วันเวลาดำเนินมาถึงช่วงหน้าแล้ง โรงเรียนปิดเทอมฤดูร้อน หรือที่เด็กๆนักเรียนบอกว่าปิดเทอมใหญ่นั้นเอง เทอมนี้เป็นเทอมที่บูมไม่ได้ไปอยู่กับพ่อแท้ๆที่กรุงเทพ เพราะบูมต้องเตียมตัวสอบเข้าชั้นมัธยม บรีสนี่ไม่ต้องพูดถึง ถ้าพี่ไม่ไปอย่าหวังว่าบรีสจะไป ขนาดตอนไปยังอยู่ได้ไม่ถึงเดือนยังร้องไห้กลับบ้าน พ่อต้องได้กลับมาส่ง
“พี่บูมพี่จะไปติวหนังสือสอบเข้ามัธยมมั้ย”
ทรงพลถามลูกชายในขณะที่มือก็กำลังอัดฟางอยู่ ฟางต้องอัดเป็นก่อนสี่เหลี่ยมเหมือนลูกเต๋า เพื่อไว้ให้วัวกิน เช่นในช่วงหน้าแล้งนี้แหละ ฟางจะขายดีมากเพราะหญ้าตาย แห้ง ฝนไม่ตก
“อ่านหนังสือเอาพ่อ ได้ห้องไหนก็เอาแค่สอบได้พอ”
“แค่นี้ก็ขี้เกรียจแล้ว จะเป็นวิศวะอะไรน้อ วิศวะขี้ไก่บ่”
ฮ่าๆๆๆๆ เสียงหัวเราะของสองพ่อลูกที่คุยกัน มือก็ช่วยกันอัดฟางไป ทรงพลไม่ได้คาดหวังว่าให้บูมเป็นอะไร แค่เขาเติบโตเป็นคนดีก็พอ เลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงครอบครัวของเขาในอนาคตได้
ในส่วนของนงนุชกับลูกสาว น้องบรีสก็ดูรายการทีวี กับแม่ ทรงพลจะไม่ใช้ลูกสาวให้มาทำฟาร์มแบบนี้ แต่ก็ไม่ห้ามถ้าน้องบรีสอยากทำ อยากทำก็สอนในส่วนที่เด็กๆจะทำได้ น้องบรีสก็พอดูทีวีเสร็จก็จะแว๊บมาหาพ่อ มาหยิบจับฟางช่วยพ่อกับพี่ชาย พอขี้เกรียจก็จะแว๊บไปหาแม่ อยู่แบบนี้เป็นประจำ ส่วนนงนุชก็รับหน้าที่ทำงานบ้านและสวนผักสวนครัว ดูแลลูกๆแค่นี้พอ
ในช่วงปิดเทอม ตอนกลางวันทรงพลจะให้บูมช่วยทำงาน พาไปส่งฟางส่งหญ้าลูกค้า เอาฟางให้วัวในฟาร์ม พาไปผสมพันธุ์วัวด้วย เขาต้องการให้บูมเรียนรู้อาชีพเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด เผื่อวันนึงอนาคตลูกไม่ได้เป็นตามที่ฝันไว้ เขาก็จะได้มีอาชีพนี้แหละไว้เลี้ยงครอบครัว พอตอนกลางคืนทรงพลก็จะให้ลูกชายอ่านหนังสือ แต่สิ่งเหล่านี้ทรงพลไม่ได้บังคับบูมเลย เป็นความโชคดีของเขา เพราะบูมรักการเรียน ทุกวันบูมจะทบทวนบทเรียนก่อนนอนเสมอ บูมเป็นเด็กค่อนข้างเรียนเก่ง สอบได้อันดับที่ต้นๆของห้องเสมอ แต่ไม่ว่าลูกๆของทรงพลจะสอบได้ที่เท่าไหร่ก็ตาม พอเกรดออกมาทรงพลจะมีรางวัลให้เสมอ เป็นรางวัลคนเก่งที่ชอบอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียน ทรงพลสอนลูกๆเสมอว่าเรียนให้ได้ก็พอไม่ต้องเรียนให้เก่ง เกรดเฉลี่ยที่หนึ่งไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิต แต่ถ้าได้ที่เกรดเฉลี่ยสูงๆก็ดีมันก็จะเป็นใบเบิกทางที่ง่ายให้เราในการทำงาน ที่มีการแข่งขัน
กลางวันนงนุชจะพาบรีสเข้าไปเล่นที่บ้านแม่แท้ๆของบรีส ไปนั่งเล่นคุยกันตามประสา เพราะบ้านก็ไม่ได้ไกลกันมาก อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนทรงพลกับบูมถ้ามีออเดอร์หญ้าหรือฟาง หรือฉีดวัคซีนก็จะพากันไปสองคนพ่อลูก โดยมีบูมเป็นลูกมือให้ทรงพล
ชีวิตของทรงพลกับนงนุชจะเป็นแบบนี้ในทุกๆวัน ถ้าวันไหนว่างๆ สองคนก็จะพาลูกๆมาเล่นบ้านใหญ่ก็คือบ้านตากับยายนั้นเอง เขามีความสุขที่สุด แม้ทุกวันนี้เขาจะไม่ค่อยได้ยินคนข้างบ้านเตือนว่าเดียวสักวันเขาก็ไปอยู่กับแม่เขาเมื่อโตแล้ว แต่ก็ยังมีได้ยินให้เข้าหูอยู่บ้าง เขาไม่เคยโกรธคนพวกนี้ที่พูดแบบนี้ เขายินดีรับฟัง แม้บูมกับบรีสจะไปจากเขาก็ไม่เป็นไร ก็เตรียมใจยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรืออาจไม่เกิดขึ้น ตั้งแต่ที่เขารับบูมกับบรีสเป็นลูกบุญธรรมแล้ว ถ้าถึงวันนั้นเขาเป็นพ่อไม่ได้ เขาก็แค่กลับมาเป็นลุงเหมือนเดิม
วันนี้เป็นอีกวันที่ว่าง ทรงพลกับนงนุชพาลูกๆเข้ามาเล่นบ้านใหญ่ ซึ่งบ้านหลังนี้มีพ่อแม่ของทรงพล มีแม่แท้ๆของลูกๆ และพ่อเลี้ยง และน้องเบล เบลเป็นลูกของน้องสาวเขา เป็นน้องของบูมกับบรีสแต่คนละพ่อ ทรงพลไม่ลืมที่จะเก็บผักสวนครัวมาให้น้องสาวประกอบอาหารเย็นนี้ด้วย สองสาวแม่ครัวนงนุชกับน้องสะใภ้ก็กุรีกุจอทำกับข้าง สองหนุ่มทรงพลกับน้องเขยก็พากันตั้งวงเหล้าขาวมีไส้อ่อนเป็นกับแก้มที่หน้าบ้าน คุยกันเริ่มเสียงดังเฮฮาเพราะฤทธิ์เหล้าขาวกับลังแล่นไปทั่วร่างกาย สักพักก็มีเพื่อนบ้านมาแจมด้วย
“บรีส ใครแม่เองคนไหนแม่เองฮ๊ะ”
ยายนวลข้างบ้านเดินมาเล่นด้วย เมื่อเห็นทรงพลกับนงนุชมาบ้านใหญ่ ทุกๆครั้งที่พวกเขามายายคนนี้ก็จะมาเล่นด้วยตลอด คนถามไม่ได้คิดอะไรถามเล่นๆยอกล้อกันปกติ
“เองมีแม่กี่คน ฮ่าๆๆๆๆ”
“เป็นลูกแม่พุ่ม”
เด็กน้อยตอบตามความจริงที่ยังไม่เข้าใจความหมายถามเล่นถามจริง รู้อะไรก็ตอบไป เหมือนเขาบอกว่าเด็กโกหกไม่เป็นนั้นแหละ
“ใช่เหรออีหล่า ไม่ใช่แม่นุชบ่”
ยายนวลก็ยังแย่บรีสไม่เลิก บรีสถูกสอนให้พูดภาษากลางตั้งแต่เล็กๆ ทั้งที่ก็เป็นคนอิสาน ดังนั้นจะมีคนข้างบ้านหรือคนในหมู่บ้านพูดอีสานคำไทยคำกับบรีส เพราะถูกสอนให้พูดกลาง ส่วนบูมก็ถูกสอนให้พูดภาษากลางไปในตัว เพราะต้องพูดกับน้อง ดังนั้นครอบครัวของทรงพลจึงใช้ภาษากลางเป็นหลัก บ้านของทรงพลจะแยกออกมาจากตัวหมู่บ้าน แต่ก็ถือว่าไม่ไกล ทรงพลมาสร้างบ้านสวนและฟาร์มของตัวเองในที่นาที่พ่อกับแม่แบ่งให้ ดังนั้นเขาค่อนข้างที่จะเป็นส่วนตัวพอสมควร ตอนแรกก็มีบ้านเขาคนเดียวหลังๆก็มีคนที่นาติดกันมาสร้างบ้านอยู่เป็นเพื่อน จากหลังเดียวก็เป็นสองหลังสามหลัง ตอนนี้ก็มีประมาณห้าหลังได้ เพราะมันสงบ ไม่วุ่นวายเหมือนในหมู่บ้าน
“แม่ๆ แม่พุ่มน้องเบลอึ”
บูมรับหน้าที่ดูแลน้องระหว่างที่แม่ๆทำกับข้าว บูมอุ้มน้องมาหาแม่แท้ๆของตัวเอง ท่าทางการอุ้มน้องที่มีอึที่ตูด แต่ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปไว้อยู่ บูมยื่นแขนออกมาให้ห่างตัวเองที่สุด ทำหน้าหยีๆ แต่บูมก็ยังพยายามอุ้มมาหาแม่ให้แม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ ทั้งนงนุชและพุ่มต่างพากันหัวเราะท่าทางการอุ้มน้องของลูกชาย
“มันไม่เปลื่อนแขนหรอกพี่บูม มันมีแค่กลิ่นเท่านั้นแหละ”
คนเป็นแม่แท้ๆลูกขึ้นยืนแล้วรับน้องเบลจากลูกชาย แล้วพาลูกคนเล็กไปเปลี่ยนผ้าอ้อม
“แอะๆๆๆ เอาไปเร็วๆเลยแม่พุ่ม น้องบรีสเหม็น”
ลูกสาวคนโตหยุ่นจมูกเอามือปิดไว้
“ตัวเองก็อึเหม็นคือกันละ”
ยายนวลยังไม่หยุดแหย่หลาน
“ห่วย ยายนวลนิ”
เด็กน้อยกัดปาก หน้าบูดแล้วยกมือกำหมัดจะตียายที่พูดล้อ
“น้องบรีส ทำแบบนี้นิสัยไม่ดีรู้มั้ยลูก ยายนวลเขาล้อเล่น ขอโทษยายเลย”
นงนุชดุลูกสาวที่กำลังจะทำนิสัยก้าวร้าวกับยายนวลคนข้างบ้าน
“ขอโทษยายนวลลลลลลลลลลลล”
เด็กน้อยร้องแหกปาก แล้ววิ่งไปหาทรงพลที่หน้าบ้าน ทำเอานงนุชส่ายหัวในความแก่นของบรีส ยายนวลยังไม่หยุดแย่ ก่อนกลับบ้านตัวเองยังตามไปล้อหลาน
“บรีสคลี่เหม็น บรีสคลี่เหม็นๆๆๆๆ”
ทรงพลกับน้องเขยหัวเราะลูกสาว
“บรีสไปเล่นกับพี่บูมกับน้องเบลในบ้านไปมานั้งตรงนี้เหม็นบุหรี่ เหม็นเหล้าลูก”
น้องเขยของทรงพลพูดขึ้น ที่จริงเขาก็เอ็นดูบูมกับบรีสเช่นกัน เขาเคยบอกให้พุ่มพาเด็กๆกลับมาอยู่บ้านแล้ว แต่พุ่มบอกให้ลูกอยู่นั้นแหละ อีกอย่างก็ไม่ใช่ใคร นั้นพี่ชายเขา พี่ชายกับพี่สะใภ้เขาอยากมีลูกมาก แต่มีไม่ได้ ก็ให้เขาเลี้ยงหลานไป เป็นบุญของลูกๆด้วยซ้ำที่มีพ่อแม่แบบนี้ ซึ่งเขาเป็นให้ไม่ได้
“ลูกๆกรูๆ”
ทรงพลพูดยานๆเหมือนกำลังจะเมาแล้วเอามือชี้ใส่ตัวเอง
“ครับๆลูกพี่นั้นละครับ”
น้องเขยคู่ซี้รู้ใจ ยกแก้วชนกันต่อค่อนคืนนี้กว่าทรงพลจะพาลูกๆกับภรรยากลับบ้านก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่มแล้ว ซึ่งเด็กๆก็หลับกันก่อนจะกลับบ้านแล้วในทุกๆวันทุกๆเดือนชีวิตของเขาก็จะเป็นแบบนี้ เปิดเทอมรับส่งลูกๆไปโรงเรียน กลับมาทำฟาร์ม วันหยุดมาสังสรรค์ที่บ้านใหญ่กับน้องเขย
เวลาดำเนินมาเรื่อยๆจนบูมสอบเข้ามัธยมได้โรงเรียนประจำจังหวัด โดยเอาชื่อจังหวัดมาตั้งเป็นชื่อโรงเรียน บูมสอบได้ห้องคิง เพราะบูมเป็นคนสมองดีอยู่แล้ว แค่อ่านหนังสือเอาก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนได้ ส่วนน้องบรีสทรงพลประเมินลูกๆแล้ว หัวไม่ดีเท่าพี่ชาย แต่ก็ยังพอไปได้ ให้ทำการบ้านทีต้องมีน้ำตากันก่อนทุกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทรงพลหนักใจอะไร
ทรงพลมีความสุขที่ได้เห็นการเจริญเติบโตของลูกๆทีละขั้น เขามีความสุขที่สุดเพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะมีวันนี้ได้เลยเพราะสิ่งที่เขาเป็น และเขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดที่ได้ภรรยาที่รักเขาจริงๆ จากวันที่น่าจะเป็นวันที่เขาเสียใจที่สุดก็ว่าได้ตั้งแต่เขาเกิดมา เมื่อเขากับนงนุชไปตรวจร่างกายกันก่อนจะแต่งงาน หมอบอกว่าเขาไม่สามารถมีลูกได้เพราะตัวอสุจิของเขาไม่แข็งแรง เขาเป็นหมัน ทั้งเขาและนงนุชเสียใจมาก แต่คนที่เสียใจที่สุดนั้นคือตัวเขาเอง เขาเคยบอกให้นงนุชทิ้งเขาไปเลย เพราะอยู่กันไปก็ไม่สามารถมีลูกได้ แต่นุงนุชก็ไม่ทิ้งเขาไปไหน สัญญาต่อกันว่าจะดูแลกันไปสองคนนี่แหละ เลี้ยงหลานๆเอา ตายไปแล้วศพจะเป็นยังไงก็ช่างไม่รับรู้แล้ว มีลูกไม่ได้ก็มีกันแค่นี้แหละพอแล้ว
และแล้วฟ้าก็ไม่ได้ใจร้ายกับเขา ประทานลูกๆให้เขานั้นก็คือบูมกับบรีส แต่เขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้หรอกเขาไม่อยากให้ครอบครัวน้องสาวเขาต้องมาแตกแยกแบบนี้ แต่ใครเล่าจะฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้
เขาเฝ้าเลี้ยงดู เฝ้ามองการเจริญเติบโตของลูกๆตั้งแต่บรีสยังเล็กๆ ตอนแรกที่เขาขอรับบูมกับบรีสเป็นลูกบุญธรรมนั้น ลูกๆยังไม่ได้มาอยู่บ้านกับเขา เพราะแม่เขาก็คิดถึงลูก บรีสยังไม่อย่านมเลย เขาก็ไม่รีบ แต่เขาขอน้องสาวเขา ถ้าน้องสาวจะแต่งงานใหม่ เขาขอลูกๆมาอยู่บ้านกับเขาได้มั้ย เขาห่วงหลาน เขาสัญญาว่าจะเลี้ยงหลานๆให้รักแม่แท้ๆเขาด้วย จะไม่เลี้ยงให้รักเขาฝ่ายเดียว และเขาก็ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับน้องสาวเสมอมา เขาเลี้ยงลูกๆให้สนิทให้รักทั้งสองบ้าน
และแล้วน้องสาวเขาก็แต่งงานใหม่ น้องสาวเขายอมที่จะให้ลูกๆมาอยู่บ้านกับเขา เด็กๆก็ยอมมา ไม่ใช่เขาบังคับลูกๆให้มา แต่เขาสร้างความรักความสนิท ความไว้ใจ ความอบอุ่นๆให้ลูกๆตั้งแต่น้องสาวกับอดีตน้องเขยยังไม่แยกทางกันเลย เขาเที่ยวไปรับหลานมาบ้าน มานอนบ้านตลอด ดังนั้นทั้งบูมและบรีสก็เติบโตมากับแม่แท้ๆและการเลี้ยงดูของเขาไปพร้อมๆกันด้วย การย้ายมาอยู่บ้านเขาของบูมกับบรีสจึงไม่ใช่ปัญหา และเขาก็คอยอธิบายให้ลูกๆเข้าใจในการกระทำแบบนี้ของเขาและแม่แท้ๆของลูกๆ เพื่อป้องกันการเกิดการน้อยใจแม่แท้ๆเกิดขึ้น
เขารับลูกๆมาเลี้ยงตอนบรีสได้เพียงสามขวบ บูมเจ็ดขวบ เขาค่อนข้างที่จะรักบรีสมาก เพราะเขาเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ แต่บูมก็ห่วงไม่แพ้กัน เขาให้เด็กๆย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่บ้านเขา และเปลี่ยนนามสกุลจากของพ่อแท้ๆเขามาเป็นของเขา เขาใช้สิทธิ์ความยินยอมจากน้องสาวเขาแค่คนเดียวก็พอ เพราะอดีตน้องเขยไปแล้วไม่ยอมกลับมาเลย หลังๆเมื่อน้องบรีสโตเข้าโรงเรียนแล้วถึงโผล่หัวมาขอแบ่งลูกๆจากน้องสาวเขา ใครจะยอมได้ นี่ก็ถือว่าเป็นปัญหาคาใจเขา ไม่อยากให้พ่อแท้ๆมายุ่ง แต่ก็นั้นแหละพ่อลูกเขา ให้เขาได้เจอได้ใช้ชีวิตร่วมกันบ้าง
เขาไม่เคยเชื่อใจอดีตน้องเขยเขาว่าจะดูแลลูกๆเขาดีในช่วงปิดเทอม เขาก็มีขับรถจาก ตจว ไปดูความเป็นอยู่บ้าง ก็พออุ่นใจได้ แต่ในใจจริงก็ไม่อยากให้ไปอยู่ดี
—————————————————————-
ตอนนี้จบแค่นี้ค่ะ ตอนต่อไปจะเขียนตอน คุณพ่อคุณแม่บุญธรรมที่มีลูกเป็นวัยรุ่นแล้วนะค่ะ ต่อไปเป็นช่วงลูกๆโตแล้ว บูมเรียน ม.ปลาย และบรีสเรียน ม.ต้นแล้ว
เรื่องนี้จะจบตอน คุณพ่อคุณแม่บุญธรรมช่วงลูกๆเรียนจบมีงานทำกันหมดแล้วนะคะ นั้นก็คือชีวิตในปัจจุบันค่ะ
ขออภัยในการเขียนอ่านแล้วไม่รู้เรื่องนะคะ 🙏🏿
แม่กาเหว่า 3
“พี่บูมพี่จะไปติวหนังสือสอบเข้ามัธยมมั้ย”
ทรงพลถามลูกชายในขณะที่มือก็กำลังอัดฟางอยู่ ฟางต้องอัดเป็นก่อนสี่เหลี่ยมเหมือนลูกเต๋า เพื่อไว้ให้วัวกิน เช่นในช่วงหน้าแล้งนี้แหละ ฟางจะขายดีมากเพราะหญ้าตาย แห้ง ฝนไม่ตก
“อ่านหนังสือเอาพ่อ ได้ห้องไหนก็เอาแค่สอบได้พอ”
“แค่นี้ก็ขี้เกรียจแล้ว จะเป็นวิศวะอะไรน้อ วิศวะขี้ไก่บ่”
ฮ่าๆๆๆๆ เสียงหัวเราะของสองพ่อลูกที่คุยกัน มือก็ช่วยกันอัดฟางไป ทรงพลไม่ได้คาดหวังว่าให้บูมเป็นอะไร แค่เขาเติบโตเป็นคนดีก็พอ เลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงครอบครัวของเขาในอนาคตได้
ในส่วนของนงนุชกับลูกสาว น้องบรีสก็ดูรายการทีวี กับแม่ ทรงพลจะไม่ใช้ลูกสาวให้มาทำฟาร์มแบบนี้ แต่ก็ไม่ห้ามถ้าน้องบรีสอยากทำ อยากทำก็สอนในส่วนที่เด็กๆจะทำได้ น้องบรีสก็พอดูทีวีเสร็จก็จะแว๊บมาหาพ่อ มาหยิบจับฟางช่วยพ่อกับพี่ชาย พอขี้เกรียจก็จะแว๊บไปหาแม่ อยู่แบบนี้เป็นประจำ ส่วนนงนุชก็รับหน้าที่ทำงานบ้านและสวนผักสวนครัว ดูแลลูกๆแค่นี้พอ
ในช่วงปิดเทอม ตอนกลางวันทรงพลจะให้บูมช่วยทำงาน พาไปส่งฟางส่งหญ้าลูกค้า เอาฟางให้วัวในฟาร์ม พาไปผสมพันธุ์วัวด้วย เขาต้องการให้บูมเรียนรู้อาชีพเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด เผื่อวันนึงอนาคตลูกไม่ได้เป็นตามที่ฝันไว้ เขาก็จะได้มีอาชีพนี้แหละไว้เลี้ยงครอบครัว พอตอนกลางคืนทรงพลก็จะให้ลูกชายอ่านหนังสือ แต่สิ่งเหล่านี้ทรงพลไม่ได้บังคับบูมเลย เป็นความโชคดีของเขา เพราะบูมรักการเรียน ทุกวันบูมจะทบทวนบทเรียนก่อนนอนเสมอ บูมเป็นเด็กค่อนข้างเรียนเก่ง สอบได้อันดับที่ต้นๆของห้องเสมอ แต่ไม่ว่าลูกๆของทรงพลจะสอบได้ที่เท่าไหร่ก็ตาม พอเกรดออกมาทรงพลจะมีรางวัลให้เสมอ เป็นรางวัลคนเก่งที่ชอบอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียน ทรงพลสอนลูกๆเสมอว่าเรียนให้ได้ก็พอไม่ต้องเรียนให้เก่ง เกรดเฉลี่ยที่หนึ่งไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิต แต่ถ้าได้ที่เกรดเฉลี่ยสูงๆก็ดีมันก็จะเป็นใบเบิกทางที่ง่ายให้เราในการทำงาน ที่มีการแข่งขัน
กลางวันนงนุชจะพาบรีสเข้าไปเล่นที่บ้านแม่แท้ๆของบรีส ไปนั่งเล่นคุยกันตามประสา เพราะบ้านก็ไม่ได้ไกลกันมาก อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนทรงพลกับบูมถ้ามีออเดอร์หญ้าหรือฟาง หรือฉีดวัคซีนก็จะพากันไปสองคนพ่อลูก โดยมีบูมเป็นลูกมือให้ทรงพล
ชีวิตของทรงพลกับนงนุชจะเป็นแบบนี้ในทุกๆวัน ถ้าวันไหนว่างๆ สองคนก็จะพาลูกๆมาเล่นบ้านใหญ่ก็คือบ้านตากับยายนั้นเอง เขามีความสุขที่สุด แม้ทุกวันนี้เขาจะไม่ค่อยได้ยินคนข้างบ้านเตือนว่าเดียวสักวันเขาก็ไปอยู่กับแม่เขาเมื่อโตแล้ว แต่ก็ยังมีได้ยินให้เข้าหูอยู่บ้าง เขาไม่เคยโกรธคนพวกนี้ที่พูดแบบนี้ เขายินดีรับฟัง แม้บูมกับบรีสจะไปจากเขาก็ไม่เป็นไร ก็เตรียมใจยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น หรืออาจไม่เกิดขึ้น ตั้งแต่ที่เขารับบูมกับบรีสเป็นลูกบุญธรรมแล้ว ถ้าถึงวันนั้นเขาเป็นพ่อไม่ได้ เขาก็แค่กลับมาเป็นลุงเหมือนเดิม
วันนี้เป็นอีกวันที่ว่าง ทรงพลกับนงนุชพาลูกๆเข้ามาเล่นบ้านใหญ่ ซึ่งบ้านหลังนี้มีพ่อแม่ของทรงพล มีแม่แท้ๆของลูกๆ และพ่อเลี้ยง และน้องเบล เบลเป็นลูกของน้องสาวเขา เป็นน้องของบูมกับบรีสแต่คนละพ่อ ทรงพลไม่ลืมที่จะเก็บผักสวนครัวมาให้น้องสาวประกอบอาหารเย็นนี้ด้วย สองสาวแม่ครัวนงนุชกับน้องสะใภ้ก็กุรีกุจอทำกับข้าง สองหนุ่มทรงพลกับน้องเขยก็พากันตั้งวงเหล้าขาวมีไส้อ่อนเป็นกับแก้มที่หน้าบ้าน คุยกันเริ่มเสียงดังเฮฮาเพราะฤทธิ์เหล้าขาวกับลังแล่นไปทั่วร่างกาย สักพักก็มีเพื่อนบ้านมาแจมด้วย
“บรีส ใครแม่เองคนไหนแม่เองฮ๊ะ”
ยายนวลข้างบ้านเดินมาเล่นด้วย เมื่อเห็นทรงพลกับนงนุชมาบ้านใหญ่ ทุกๆครั้งที่พวกเขามายายคนนี้ก็จะมาเล่นด้วยตลอด คนถามไม่ได้คิดอะไรถามเล่นๆยอกล้อกันปกติ
“เองมีแม่กี่คน ฮ่าๆๆๆๆ”
“เป็นลูกแม่พุ่ม”
เด็กน้อยตอบตามความจริงที่ยังไม่เข้าใจความหมายถามเล่นถามจริง รู้อะไรก็ตอบไป เหมือนเขาบอกว่าเด็กโกหกไม่เป็นนั้นแหละ
“ใช่เหรออีหล่า ไม่ใช่แม่นุชบ่”
ยายนวลก็ยังแย่บรีสไม่เลิก บรีสถูกสอนให้พูดภาษากลางตั้งแต่เล็กๆ ทั้งที่ก็เป็นคนอิสาน ดังนั้นจะมีคนข้างบ้านหรือคนในหมู่บ้านพูดอีสานคำไทยคำกับบรีส เพราะถูกสอนให้พูดกลาง ส่วนบูมก็ถูกสอนให้พูดภาษากลางไปในตัว เพราะต้องพูดกับน้อง ดังนั้นครอบครัวของทรงพลจึงใช้ภาษากลางเป็นหลัก บ้านของทรงพลจะแยกออกมาจากตัวหมู่บ้าน แต่ก็ถือว่าไม่ไกล ทรงพลมาสร้างบ้านสวนและฟาร์มของตัวเองในที่นาที่พ่อกับแม่แบ่งให้ ดังนั้นเขาค่อนข้างที่จะเป็นส่วนตัวพอสมควร ตอนแรกก็มีบ้านเขาคนเดียวหลังๆก็มีคนที่นาติดกันมาสร้างบ้านอยู่เป็นเพื่อน จากหลังเดียวก็เป็นสองหลังสามหลัง ตอนนี้ก็มีประมาณห้าหลังได้ เพราะมันสงบ ไม่วุ่นวายเหมือนในหมู่บ้าน
“แม่ๆ แม่พุ่มน้องเบลอึ”
บูมรับหน้าที่ดูแลน้องระหว่างที่แม่ๆทำกับข้าว บูมอุ้มน้องมาหาแม่แท้ๆของตัวเอง ท่าทางการอุ้มน้องที่มีอึที่ตูด แต่ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปไว้อยู่ บูมยื่นแขนออกมาให้ห่างตัวเองที่สุด ทำหน้าหยีๆ แต่บูมก็ยังพยายามอุ้มมาหาแม่ให้แม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ ทั้งนงนุชและพุ่มต่างพากันหัวเราะท่าทางการอุ้มน้องของลูกชาย
“มันไม่เปลื่อนแขนหรอกพี่บูม มันมีแค่กลิ่นเท่านั้นแหละ”
คนเป็นแม่แท้ๆลูกขึ้นยืนแล้วรับน้องเบลจากลูกชาย แล้วพาลูกคนเล็กไปเปลี่ยนผ้าอ้อม
“แอะๆๆๆ เอาไปเร็วๆเลยแม่พุ่ม น้องบรีสเหม็น”
ลูกสาวคนโตหยุ่นจมูกเอามือปิดไว้
“ตัวเองก็อึเหม็นคือกันละ”
ยายนวลยังไม่หยุดแหย่หลาน
“ห่วย ยายนวลนิ”
เด็กน้อยกัดปาก หน้าบูดแล้วยกมือกำหมัดจะตียายที่พูดล้อ
“น้องบรีส ทำแบบนี้นิสัยไม่ดีรู้มั้ยลูก ยายนวลเขาล้อเล่น ขอโทษยายเลย”
นงนุชดุลูกสาวที่กำลังจะทำนิสัยก้าวร้าวกับยายนวลคนข้างบ้าน
“ขอโทษยายนวลลลลลลลลลลลล”
เด็กน้อยร้องแหกปาก แล้ววิ่งไปหาทรงพลที่หน้าบ้าน ทำเอานงนุชส่ายหัวในความแก่นของบรีส ยายนวลยังไม่หยุดแย่ ก่อนกลับบ้านตัวเองยังตามไปล้อหลาน
“บรีสคลี่เหม็น บรีสคลี่เหม็นๆๆๆๆ”
ทรงพลกับน้องเขยหัวเราะลูกสาว
“บรีสไปเล่นกับพี่บูมกับน้องเบลในบ้านไปมานั้งตรงนี้เหม็นบุหรี่ เหม็นเหล้าลูก”
น้องเขยของทรงพลพูดขึ้น ที่จริงเขาก็เอ็นดูบูมกับบรีสเช่นกัน เขาเคยบอกให้พุ่มพาเด็กๆกลับมาอยู่บ้านแล้ว แต่พุ่มบอกให้ลูกอยู่นั้นแหละ อีกอย่างก็ไม่ใช่ใคร นั้นพี่ชายเขา พี่ชายกับพี่สะใภ้เขาอยากมีลูกมาก แต่มีไม่ได้ ก็ให้เขาเลี้ยงหลานไป เป็นบุญของลูกๆด้วยซ้ำที่มีพ่อแม่แบบนี้ ซึ่งเขาเป็นให้ไม่ได้
“ลูกๆกรูๆ”
ทรงพลพูดยานๆเหมือนกำลังจะเมาแล้วเอามือชี้ใส่ตัวเอง
“ครับๆลูกพี่นั้นละครับ”
น้องเขยคู่ซี้รู้ใจ ยกแก้วชนกันต่อค่อนคืนนี้กว่าทรงพลจะพาลูกๆกับภรรยากลับบ้านก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่มแล้ว ซึ่งเด็กๆก็หลับกันก่อนจะกลับบ้านแล้วในทุกๆวันทุกๆเดือนชีวิตของเขาก็จะเป็นแบบนี้ เปิดเทอมรับส่งลูกๆไปโรงเรียน กลับมาทำฟาร์ม วันหยุดมาสังสรรค์ที่บ้านใหญ่กับน้องเขย
เวลาดำเนินมาเรื่อยๆจนบูมสอบเข้ามัธยมได้โรงเรียนประจำจังหวัด โดยเอาชื่อจังหวัดมาตั้งเป็นชื่อโรงเรียน บูมสอบได้ห้องคิง เพราะบูมเป็นคนสมองดีอยู่แล้ว แค่อ่านหนังสือเอาก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนได้ ส่วนน้องบรีสทรงพลประเมินลูกๆแล้ว หัวไม่ดีเท่าพี่ชาย แต่ก็ยังพอไปได้ ให้ทำการบ้านทีต้องมีน้ำตากันก่อนทุกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทรงพลหนักใจอะไร
ทรงพลมีความสุขที่ได้เห็นการเจริญเติบโตของลูกๆทีละขั้น เขามีความสุขที่สุดเพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะมีวันนี้ได้เลยเพราะสิ่งที่เขาเป็น และเขาก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดที่ได้ภรรยาที่รักเขาจริงๆ จากวันที่น่าจะเป็นวันที่เขาเสียใจที่สุดก็ว่าได้ตั้งแต่เขาเกิดมา เมื่อเขากับนงนุชไปตรวจร่างกายกันก่อนจะแต่งงาน หมอบอกว่าเขาไม่สามารถมีลูกได้เพราะตัวอสุจิของเขาไม่แข็งแรง เขาเป็นหมัน ทั้งเขาและนงนุชเสียใจมาก แต่คนที่เสียใจที่สุดนั้นคือตัวเขาเอง เขาเคยบอกให้นงนุชทิ้งเขาไปเลย เพราะอยู่กันไปก็ไม่สามารถมีลูกได้ แต่นุงนุชก็ไม่ทิ้งเขาไปไหน สัญญาต่อกันว่าจะดูแลกันไปสองคนนี่แหละ เลี้ยงหลานๆเอา ตายไปแล้วศพจะเป็นยังไงก็ช่างไม่รับรู้แล้ว มีลูกไม่ได้ก็มีกันแค่นี้แหละพอแล้ว
และแล้วฟ้าก็ไม่ได้ใจร้ายกับเขา ประทานลูกๆให้เขานั้นก็คือบูมกับบรีส แต่เขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้หรอกเขาไม่อยากให้ครอบครัวน้องสาวเขาต้องมาแตกแยกแบบนี้ แต่ใครเล่าจะฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้
เขาเฝ้าเลี้ยงดู เฝ้ามองการเจริญเติบโตของลูกๆตั้งแต่บรีสยังเล็กๆ ตอนแรกที่เขาขอรับบูมกับบรีสเป็นลูกบุญธรรมนั้น ลูกๆยังไม่ได้มาอยู่บ้านกับเขา เพราะแม่เขาก็คิดถึงลูก บรีสยังไม่อย่านมเลย เขาก็ไม่รีบ แต่เขาขอน้องสาวเขา ถ้าน้องสาวจะแต่งงานใหม่ เขาขอลูกๆมาอยู่บ้านกับเขาได้มั้ย เขาห่วงหลาน เขาสัญญาว่าจะเลี้ยงหลานๆให้รักแม่แท้ๆเขาด้วย จะไม่เลี้ยงให้รักเขาฝ่ายเดียว และเขาก็ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับน้องสาวเสมอมา เขาเลี้ยงลูกๆให้สนิทให้รักทั้งสองบ้าน
และแล้วน้องสาวเขาก็แต่งงานใหม่ น้องสาวเขายอมที่จะให้ลูกๆมาอยู่บ้านกับเขา เด็กๆก็ยอมมา ไม่ใช่เขาบังคับลูกๆให้มา แต่เขาสร้างความรักความสนิท ความไว้ใจ ความอบอุ่นๆให้ลูกๆตั้งแต่น้องสาวกับอดีตน้องเขยยังไม่แยกทางกันเลย เขาเที่ยวไปรับหลานมาบ้าน มานอนบ้านตลอด ดังนั้นทั้งบูมและบรีสก็เติบโตมากับแม่แท้ๆและการเลี้ยงดูของเขาไปพร้อมๆกันด้วย การย้ายมาอยู่บ้านเขาของบูมกับบรีสจึงไม่ใช่ปัญหา และเขาก็คอยอธิบายให้ลูกๆเข้าใจในการกระทำแบบนี้ของเขาและแม่แท้ๆของลูกๆ เพื่อป้องกันการเกิดการน้อยใจแม่แท้ๆเกิดขึ้น
เขารับลูกๆมาเลี้ยงตอนบรีสได้เพียงสามขวบ บูมเจ็ดขวบ เขาค่อนข้างที่จะรักบรีสมาก เพราะเขาเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ แต่บูมก็ห่วงไม่แพ้กัน เขาให้เด็กๆย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่บ้านเขา และเปลี่ยนนามสกุลจากของพ่อแท้ๆเขามาเป็นของเขา เขาใช้สิทธิ์ความยินยอมจากน้องสาวเขาแค่คนเดียวก็พอ เพราะอดีตน้องเขยไปแล้วไม่ยอมกลับมาเลย หลังๆเมื่อน้องบรีสโตเข้าโรงเรียนแล้วถึงโผล่หัวมาขอแบ่งลูกๆจากน้องสาวเขา ใครจะยอมได้ นี่ก็ถือว่าเป็นปัญหาคาใจเขา ไม่อยากให้พ่อแท้ๆมายุ่ง แต่ก็นั้นแหละพ่อลูกเขา ให้เขาได้เจอได้ใช้ชีวิตร่วมกันบ้าง
เขาไม่เคยเชื่อใจอดีตน้องเขยเขาว่าจะดูแลลูกๆเขาดีในช่วงปิดเทอม เขาก็มีขับรถจาก ตจว ไปดูความเป็นอยู่บ้าง ก็พออุ่นใจได้ แต่ในใจจริงก็ไม่อยากให้ไปอยู่ดี
—————————————————————-
ตอนนี้จบแค่นี้ค่ะ ตอนต่อไปจะเขียนตอน คุณพ่อคุณแม่บุญธรรมที่มีลูกเป็นวัยรุ่นแล้วนะค่ะ ต่อไปเป็นช่วงลูกๆโตแล้ว บูมเรียน ม.ปลาย และบรีสเรียน ม.ต้นแล้ว
เรื่องนี้จะจบตอน คุณพ่อคุณแม่บุญธรรมช่วงลูกๆเรียนจบมีงานทำกันหมดแล้วนะคะ นั้นก็คือชีวิตในปัจจุบันค่ะ
ขออภัยในการเขียนอ่านแล้วไม่รู้เรื่องนะคะ 🙏🏿