขมาก”
—————
เป็นการสรุปข่าวที่เขียนไปน้ำตาไหลไป ขอให้วิญญาณของน้องไปสู่สุคติ
ใครที่ทำกับน้องไว้ขอให้ได้รับผลกรรม ขอให้น้องและครอบครัวได้รับความยุติธรรม
และขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของน้องด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/1093222840880948/photos/a.1093287734207792/1271702649699632/?type=3&theater