สวัสดีค่ะ เราไม่ได้รีวิวซีรีย์มานานมากแล้ว วันนี้จะมาเขียนเรื่องBlack Mirror season 5 ซีรีย์สายดาร์คใน Netflix ที่มีทั้งหมด 3 ตอนแต่จะมารีวิวแค่ตอนเดียวคือ Smithereens ค่ะ เพราะอีก 2 ตอนยังไม่ได้ดูเลย สำหรับเราแล้ว เราสนใจตอนนี้เป็นพิเศษเพราะว่า Ryuichi Sakamoto เจ้าของผลงานเพลง Merry Christmas, Mr.Lawrence ผู้เคยได้รางวัลออสก้าสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ดีเยี่ยมและลูกโลกทอง ฯลฯ รับหน้าที่ทำเพลงประกอบให้กับซีรีย์เรื่องนี้ อีกเหตุผลหนึ่งคือเราชอบ นักแสดงนำอย่างแอนดริว สก๊อต ผู้ที่เคยสวมบท “เจมส์ มอริอาร์ตี้” ในซีรีย์เชอร์ล็อค โฮห์มใน Netflix นี่แหละ หากใครเคยชมคงจะรู้ว่าเขารับบทคนบ้าคลั่ง ประสาทหลอนได้เก่งทีเดียว
Smithereens พาเราไปดูเรื่องราวของ “คริสโตเฟอร์ กิวฮานี” คนขับ Grab (ในเรื่องไม่ได้ระบุชื่อแอพว่าแกรบนะคะ) ที่มักจะไปจอดรถคอยท่าอยู่ที่หน้าตึกทำการของบริษัทแอพลิเคชั่นชื่อดังอย่างสมิเธอรีน แอพที่คล้ายกับเฟสบุ๊คผสมทวิตเตอร์นี่แหละค่ะ หนังจะตัดไปมาทำให้ผู้ชมสงสัยว่าอีตาคนนี้ต้องการอะไรจากการที่ไปจอดรถหน้าตึกและรอให้พนักงานสักคนมาเรียกรถ แล้วคนที่ซวยที่สุดในเรื่อง “เจย์เดน ทอมมินส์” เด็กฝึกงานของบริษัทดังกล่าวก็ขึ้นมาบนรถของอีตาคริสโตเฟอร์ รู้ตัวอีกทีปืนก็มาจ่อที่กะโหลกของเจย์เดน โดยที่คริสโตเฟอร์มีคำขอเพียงว่าให้เขาได้คุยกับ “บิลลี่ เบอเออร์” เจ้าของบริษัทสมิเธอรีนเท่านั้น

ความยุ่งยากลำดับต่อมาของเรื่องคือเหล่าตำรวจที่พยายามเข้ามาคุมสถานการณ์และคุณเลขาของบิลลี่ที่พยายามขัดขวางไม่ให้คริสโตเฟอร์ได้คุยกับบิลลี่ ก็ยิ่งทำให้คนดูสงสัยขึ้นไปอีกว่าอีตาคริส loser คนขี้แพ้ที่ปกติก็ดูสุภาพเรียบร้อย ทำไมถึงคลุ้งคลั่ง และหาเรื่องมายิงเด็กฝึกงานกระจอกคนหนึ่ง จากการสืบหาข้อมูลของตำรวจแล้วแทบจะไม่ได้ข้อมูลใดใดของชายคนนี้นอกจากข้อมูลพื้นฐาน ในขณะเดียวกันคุณเลขาของบิลลี่ที่เข้าไปดูโปรไฟล์สมิเธอรีนกลับได้ข้อมูลของคริสโตเฟอร์ กิวฮานีที่มากกว่าและเป็นข้อมูลที่สืบเนื่องกับอารมณ์ ความคิดความอ่านของชายคนนี้ จุดนี้ทำให้เราเห็นได้ชัดเลยว่าคนสมัยนี้เลือกที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวในโซเชี่ยลมากกว่าให้ข้อมูลกับทางราชการ
ในเรื่องของการดำเนินเรื่องเราว่าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว น่าติดตาม แต่เราคิดว่าประเด็นของเรื่องยังอ่อนเกินไป และไม่ลุ่มลึกเหมือนกับที่ Blackmirror ตอนอื่นๆ ที่เคยทำมา และเฮียแอนดริว สก๊อตก็เล่นใหญ่อยู่คนเดียว คนอื่นๆ ในเรื่องยังไม่สามารถเล่นต่อบท ต่ออารมณ์กับแกได้บาลานซ์กันนัก แต่ก็เข้าใจอ่ะเนอะก็เล่นเป็นคนที่มีปมในใจเยอะ และดูสติไม่ค่อยจะดีด้วยละ

สมิเธอรีน มีสารที่อยากจะบอกกับคนดูว่า 'เพียงเวลาเล็กน้อยที่เราเข้าไปดู Notifications เตือนในโซเชี่ยลนั้น เทียบไม่ได้เลยหากจะต้องแลกกับการสูญเสียคนที่คุณรัก โดยมีคุณเป็นต้นเหตุ อย่าได้โทษใคร และอย่าลืมใส่ใจ คนข้างๆ ที่อยู่กับคุณในโลกความจริงด้วยนะคะ'
ติดตามผลงานการเขียนของ @JP ได้ในเพจ Like Flick ค่ะ
BlackMirror : Smithereens สังคมก้มหน้าที่หยุดเวลาไว้กับหน้าจอโทรศัพท์
Smithereens พาเราไปดูเรื่องราวของ “คริสโตเฟอร์ กิวฮานี” คนขับ Grab (ในเรื่องไม่ได้ระบุชื่อแอพว่าแกรบนะคะ) ที่มักจะไปจอดรถคอยท่าอยู่ที่หน้าตึกทำการของบริษัทแอพลิเคชั่นชื่อดังอย่างสมิเธอรีน แอพที่คล้ายกับเฟสบุ๊คผสมทวิตเตอร์นี่แหละค่ะ หนังจะตัดไปมาทำให้ผู้ชมสงสัยว่าอีตาคนนี้ต้องการอะไรจากการที่ไปจอดรถหน้าตึกและรอให้พนักงานสักคนมาเรียกรถ แล้วคนที่ซวยที่สุดในเรื่อง “เจย์เดน ทอมมินส์” เด็กฝึกงานของบริษัทดังกล่าวก็ขึ้นมาบนรถของอีตาคริสโตเฟอร์ รู้ตัวอีกทีปืนก็มาจ่อที่กะโหลกของเจย์เดน โดยที่คริสโตเฟอร์มีคำขอเพียงว่าให้เขาได้คุยกับ “บิลลี่ เบอเออร์” เจ้าของบริษัทสมิเธอรีนเท่านั้น
ในเรื่องของการดำเนินเรื่องเราว่าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว น่าติดตาม แต่เราคิดว่าประเด็นของเรื่องยังอ่อนเกินไป และไม่ลุ่มลึกเหมือนกับที่ Blackmirror ตอนอื่นๆ ที่เคยทำมา และเฮียแอนดริว สก๊อตก็เล่นใหญ่อยู่คนเดียว คนอื่นๆ ในเรื่องยังไม่สามารถเล่นต่อบท ต่ออารมณ์กับแกได้บาลานซ์กันนัก แต่ก็เข้าใจอ่ะเนอะก็เล่นเป็นคนที่มีปมในใจเยอะ และดูสติไม่ค่อยจะดีด้วยละ
ติดตามผลงานการเขียนของ @JP ได้ในเพจ Like Flick ค่ะ