ทำไมต้องเติม S ที่กริยา(ให้เรางงทำไมอะ?)


👉ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ก่อกวนใจคนไทยหลายๆคนเลยนะจ๊ะ นั่นก็คือปัญหาเรื่องการเติม s ที่กริยา (หรือแม้กระทั่งคำนาม) ก่อนอื่นเลย เรามาทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อน
1. ภาษาไทยและภาษาอังกฤษมันไม่เหมือนกัน เป็นภาษาที่มาจากคนละตระกูลกันเลย ดังนั้นหากจะเรียนภาษาอังกฤษแบบฝรั่ง เราก็ควรจะคิดให้เหมือนฝรั่งนะคะ

2. เราต้องมีความรู้พื้นฐานก่อนว่า นามนับไม่ได้ และนามนับไม่ได้คืออะไร?
              - นามนับได้ (countable noun) - คือคำนามที่นับได้ 55555 ก็คือเราสามารถนับได้จริงๆ นับเป็นชิ้นๆ อันๆ มองเห็นได้ชัดเจน เช่น
                 student นี่ก็เป็นนามนับได้ เพราะเราเห็นเป็นคนหนึ่งคนเลย pencil ก็นับได้เพราะเราเห็นเป็นแท่งๆ

                - นามนับไม่ได้ (uncountable noun) - คำนามที่เราไม่รู้จะนับยังไงเพราะเรามองไม่เห็นความชัดเจนจากมันเช่น milk - เพราะมันเป็น
                  ของเหลว เรานับไม่ได้แน่นอน เราจะนับได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในกล่องบรรจุภัณฑ์เช่น A bottle of milk - นม 1 ขวด นอกจากนั้นนาม
                  นับได้จะมีพวกนามธรรมที่เรามองไม่เห็นเช่น honesty (ความซื่อสัตย์) ที่เราไม่รู้ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง

3. หากเราเข้าใจเรื่องคำนามนับได้-ไม่ได้แล้ว ทีนี้เราก็จะมาแต่งประโยคกัน
ในภาษาไทยนั้น ไม่ว่าประธานจะเป็นอะไร เราก็ใช้กริยาเหมือนกันหมดเช่น
                 ฉันกิน
                 เขากิน
                 หล่อนกิน
เราใช้คำว่า "กิน" หมดเลยในภาษาไทย 5555 แต่!!!! มันไม่ใช่แบบนี้กับภาษาอังกฤษ

ถ้าเหตุการณ์ที่เราจะพูด มันเกิดขึ้นในปัจจุบันหรืออะไรก็ได้ที่มันเป็นความจริง/นิสัย กิจวัตรต่างๆ เราจะใช้ tense ที่เรียกว่า "Present Simple Tense" ก็คือ
               👉 ใส่ประธาน + กริยาช่อง 1 ไปเลย 

ความงงใจของเราชาวไทยคือ แล้วทำไมบางทีกริยาต้องเติม s ด้วยหละ!!!

คือกฏมันมีแบบนี้ค่ะ ไม่ต้องเครียดไป

👉 ถ้าประธานมี 1 คน(เรียกว่า ประธานเอกพจน์)นะคะนักเรียน (1 คน/สิ่งเท่านั้นนะคะ) เราจะต้องเอากริยามาเติม s/ es เช่น
            Jane loves to eat Thai food. - เจนชอบกินอาหารไทย ไม่ใช่
           Jane love to eat Thai food. ตรงนี้ผิด เพราะ love ไม่เติม s

หรือถ้าเป็น verb to be เราก็จะใช้ is/was นะคะ ✔️
หรือถ้าเป็น verb to have เราจะใช้ has นะคะ ✔️

              John is happy because he works out every day.
              Jim has a lot of money so he goes shopping every week.
              The baby is crying now.
              My cat has been sick for four days.

หลักการเติม s/es ก็คือ
1. เติม s หลังคำกริยาได้ทั่วๆไปเลย
              eat     eats
              walk   walks
              stay   stays
2. ถ้าคำกริยาลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, z และ o เราต้องเติม es หลังกริยานั้นๆ
             miss    misses
             wish    wishes
             watch  watches
             fix        fixes
             buzz    buzzes
             go        goes

ประเด็นคือ ให้เราฝึกฟอร์มประโยคบ่อยๆ เพราะเวลาใช้จริงๆ จะได้ไม่ลืม!
           Tom goes to school every day.
          Jack cooks d inner for his wife twice a week.
          She has to work every Sunday.

👉 กฎข้อ 2 ค่ะ
ถ้าประธานมีมากกว่า 1 คน(นามพหูพจน์) รวมถึง you ด้วยนะจ๊ะเราไม่ต้องเติม s ที่กริยานะคะ ปล่อยมันไปเลยค่ะ เช่น

         Jack and Tom want to eat out tonight. 
         แจ็คและทอมอยากออกไปทานข้าวข้างนอกคืนนี้
         We have to study hard.
          พวกเราต้องเรียนให้หนักๆ

ถ้าเป็น verb to be เราก็จะใช้ are/were นะคะ ✔️
ถ้าเป็น verb to have เราจะใช้ have นะคะ ✔️

💢💢คำที่ไม่เข้าพวกหน่อยก็คือ "I" นี่แหละค่ะ💢💢
"I" (ฉัน) ดูเหมือนว่าจะมีคนเดียว เอ๊ะเติม s ที่กริยาป่าวนะ?
"I" ให้ใช้กริยาที่ไม่เติม s นะคะ เช่น
  I drive my car to work every day.
  I have a lot of friends.

แต่!! กับ verb to be ให้ใช้ I am นะคะ  ✔️ ไม่ใช่ I is !!
กับ verb to be นอดีต ให้ใช้ I was นะคะ ✔️

ตัวอย่างประโยค
     My students are learning Spanish right now.
     นักเรียนของฉันกำลังเรียนภาษาสเปนอยู่
     I want to go to England.
     ฉันอยากไปอังกฤษ
     We know where to find you!
     พวกเรารู้นะว่าจะไปหาเธอได้ที่ไหนอะ

แรกๆในการฝึกอาจจะไม่ชินและอาจจะลืมเติม s ได้ แต่ต้องฝึกต่อไปเรื่อยๆนะคะ ทำไปเรื่อยๆ ให้มันเป็นนิสัย สุดท้ายมันจะได้เองค่า <3 เป็นกำลังใจให้จ้า

ติดตามเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับภาษาอังกฤษได้อีกเพียบที่
https://www.facebook.com/kruwhanenglishonair 
https://www.instagram.com/kru_whan_english_on_air 
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่