OPPO ได้ทำการเปิดตัว OPPO F11 Pro ไปไม่นานก็ชูเรื่องจุดเด่นกล้องหน้า Rising Camera แต่ในครั้งนี้ได้ทำรุ่น F11 เปิดตัวมาด้วยราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าและสเปคอะไรหลายๆอย่างนั้นเหมือนกันทั้งหมดแตกต่างกันแค่ในเรื่องการออกแบบกล้องหน้าที่ในรุ่น F11 นี้จะเป็นกล้องหน้าแบบปกติ แบบติ่งหยดน้ำบนหน้าจอแทนครับไม่ใช่กล้องที่เลื่อนขึ้นลงได้นั้นเอง แต่ทางด้านสเปค CPU อะไรทั้งหลายรวมถึงกล้องหลัง และเทคโนโลยี VOOC 3.0 นั้นจัดเต็มเหมือนกับรุ่นพี่ F11 Pro ทั้งหมด ต้องบอกว่าทำออกมาตอบโจทย์มากๆสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจกล้องแบบใหม่มากนักแต่ได้ สเปค ฟีเจอร์แบบเดียวกันทั้งหมด รวมถึงราคาที่ทำออกมานั้นทำได้ดีและอยู่ในงบที่ดีมากๆอีกตัวเลย
OPPO F11 นั้นเปิดตัวมาด้วยการชูเรื่องของ กล้องหลังคู่ความละเอียดถึง 48 ล้าน + 5 ล้านพิกเซล อีกทั้งยังเป็นการใช้กล้องหน้า 6.5 นิ้วกว้างเต็มตาด้วยสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องมากถึง 90.9% แบตเตอร์รี่ขนาด 4,020 มิลลิแอมป์ มาคู่กับเทคโนโลยี VOOC 3.0 ชาร์จไวขึ้น 20% อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Hyper Boost ทำงานร่วมกับ MediaTek Helio P70 ที่ทำให้สามารถเล่นเกม ดูหนัง หรือใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้อย่างลื่นไหล ซึ่งเป็นสเปคที่แรงและสมราคาแบบเดียวกับ F11 Pro กันเลยแต่ครั้งนี้มาพร้อมราคาที่จับต้องง่ายและกล้องหน้าแบบติ่งหยดน้ำนั้นเองครับสำหรับใครที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องกล้องหน้าแบบ Rising มากนักก็สามารถใช้รุ่นนี้ได้แบบประหยัดงบ
OPPO F11 มีให้เลือก 2 สี คือ Fluorite Purple และ Marble Green มาพร้อมราคา 8,990 บาท
UNBOX
- ตัวเครื่อง OPPO F11
- เคส TPU
- สายชาร์จ Micro-Usb รองรับ VOOC 3.0
- Adaptor VOOC 3.0
- ที่จิ้มซิม คู่มือ
- หูฟัง 3.5 มม.
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้แล้ว
ตัวเคสนั้นเป็นเคสแบบนิ่ม TPU ที่คุ้นเคยกันดีแต่ไม่ย้วยแบบตัวอื่นๆครับมีความแข็งแรงและเป็นทรงมากกว่าตัวอื่นๆเคสคลุมเครื่องได้ดีทั้งหน้าและหลังปกป้องกล้องและหน้าจอเวลาวางได้เป็นอย่างดี ซึ่งในรุ่นนี้นั้นไม่ต้องเปิดหัวท้ายเพื่อให้กล้องนั้นเลื่อนเลยทำให้มันปกป้องได้ดีกว่ารุ่น Pro ครับ ก็ถือว่าเป็นเคสที่แถมที่ดูดีกว่าตัวอื่นๆนะครับ ไม่กัดเครื่องด้วยโอเคเลยแหละใช้งานแก้ขัดได้สบายๆและมีฟิล์มมาให้เรียบร้อย
DESIGN
การออกแบบในรุ่นนี้ต้องบอกว่ามันไม่ใช่แค่ตัดกล้องหน้า Rising ออกไปแต่เปลี่ยนการออกแบบทั้งด้านหลัง ปุ่มต่างๆตำแหน่งอะไรมีเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย และรวมถึงหน้าจอก็เปลี่ยนไปครับ ด้านหลังนั้นมาในสีที่เรียบกว่าปกติ โทนสีไม่มีการเล่นลวดลายอะไร มาพร้อมสีเข้มและเล่นกับสีทองบริเวณกล้องต่างๆ ส่วนน้ำหนักก็เท่ากันเป๊ะๆกับรุ่นพี่ งานประกอบอะไรนั้นทำได้ดีและรวมถึงคุณภาพวัสดุอะไรไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ด้านหน้าก็มีติ่งหน้าจอที่แตกต่างกันแบบชัดเจนและคุณภาพหน้าจออะไรต่างๆนั้นไม่ได้หนีกันมากครับใกล้ๆกันเลยรวมถึงการสู้แสงอะไรทำได้ดีเหมือนกัน
หน้าจอในรุ่นนี้เป็นหน้าจอแบบ ติ่งหยดน้ำ IPS LCD Waterdrop Display ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 397 ppi) คุณภาพหน้าจอใกล้ๆกับของตัว Pro ครับ
ในส่วนของขอบจอด้านบนตัวนี้จะเป็นจุดหลักๆที่แตกต่างกับทาง F11 Pro แบบชัดเจนคือรุ่นนี้จะเป็นติ่งหน้าจอแบบหยดน้ำมาพร้อมกับกล้อง และ เซนเซอร์อะไรไว้ตรงติ่งทั้งหมด และกล้องหน้าเป็นความละเอียด 16MP F2.0 เท่ากัน
ด้านขอบล่างนั้นจะมีความหนาพอสมควรด้วยการผลิตและการออกแบบเลยจำเป็นที่จะต้องมีขอบอยู่นะครับด้วยปัจจัยหลายๆอย่างและคุมไม่ให้ราคาสูงเกินไปด้วย และ ปุ่มควบคุมทั้งหมดนั้นอยู่บนจอและสามารถใช้งานเต็มจอได้สบาย
ขอบด้านล่างเครื่องเป็นรูลำโพงหลักครับ พร้อมกับ พอร์ต Micro-USB รวมถึง ไมค์ และ รู 3.5มม. เสียดายตรงนี้นิดหน่อยที่ยังเป็น Micro-USB แทนที่จะเป็น USB-C ครับ
ขอบด้านซ้ายนั้นเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิม และ ปุ่มเพิ่มลดเสียงครับ จะไม่เหมือนกับตัว F11 Pro ในด้านของปุ่ม การออกแบบ ฝาหลังนั้นโค้งลงมาขอบข้างๆด้วยทำให้เวลาจับถือนั้นสะดวกและจับได้ค่อนข้างง่ายกว่าแบบเรียบๆเยอะเลย
ด้านบนนั้น เป็นที่อยู่ในซ้ายสุดจะเป็นรูไมค์ และเรียบๆครับไม่มีอะไรในจุดนี้วัสดุขอบเครื่องเป็นดำเงาทั้งหมด
ขอบด้านขวาตัวเครื่องนั้นเป็นปุ่ม Power อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้พอดีและกดได้ง่ายครับ มีขีดสีฟ้าเขียวๆบอกตำแหน่งชัดเจน ส่วนวัสดุเป็นอลูมิเนียมทำสีแบบเดียวกับฝาหลังทั้งหมด
ด้านหลังเป็นการออกแบบ ที่แตกต่างกับรุ่น Pro ชัดเจนทั้ง ตำแหน่งการวางกล้อง สแกนนิ้ว ไฟแฟลชต่างๆ รวมถึง ฝาหลังก็เรียบๆไม่ได้มีการเล่นกับตัว S อะไร และ เขียนว่า Design by OPPO แต่ก็แปลกๆไปนิดเพราะมันอ่าน รวมๆจะเป็น OPPO DESIGN BY OPPO ก็แปลกดี กล้องหลังเป็น 2 ตัวหลักๆในการถ่ายและจับระยะครับ
กล้องหลังตัวนี้จะไม่ใช่การออกแบบครอบโมดูลรวมแบบ F11 Pro นะครับจะแตกต่างกันชัดเจนแต่ในเรื่องกล้องนั้นสเปคอะไรต่างๆมาให้เหมือนกันครับ เป็นกล้องหลังคู่ที่ ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล F/1.79 + F/2.4
SPEC
- จอแสดงผล : 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2340 x1080) 397 ppi อัตราส่วนหน้าจอ 90.9%
- ระบบปฏิบัติการ : Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6.0
- ชิปเซ็ต : Helio P70
- GPU : ARM Mali-G72 MP3 900MHz
- RAM : 4GB
- หน่วยความจำภายใน : 128GB + เพิ่ม MicroSD Card ได้ถึง 256GB
- กล้องหลังคู่ : 48MP F1.79 + 5MP F2.4
- กล้องหน้า : 16MP F2.0
- ถ่ายวิดีโอ : รองรับ 1080P / 720P ทั้งหน้าและหลัง
- แบตเตอรี่ : 4020 มิลลิแอมป์ รองรับชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0
- รองรับ Dual Nano-SIM Cards (Hybrid slot)
- การเชื่อมต่อ GPS: GPS/A-GPS/GLONASS/Beidou
- Bluetooth: 4.2
- WiFi 802.11 a/b/g/n/ac รองรับ 2.4GHz และ 5GHz
- USB 2.0
- ขนาดตัวเครื่อง : 161.3 x 7.61 x 76.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 190 กรัม
- สี Flourite Purple และ Marble Green
- ราคาเปิดตัวในไทย 8,990 บาท
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพ ในตัวนี้มาพร้อมกับ MTK P70 และ ร่วมการทำงานกับระบบ Hyperboost จากทาง OPPO ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้ให้รวดเร็วและตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น 30% ถึง 3 ด้าน ด้านเกมส์, ด้านระบบ และด้านแอพพลิเคชั่น ให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น ด้วยส่วนทางด้านคะแนน Antutu ทำได้ไป 115635 คะแนนส่วนคะแนน Geekbench ทำได้ 1566 และ 5979 ส่วนทางด้านความปลอดกัยปกติเลยได้ L3 ครับผมไม่สามารถดู NETFLIX ความละเอียดสูงได้ และ เก็บข้อมูลแบบ EMMC5.1
SOFTWARE UI : COLOUR OS 6
หน้าตาระบบรุ่นนี้มีการปรับปรุงอีกครั้งมาใช้ Colour OS 6 ร่วมกับ Android 9 หน้าตาเปลี่ยนไปพอสมควรครับทั้งการตั้งค่า การใช้งานทั่วไป แต่หน้าหลักๆนั้นยังคงมีมาคล้ายๆเดิมครับการแจ้งเตือนใช้ได้ มีเลขมุมแอพอะไรปกติครับไอคอนเป็นทรงกลมซะส่วนใหญ่ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปลงตัวกับขนาดหน้าจอของตัวเครื่องครับ
หน้าการแจ้งเตือนและ Quick Setting นั้นเป็นอีกจุดที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ ไอคอนการตั้งค่าอะไรเปลี่ยนไปทั้งหมด รวมถึงเป็นการใช้สี่เหลี่ยมด้วยครับ การปรับแสง การกดเข้าอะไรต่างๆนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดรวมถึงไอคอนรูปเฟืองก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อลากลงมาก็เป็นการตั้งค่าแบบเต็มครับ รวมถึงแบ่งหน้าจออะไรนั้นยังมีมาให้ปกติ
ทางด้านแป้นพิมพ์นั้นเป็นของ Google ที่คุ้นเคยกันดีครับใช้ง่ายและเสถียรมากๆ ส่วนหน่วยความจำพื้นที่ตัวเครื่อง มาให้ 128GB นั้นเหลือใช้งานได้ 98.1 หลังจากหักระบบออกไป และ RAM นั้นใช้งานเหลือ 1.37 จาก 4GB ครับ
โคลนแอพตอนนี้มีขึ้นแค่ 2 แอพหลักๆครับ ส่วนปุ่มนำทางสามารสลับตำแหน่งได้ และ สามารถใช้งานแบบเต็มจอได้ด้วยแบบปัดไปๆมาๆ และ การสแกนนิ้ว สแกนใบหน้าอะไรมีมาให้ครบครับ การสแกนหน้าแบบ 2 มิติ แสงน้อยสแกนยากนิดหน่อยครับ แต่ถ้าแสงปกติก็ไวพอสมควรไม่ก็ใช้งานสแกนนิ้วด้านหลังได้ปกติครับผม
ส่วนการโคลนแอพ อะไรทั้งหลายก็มีมาให้ครับผม รวมถึงตัว Game Space มาใหม่อันนี้น่าสนใจยังไงไปดูในหัวข้อ Gaming ได้เลย และ ยังมีผู้ช่วยอัจฉริยะมาให้ในการปัดมาด้านขวาในจอหลักจะคอยช่วยในการจัดการแจ้งเตือนอะไรต่างๆ หรือ ดูการใช้งานของเราว่าเน้นอะไรยังไงก็จะเสนอมาให้ใช้งานกันเลย อีกทั้งยังมีโหมดช่วยขับรถมาให้จะดูแลการแจ้งเตือน ขณะขับขี่ ระบบจะทำ การปิดเสียงการแจ้งเตือน ระบบจะใช้ตัวอักษรและ ปุ่มขนาดใหญ่ที่สามารถรับหรือปฏิเสธได้เท่านั้น และส่ง SMS ตอบกลับให้เองเลย
Smartbar แถบหน้าจอด้านข้างก็ รองรับการแชร์ไฟล์ที่เพิ่งเปิดขึ้นได้ เพิ่มเครื่องมือหรือแอปพลิเคชัน บันทึกหน้าจอในรูปแบบวิดีโอ และ จับภาพหน้าจอ นอกจากนี้ Smartbar ยังมีโฟลเดอร์การจัดการให้เพิ่มรายการโปรดเข้าไปเพื่อดูรายการโปรดได้สบาย Gesture นั้นยังมีมาให้ครบทั้งการวาด การใช้งานท่าทางต่างๆครับ
THEME
สำหรับหน้าตาตัว UI สามารถปรับเปลี่ยนได้นิดหน่อยครับซึ่งมีให้เลือกในแอพธีม และสามารถปรับเปลี่ยนได้หลักๆคือหน้าต้า ICON หน้าตาหน้า Lockscreen และ Wallpaper รวมๆครับซึ่งหน้าโทร หน้าส่งข้อความจะไม่เปลี่ยนตาม
[SR] รีวิว OPPO F11 น้องเล็ก กล้อง 48MP พร้อม VOOC 3.0 ในราคา 8,990 บาท !
OPPO ได้ทำการเปิดตัว OPPO F11 Pro ไปไม่นานก็ชูเรื่องจุดเด่นกล้องหน้า Rising Camera แต่ในครั้งนี้ได้ทำรุ่น F11 เปิดตัวมาด้วยราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าและสเปคอะไรหลายๆอย่างนั้นเหมือนกันทั้งหมดแตกต่างกันแค่ในเรื่องการออกแบบกล้องหน้าที่ในรุ่น F11 นี้จะเป็นกล้องหน้าแบบปกติ แบบติ่งหยดน้ำบนหน้าจอแทนครับไม่ใช่กล้องที่เลื่อนขึ้นลงได้นั้นเอง แต่ทางด้านสเปค CPU อะไรทั้งหลายรวมถึงกล้องหลัง และเทคโนโลยี VOOC 3.0 นั้นจัดเต็มเหมือนกับรุ่นพี่ F11 Pro ทั้งหมด ต้องบอกว่าทำออกมาตอบโจทย์มากๆสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจกล้องแบบใหม่มากนักแต่ได้ สเปค ฟีเจอร์แบบเดียวกันทั้งหมด รวมถึงราคาที่ทำออกมานั้นทำได้ดีและอยู่ในงบที่ดีมากๆอีกตัวเลย
OPPO F11 นั้นเปิดตัวมาด้วยการชูเรื่องของ กล้องหลังคู่ความละเอียดถึง 48 ล้าน + 5 ล้านพิกเซล อีกทั้งยังเป็นการใช้กล้องหน้า 6.5 นิ้วกว้างเต็มตาด้วยสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องมากถึง 90.9% แบตเตอร์รี่ขนาด 4,020 มิลลิแอมป์ มาคู่กับเทคโนโลยี VOOC 3.0 ชาร์จไวขึ้น 20% อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Hyper Boost ทำงานร่วมกับ MediaTek Helio P70 ที่ทำให้สามารถเล่นเกม ดูหนัง หรือใช้งานหลายแอปพร้อมกันได้อย่างลื่นไหล ซึ่งเป็นสเปคที่แรงและสมราคาแบบเดียวกับ F11 Pro กันเลยแต่ครั้งนี้มาพร้อมราคาที่จับต้องง่ายและกล้องหน้าแบบติ่งหยดน้ำนั้นเองครับสำหรับใครที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องกล้องหน้าแบบ Rising มากนักก็สามารถใช้รุ่นนี้ได้แบบประหยัดงบ
OPPO F11 มีให้เลือก 2 สี คือ Fluorite Purple และ Marble Green มาพร้อมราคา 8,990 บาท
UNBOX
- ตัวเครื่อง OPPO F11
- เคส TPU
- สายชาร์จ Micro-Usb รองรับ VOOC 3.0
- Adaptor VOOC 3.0
- ที่จิ้มซิม คู่มือ
- หูฟัง 3.5 มม.
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้แล้ว
ตัวเคสนั้นเป็นเคสแบบนิ่ม TPU ที่คุ้นเคยกันดีแต่ไม่ย้วยแบบตัวอื่นๆครับมีความแข็งแรงและเป็นทรงมากกว่าตัวอื่นๆเคสคลุมเครื่องได้ดีทั้งหน้าและหลังปกป้องกล้องและหน้าจอเวลาวางได้เป็นอย่างดี ซึ่งในรุ่นนี้นั้นไม่ต้องเปิดหัวท้ายเพื่อให้กล้องนั้นเลื่อนเลยทำให้มันปกป้องได้ดีกว่ารุ่น Pro ครับ ก็ถือว่าเป็นเคสที่แถมที่ดูดีกว่าตัวอื่นๆนะครับ ไม่กัดเครื่องด้วยโอเคเลยแหละใช้งานแก้ขัดได้สบายๆและมีฟิล์มมาให้เรียบร้อย
DESIGN
การออกแบบในรุ่นนี้ต้องบอกว่ามันไม่ใช่แค่ตัดกล้องหน้า Rising ออกไปแต่เปลี่ยนการออกแบบทั้งด้านหลัง ปุ่มต่างๆตำแหน่งอะไรมีเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย และรวมถึงหน้าจอก็เปลี่ยนไปครับ ด้านหลังนั้นมาในสีที่เรียบกว่าปกติ โทนสีไม่มีการเล่นลวดลายอะไร มาพร้อมสีเข้มและเล่นกับสีทองบริเวณกล้องต่างๆ ส่วนน้ำหนักก็เท่ากันเป๊ะๆกับรุ่นพี่ งานประกอบอะไรนั้นทำได้ดีและรวมถึงคุณภาพวัสดุอะไรไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ด้านหน้าก็มีติ่งหน้าจอที่แตกต่างกันแบบชัดเจนและคุณภาพหน้าจออะไรต่างๆนั้นไม่ได้หนีกันมากครับใกล้ๆกันเลยรวมถึงการสู้แสงอะไรทำได้ดีเหมือนกัน
หน้าจอในรุ่นนี้เป็นหน้าจอแบบ ติ่งหยดน้ำ IPS LCD Waterdrop Display ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080×2340 พิกเซล : 397 ppi) คุณภาพหน้าจอใกล้ๆกับของตัว Pro ครับ
ในส่วนของขอบจอด้านบนตัวนี้จะเป็นจุดหลักๆที่แตกต่างกับทาง F11 Pro แบบชัดเจนคือรุ่นนี้จะเป็นติ่งหน้าจอแบบหยดน้ำมาพร้อมกับกล้อง และ เซนเซอร์อะไรไว้ตรงติ่งทั้งหมด และกล้องหน้าเป็นความละเอียด 16MP F2.0 เท่ากัน
ด้านขอบล่างนั้นจะมีความหนาพอสมควรด้วยการผลิตและการออกแบบเลยจำเป็นที่จะต้องมีขอบอยู่นะครับด้วยปัจจัยหลายๆอย่างและคุมไม่ให้ราคาสูงเกินไปด้วย และ ปุ่มควบคุมทั้งหมดนั้นอยู่บนจอและสามารถใช้งานเต็มจอได้สบาย
ขอบด้านล่างเครื่องเป็นรูลำโพงหลักครับ พร้อมกับ พอร์ต Micro-USB รวมถึง ไมค์ และ รู 3.5มม. เสียดายตรงนี้นิดหน่อยที่ยังเป็น Micro-USB แทนที่จะเป็น USB-C ครับ
ขอบด้านซ้ายนั้นเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิม และ ปุ่มเพิ่มลดเสียงครับ จะไม่เหมือนกับตัว F11 Pro ในด้านของปุ่ม การออกแบบ ฝาหลังนั้นโค้งลงมาขอบข้างๆด้วยทำให้เวลาจับถือนั้นสะดวกและจับได้ค่อนข้างง่ายกว่าแบบเรียบๆเยอะเลย
ด้านบนนั้น เป็นที่อยู่ในซ้ายสุดจะเป็นรูไมค์ และเรียบๆครับไม่มีอะไรในจุดนี้วัสดุขอบเครื่องเป็นดำเงาทั้งหมด
ขอบด้านขวาตัวเครื่องนั้นเป็นปุ่ม Power อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้พอดีและกดได้ง่ายครับ มีขีดสีฟ้าเขียวๆบอกตำแหน่งชัดเจน ส่วนวัสดุเป็นอลูมิเนียมทำสีแบบเดียวกับฝาหลังทั้งหมด
ด้านหลังเป็นการออกแบบ ที่แตกต่างกับรุ่น Pro ชัดเจนทั้ง ตำแหน่งการวางกล้อง สแกนนิ้ว ไฟแฟลชต่างๆ รวมถึง ฝาหลังก็เรียบๆไม่ได้มีการเล่นกับตัว S อะไร และ เขียนว่า Design by OPPO แต่ก็แปลกๆไปนิดเพราะมันอ่าน รวมๆจะเป็น OPPO DESIGN BY OPPO ก็แปลกดี กล้องหลังเป็น 2 ตัวหลักๆในการถ่ายและจับระยะครับ
กล้องหลังตัวนี้จะไม่ใช่การออกแบบครอบโมดูลรวมแบบ F11 Pro นะครับจะแตกต่างกันชัดเจนแต่ในเรื่องกล้องนั้นสเปคอะไรต่างๆมาให้เหมือนกันครับ เป็นกล้องหลังคู่ที่ ความละเอียด 48 + 5 ล้านพิกเซล F/1.79 + F/2.4
SPEC
- จอแสดงผล : 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2340 x1080) 397 ppi อัตราส่วนหน้าจอ 90.9%
- ระบบปฏิบัติการ : Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6.0
- ชิปเซ็ต : Helio P70
- GPU : ARM Mali-G72 MP3 900MHz
- RAM : 4GB
- หน่วยความจำภายใน : 128GB + เพิ่ม MicroSD Card ได้ถึง 256GB
- กล้องหลังคู่ : 48MP F1.79 + 5MP F2.4
- กล้องหน้า : 16MP F2.0
- ถ่ายวิดีโอ : รองรับ 1080P / 720P ทั้งหน้าและหลัง
- แบตเตอรี่ : 4020 มิลลิแอมป์ รองรับชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0
- รองรับ Dual Nano-SIM Cards (Hybrid slot)
- การเชื่อมต่อ GPS: GPS/A-GPS/GLONASS/Beidou
- Bluetooth: 4.2
- WiFi 802.11 a/b/g/n/ac รองรับ 2.4GHz และ 5GHz
- USB 2.0
- ขนาดตัวเครื่อง : 161.3 x 7.61 x 76.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 190 กรัม
- สี Flourite Purple และ Marble Green
- ราคาเปิดตัวในไทย 8,990 บาท
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพ ในตัวนี้มาพร้อมกับ MTK P70 และ ร่วมการทำงานกับระบบ Hyperboost จากทาง OPPO ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้ให้รวดเร็วและตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น 30% ถึง 3 ด้าน ด้านเกมส์, ด้านระบบ และด้านแอพพลิเคชั่น ให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น ด้วยส่วนทางด้านคะแนน Antutu ทำได้ไป 115635 คะแนนส่วนคะแนน Geekbench ทำได้ 1566 และ 5979 ส่วนทางด้านความปลอดกัยปกติเลยได้ L3 ครับผมไม่สามารถดู NETFLIX ความละเอียดสูงได้ และ เก็บข้อมูลแบบ EMMC5.1
SOFTWARE UI : COLOUR OS 6
หน้าตาระบบรุ่นนี้มีการปรับปรุงอีกครั้งมาใช้ Colour OS 6 ร่วมกับ Android 9 หน้าตาเปลี่ยนไปพอสมควรครับทั้งการตั้งค่า การใช้งานทั่วไป แต่หน้าหลักๆนั้นยังคงมีมาคล้ายๆเดิมครับการแจ้งเตือนใช้ได้ มีเลขมุมแอพอะไรปกติครับไอคอนเป็นทรงกลมซะส่วนใหญ่ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปลงตัวกับขนาดหน้าจอของตัวเครื่องครับ
หน้าการแจ้งเตือนและ Quick Setting นั้นเป็นอีกจุดที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ ไอคอนการตั้งค่าอะไรเปลี่ยนไปทั้งหมด รวมถึงเป็นการใช้สี่เหลี่ยมด้วยครับ การปรับแสง การกดเข้าอะไรต่างๆนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดรวมถึงไอคอนรูปเฟืองก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อลากลงมาก็เป็นการตั้งค่าแบบเต็มครับ รวมถึงแบ่งหน้าจออะไรนั้นยังมีมาให้ปกติ
ทางด้านแป้นพิมพ์นั้นเป็นของ Google ที่คุ้นเคยกันดีครับใช้ง่ายและเสถียรมากๆ ส่วนหน่วยความจำพื้นที่ตัวเครื่อง มาให้ 128GB นั้นเหลือใช้งานได้ 98.1 หลังจากหักระบบออกไป และ RAM นั้นใช้งานเหลือ 1.37 จาก 4GB ครับ
โคลนแอพตอนนี้มีขึ้นแค่ 2 แอพหลักๆครับ ส่วนปุ่มนำทางสามารสลับตำแหน่งได้ และ สามารถใช้งานแบบเต็มจอได้ด้วยแบบปัดไปๆมาๆ และ การสแกนนิ้ว สแกนใบหน้าอะไรมีมาให้ครบครับ การสแกนหน้าแบบ 2 มิติ แสงน้อยสแกนยากนิดหน่อยครับ แต่ถ้าแสงปกติก็ไวพอสมควรไม่ก็ใช้งานสแกนนิ้วด้านหลังได้ปกติครับผม
ส่วนการโคลนแอพ อะไรทั้งหลายก็มีมาให้ครับผม รวมถึงตัว Game Space มาใหม่อันนี้น่าสนใจยังไงไปดูในหัวข้อ Gaming ได้เลย และ ยังมีผู้ช่วยอัจฉริยะมาให้ในการปัดมาด้านขวาในจอหลักจะคอยช่วยในการจัดการแจ้งเตือนอะไรต่างๆ หรือ ดูการใช้งานของเราว่าเน้นอะไรยังไงก็จะเสนอมาให้ใช้งานกันเลย อีกทั้งยังมีโหมดช่วยขับรถมาให้จะดูแลการแจ้งเตือน ขณะขับขี่ ระบบจะทำ การปิดเสียงการแจ้งเตือน ระบบจะใช้ตัวอักษรและ ปุ่มขนาดใหญ่ที่สามารถรับหรือปฏิเสธได้เท่านั้น และส่ง SMS ตอบกลับให้เองเลย
Smartbar แถบหน้าจอด้านข้างก็ รองรับการแชร์ไฟล์ที่เพิ่งเปิดขึ้นได้ เพิ่มเครื่องมือหรือแอปพลิเคชัน บันทึกหน้าจอในรูปแบบวิดีโอ และ จับภาพหน้าจอ นอกจากนี้ Smartbar ยังมีโฟลเดอร์การจัดการให้เพิ่มรายการโปรดเข้าไปเพื่อดูรายการโปรดได้สบาย Gesture นั้นยังมีมาให้ครบทั้งการวาด การใช้งานท่าทางต่างๆครับ
THEME
สำหรับหน้าตาตัว UI สามารถปรับเปลี่ยนได้นิดหน่อยครับซึ่งมีให้เลือกในแอพธีม และสามารถปรับเปลี่ยนได้หลักๆคือหน้าต้า ICON หน้าตาหน้า Lockscreen และ Wallpaper รวมๆครับซึ่งหน้าโทร หน้าส่งข้อความจะไม่เปลี่ยนตาม
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้