.
Release Date: June 7, 2019
Genres: pop, pop rock, power pop, funk, R&B
.
การไม่คาดหวังคืออะไรที่ดีที่สุด ยิ่งพอผิดหวังขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่รู้สึกแย่อะไรเลย
.
นี่คือความรู้สึกหลังจากฟังงานคัมแบ็คของสามหนุ่ม Jonas Brothers กับอัลบั้มใหม่ในรอบสิบปีที่มีชื่อว่า Happiness Begins บอกก่อนเลยว่าหูเสพย์งาน mainstream pop เป็นชีวิตจิตใจ และ Jonas Brothers ก็เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่หูตามฟังมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ ของพวกเขา หูรู้มาตลอดว่างานเพลงของสามพี่น้องไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น นอกจากการทำเพลงสไตล์ teen pop ที่เจาะกลุ่มนักฟังเพลงวัยรุ่นจริง ๆ
.
และไม่ใช่ว่าการคัมแบ็คของพวกเขา หูไม่ได้ตื่นเต้น ยอมรับเลยว่าหูตื่นเต้นที่ได้เห็นศิลปินที่หูยังอยู่ในวัยขบเผาะกลับมาทำเพลง และในปีนี้พวกเราเห็นการกลับมาของเหล่าเด็กเก่าดิสนี่ย์คัมแบ็คมากมายไม่ว่าจะเป็น Ashley Tisdale, Miley Cyrus, Aly & AJ หรือ Emily Osment (ถ้าใครรู้จักหมดนี่คือคุณสุดยอดมาก) ในขณะที่ทุกคนทำเพลงเติบโต และแหวกแนวไปได้อย่างน่าสนใจ สามหนุ่มโจนัสกลับสวนทางลงเหว
.
ตั้งแต่ “Sucker” ถูกปล่อยมาและสร้างกระแสอย่างหนักจนสามหนุ่มคว้าอันดับหนึ่งจาก Billboard Hot 100 เพลงแรกไปกอดได้ แต่ตัวหูกลับร้องเอิ่มกลับซิงเกิ้ลนี้ที่ช่างธรรมดาและ play safe บวกกับเนื้อเพลงที่สุดจะหาความสร้างสรรค์ใดไม่ได้เลย พอมาต่อที่ “Cool” ซิงเกิ้ลที่สอง ความตื่นเต้นก็ไม่ได้มากขึ้นนอก ส่งผลให้ตัวหูเลิกคาดหวังที่จะได้ฟังงานเพลงที่น่าตื่นเต้นจากอัลบั้มนี้ไปเลย
.
การฟังเพลงแล้วมารีวิวย่อมใช้เวลาในการซึมซับอยู่แล้ว แต่สำหรับ Happiness Begins รอบเดียวคือพอ ถึงแม้ว่าอัลบั้มจะอัดแน่นไปด้วย 14 เพลง แต่ไม่มีเพลงไหนเลยที่กระโดดเด้งออกมา ทุกเพลงให้ความรู้สึกเหมือนกันหมด คือ ง่าย play safe ตื้นเขิน และน่าเบื่อ
.
มีแค่ “Rollercoaster” และ “Comeback” สองแทร็คสุดท้ายที่ฟังแล้วรู้สึกโอเค ให้ความรู้สึกอยากกดฟังอีก ในขณะที่เพลงอื่น ๆ กลับเล่นง่าย ๆ เดี๋ยว pop rock บ้าง เดี๋ยว R&B บ้าง เพิ่ม funk เข้าไปหน่อย หรืออะ เอาเป็น acoustic ละกัน แต่มันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกว้าวใด ๆ อัลบั้มนี้จึงให้ความรู้สึกว่าสามหนุ่มยังคงไม่หลุดออกจากกรอบของการเป็นศิลปินที่ทำเพลงเพื่อป้อนเหล่าวัยรุ่นที่เสพย์งาน teen pop ง่าย ๆ
.
รีวิวชิ้นนี้ไม่มี track-by-track ใด ๆ ขอพูดเป็นภาพรวมไปเลย เสียดายมากที่ได้ Greg Kurstin โปรดิวเซอร์สายพ็อพมากฝีมือมาช่วย หรือ Ryan Tedder จาก OneRepublic มาช่วยทำเพลงให้ แต่แทร็คที่พี่ไรอันทำให้กลับเหมือนเพลงเหลือจาก OneRepublic ที่เค้าไม่อยากยัดไปในอัลบั้มของพวกเขาเอง
.
ขอโทษจากใจ ถ้าแฟนคลับ Jonas Brothers ผ่านมาอ่านและเคือง หูไม่ได้เกลียดพวกพี่ ๆ เค้า หูรักเพลงพ็อพ หูชอบฟังเพลงที่รับประทานง่าย ๆ แต่ Happiness Begins คืองานที่ไม่ควรหลุดมาในยุคที่ศิลปินสาย mainstream ต่างทำเพลงกันได้ไปไกล มันเชย มันน่าเบื่อ ไร้ซึ่งความว้าว ฟังได้ครั้งเดียวแล้วผ่านไป กลับไปฟัง Lines, Vines and Trying Times ยังรู้สึกว่ามีแทร็คที่ฟังแล้วร้องเชี่ยยยด้วยความตื่นเต้นมากกว่านี้อีก
.
ถ้าอ่านแล้วยังไม่เกลียดกัน TT ฝากติดตามเพจของหูที่ Facebook ด้วยนะจ๊า
https://www.facebook.com/earbudd ยังมีรีวิวอัลบั้มอื่น หรือรีวิวคอนเสิร์ตที่หูไปมาให้อ่านกันอีกมากมายแต่ไม่ได้เอามาลงที่พันทิป ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ แล้วใครมีความเห็นอะไรยังไง มาพูดคุยกัน อยากฟังความเห็นคนอื่นเหมือนกัน
[Album Review] Jonas Brothers - Happiness Begins (2019)
.
Genres: pop, pop rock, power pop, funk, R&B
.
การไม่คาดหวังคืออะไรที่ดีที่สุด ยิ่งพอผิดหวังขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่รู้สึกแย่อะไรเลย
.
นี่คือความรู้สึกหลังจากฟังงานคัมแบ็คของสามหนุ่ม Jonas Brothers กับอัลบั้มใหม่ในรอบสิบปีที่มีชื่อว่า Happiness Begins บอกก่อนเลยว่าหูเสพย์งาน mainstream pop เป็นชีวิตจิตใจ และ Jonas Brothers ก็เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่หูตามฟังมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ ของพวกเขา หูรู้มาตลอดว่างานเพลงของสามพี่น้องไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น นอกจากการทำเพลงสไตล์ teen pop ที่เจาะกลุ่มนักฟังเพลงวัยรุ่นจริง ๆ
.
และไม่ใช่ว่าการคัมแบ็คของพวกเขา หูไม่ได้ตื่นเต้น ยอมรับเลยว่าหูตื่นเต้นที่ได้เห็นศิลปินที่หูยังอยู่ในวัยขบเผาะกลับมาทำเพลง และในปีนี้พวกเราเห็นการกลับมาของเหล่าเด็กเก่าดิสนี่ย์คัมแบ็คมากมายไม่ว่าจะเป็น Ashley Tisdale, Miley Cyrus, Aly & AJ หรือ Emily Osment (ถ้าใครรู้จักหมดนี่คือคุณสุดยอดมาก) ในขณะที่ทุกคนทำเพลงเติบโต และแหวกแนวไปได้อย่างน่าสนใจ สามหนุ่มโจนัสกลับสวนทางลงเหว
.
ตั้งแต่ “Sucker” ถูกปล่อยมาและสร้างกระแสอย่างหนักจนสามหนุ่มคว้าอันดับหนึ่งจาก Billboard Hot 100 เพลงแรกไปกอดได้ แต่ตัวหูกลับร้องเอิ่มกลับซิงเกิ้ลนี้ที่ช่างธรรมดาและ play safe บวกกับเนื้อเพลงที่สุดจะหาความสร้างสรรค์ใดไม่ได้เลย พอมาต่อที่ “Cool” ซิงเกิ้ลที่สอง ความตื่นเต้นก็ไม่ได้มากขึ้นนอก ส่งผลให้ตัวหูเลิกคาดหวังที่จะได้ฟังงานเพลงที่น่าตื่นเต้นจากอัลบั้มนี้ไปเลย
.
การฟังเพลงแล้วมารีวิวย่อมใช้เวลาในการซึมซับอยู่แล้ว แต่สำหรับ Happiness Begins รอบเดียวคือพอ ถึงแม้ว่าอัลบั้มจะอัดแน่นไปด้วย 14 เพลง แต่ไม่มีเพลงไหนเลยที่กระโดดเด้งออกมา ทุกเพลงให้ความรู้สึกเหมือนกันหมด คือ ง่าย play safe ตื้นเขิน และน่าเบื่อ
.
มีแค่ “Rollercoaster” และ “Comeback” สองแทร็คสุดท้ายที่ฟังแล้วรู้สึกโอเค ให้ความรู้สึกอยากกดฟังอีก ในขณะที่เพลงอื่น ๆ กลับเล่นง่าย ๆ เดี๋ยว pop rock บ้าง เดี๋ยว R&B บ้าง เพิ่ม funk เข้าไปหน่อย หรืออะ เอาเป็น acoustic ละกัน แต่มันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกว้าวใด ๆ อัลบั้มนี้จึงให้ความรู้สึกว่าสามหนุ่มยังคงไม่หลุดออกจากกรอบของการเป็นศิลปินที่ทำเพลงเพื่อป้อนเหล่าวัยรุ่นที่เสพย์งาน teen pop ง่าย ๆ
.
รีวิวชิ้นนี้ไม่มี track-by-track ใด ๆ ขอพูดเป็นภาพรวมไปเลย เสียดายมากที่ได้ Greg Kurstin โปรดิวเซอร์สายพ็อพมากฝีมือมาช่วย หรือ Ryan Tedder จาก OneRepublic มาช่วยทำเพลงให้ แต่แทร็คที่พี่ไรอันทำให้กลับเหมือนเพลงเหลือจาก OneRepublic ที่เค้าไม่อยากยัดไปในอัลบั้มของพวกเขาเอง
.
ขอโทษจากใจ ถ้าแฟนคลับ Jonas Brothers ผ่านมาอ่านและเคือง หูไม่ได้เกลียดพวกพี่ ๆ เค้า หูรักเพลงพ็อพ หูชอบฟังเพลงที่รับประทานง่าย ๆ แต่ Happiness Begins คืองานที่ไม่ควรหลุดมาในยุคที่ศิลปินสาย mainstream ต่างทำเพลงกันได้ไปไกล มันเชย มันน่าเบื่อ ไร้ซึ่งความว้าว ฟังได้ครั้งเดียวแล้วผ่านไป กลับไปฟัง Lines, Vines and Trying Times ยังรู้สึกว่ามีแทร็คที่ฟังแล้วร้องเชี่ยยยด้วยความตื่นเต้นมากกว่านี้อีก
.
ถ้าอ่านแล้วยังไม่เกลียดกัน TT ฝากติดตามเพจของหูที่ Facebook ด้วยนะจ๊า https://www.facebook.com/earbudd ยังมีรีวิวอัลบั้มอื่น หรือรีวิวคอนเสิร์ตที่หูไปมาให้อ่านกันอีกมากมายแต่ไม่ได้เอามาลงที่พันทิป ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ แล้วใครมีความเห็นอะไรยังไง มาพูดคุยกัน อยากฟังความเห็นคนอื่นเหมือนกัน