The road to Madrid : สิ้นสุดการรอคอย 14 ปี

ปรี๊ดดดดด.......

เสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้น เหล่านักเตะที่รออยู่ข้างสนามและสตาฟโค้ช ต่างวิ่งกรูกันลงไปในสนามด้วยความยินดี ส่วนนักเตะในสนามหลายคนทิ้งตัวลงนอนแผ่อยู่บนพื้นสนาม จะด้วยความอ่อนล้าถึงที่สุด หรือความปิติยินดี ก็สุดจะคาดเดา แต่ที่แน่ๆ คือ ภารกิจ ของพวกเขาได้สำเร็จลุล่วงแล้ว เป็นการทิ้งตัวลงนอนหลังได้วางภาระอันหนักอึ้งบนบ่าทั้งสองข้างลงแล้ว

ตัดภาพมาที่ผู้เล่นลิเวอร์พูลยืนตั้งแถว ยิ้มหัวเราะอย่างเบิกบาน ในขณะที่ผู้เล่นทีมคู่แข่งอย่างทอตแฮม ฮอตสเปอร์ ที่หน้าตาเคร่งเครียด บ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างที่สุด ราวกับเป็นเดจาวู ต่างกันเพียงว่าปีที่แล้ว เป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลที่มีใบหน้าผิดหวัง และต้องทนดูทีมคู่แข่งชูถ้วยรางวัล วินาทีนั้นคงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของนักเตะสเปอร์ได้ดีเท่าผู้เล่นลิเวอร์พูลอีกแล้ว เพราะภาพความผิดหวังของปีก่อนยังชัดเจนอยู่ในหัวใจราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

เสียงเพลง "You will never walk alone" ดังกึกก้องไปทั่วสนาม หรือบางทีอาจดังกังวาลจนได้ยินไปทั่วทั้งเมือง Madrid ราวกับจะประกาศว่า ถ้วยรางวัล ที่ยอดทีมจากเมือง Madrid ได้ช่วงชิงไปจากพวกเขาในปีก่อน วันนี้พวกเขาได้กลับมา เพื่อทวงคืนแล้ว




ตัดภาพไปที่บ้านพักของอดีตผู้เล่นลิเวอร์พูล ที่ตัดสินใจทำตามความฝัน โดยการย้ายออกจากทีมไปร่วมกับยอดทีมจากสเปนอย่างบาเซโลน่า เพราะหวังว่าจะได้ชูถ้วย UCL ซักครั้งในชีวิต ฟิลิปเป คูตินโย่ ที่นั่งชมเกมส์การแข่งขันอยู่บนโซฟา นั่งนิ่ง แล้วหลับตา เสียงเพลง เสียงเชียร์ของเหล่าเดอะคอปป์ในทีวี ดังก้องอยู่ในโสตประสาท แต่ในหัวของเขาได้ยินแต่เสียงของ เจอเก้น คล็อป ที่พูดว่า "ตอนนี้ทีมกำลังมาในทิศทางที่ถูกต้อง ถ้านายอยู่กับทีมต่อ วันนึงพวกเขาจะสร้างอนุเสาวรีย์ให้นาย แต่ถ้านายเลือกจะย้ายไปบาเซโลน่า นายก็จะเป็นแค่นักเตะธรรมดาคนนึง" คำพูดนั้นดังขึ้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะไม่มีวันหยุดลง (ย่อหน้านี้ จขกท มโนล้วนๆ)




นักเตะลิเวอร์พูลทยอยเดินขึ้นไปบนแท่นรับรางวัล ใบหน้ายิ้มแย้ม แตกต่างไปจากปีก่อนที่เดินขึ้นไปบนเวทีเดียวกันนี้ราวฟ้ากับเหว นักเตะคนสุดท้ายที่เดินขึ้นมารับเหรียญรางวัล และยกถ้วย UCL ขึ้นมา เขาเดินมาตรงกลางระหว่างเพื่อนร่วมทีมที่ฝ่าฟันกันมายาวนาน จังหวะที่เขาชูถ้วยขึ้นเหนือศีรษะ ควันไฟเอฟเฟตที่จุดขึ้นด้านหลัง ใช่แล้ว คนที่ชูถ้วยใบนั้น เขาคือกัปตันของพวกเรา "จอร์แดน เฮนเดอร์สัน" ชายผู้เคยถูกแฟนบอลทีมตัวเองปรามาสไว้ว่า ไม่เหมาะที่จะเป็นกัปตันทีม ตราบใดที่เขายังอยู่ในทีม ไม่มีวันที่ลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์ใดๆได้ ชายที่อดทนต่อคำดูถูก ต่อการต่อว่าจากแฟนบอล ชายที่ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเอง เพื่อทีมนี้อย่างเต็มที่ แม้ในวันที่ไม่มีใครเห็นคุณค่าของเขาก็ตาม แต่ ณ ตอนนี้ วินาทีนี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีใครเหมาะกับการเป็น กัปตันทีมลิเวอร์พูล เท่าเขาอีกแล้ว



เส้นทางสู่ Madrid ของลิเวอร์พูลไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เริ่มจากการถูกจัดอยู่ในโถที่ 3 ซึ่งหมายความว่า มีโอกาสเจอทีมแข็งๆจากลีกอื่นถึงสองทีม แล้วผลจับสลาก ก็เป็นไปตามคาด ลิเวอร์พูลต้องเจอยอดทีมจาก ฝรั่งเศส และ อิตาลี อย่าง PSG และ Napoli

ลิเวอร์พูลทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่มได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะผลงานนอกบ้านที่บุกไปแพ้ PSG, เรดสตาร์ เบรลเกต และ Napoli ทั้งสามนัด ส่งผลให้สถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่จะตกรอบอย่างมาก หนทางเดียวที่จะต่อลมหายใจออกไปคือการ เปิดบ้านเอาชนะ Napoli ให้ได้โดยต้องมีสกอร์นำอย่างน้อย 1 ลูกและต้องไม่เสียประตู

การแข่งขันเป็นไปอย่างเข้มข้น ลิเวอร์พูลพยายามอย่างหนักเพื่อยิงประตูให้ได้ และก็เป็น Mohamed Salah ราชันแห่งอียิปที่ เลี้ยงบอลผ่านแนวรับเข้าไปยิงมุมแคบได้อย่างงดงาม เกมส์ดูเหมือนจะจบลงด้วยชัยชนะ จนมาถึงจังหวะที่ผู้เล่น Napoli ได้มีโอกาสยิงโล่งๆ หน้ากรอบประตู ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ วินาทีนั้นเชื่อว่าแฟนๆเดอะคอปป์ ทั่วโลกคงใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่อยู่ๆ อาลิซง เบคเกอร์ ก็พุ่งมาเซฟบอลได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถือว่าเป็นเซฟสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลได้ไปต่อ เรียกว่า เป็นเซฟแห่งทัวนาเม้นต์เลยก็ว่าได้


"Bayern Munich"
เสียงประกาศผลจับสลากรอบ 16 ทีมสุดท้าย UCL ดังขึ้น ลิเวอร์พูลต้องลงเล่นพบกับยอดทีมจากเยอรมัน โดยจะเป็นฝ่ายเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนก่อน และจะไม่มียอดกองหลังอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดร์ ที่ติดโทษแบน หนำซ้ำ ลอฟเลน และ โกเมส ก็ยังเจ็บอยู่ ต้องถอยเอา ฟาบินโย่ ลงไปเล่นเป็น เซนเตอร์แบคจำเป็นแทน ด้วยความที่สภาพทีมที่ขาดตัวหลักอันเป็นหัวใจในเกมรับ ทำให้พยายามเล่นแบบรัดกุม ผลคือสามารถ ยันเสมอกับ ยอดทีมอย่าง Bayern Munich ได้ และไม่เสีย away goal ซึ่งถือว่าไม่ได้เลวร้ายนัก แม้ว่า commentator อย่างแกรี่ เนวิลล์ จะออกมาบอกว่าผลเสมอกับ Bayern ในบ้าน ลิเวอร์พูลควรหยุดคิดเรื่อง UCL แล้วมาทุ่มเทในพรีเมียร์ลีค ดีกว่า ซึ่งถึงตอนนี้ทุกคนคงรู้แล้วว่า เนวิลล์ คิดผิด!!

เกมส์นัดที่สองที่ลิเวอร์พูลออกไปเยือน Bayern Munich และสามารถเอาชนะไปได้อย่างสวยงาม จากประตูเบิกร่องอันเหนือชั้นของ ซาดิโอ มาเน่ ที่ทำเอา ผู้รักษาประตูระดับโลกอย่าง นอยเออร์ ต้องนอยไปอีกหลายวัน จบลงด้วยผลสกอร์ 3-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายต้องพบกับปอร์โต ที่ถ้าเทียบกับทีมอื่นๆที่ผ่านเข้ามาในรอบนี้ได้ถือว่าเป็นงานเบาหน่อย แต่อย่างไรก็ตามทุกทีมมีดีพอที่จะผ่านเข้ามาได้ ก็ไม่สามารถประมาทได้ ในรอบนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้ดี เปิดบ้านเอาชนะไปได้ก่อน 2-0 และบุกไปเอาชนะปอร์โตถึงถิ่น 4-1 ส่งผลให้ผ่านเข้ารอบไปพบกับยอดทีมจากสเปนอย่างบาเซโลน่า ในรอบ Semi-final

ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายไปเยือนบาซ่าที่คัมนู ก่อน และต้องบอกว่าเป็นวันที่พวกเขาไม่มีโชคเอาเสียเลย ถ้าได้ดูการแข่งขันจนจบจะเห็นว่าผู้เล่นลิเวอร์พูลสู้กับทีมต่างดาวอย่างบาเซโลน่าได้อย่างสูสี แต่จังหวะสุดท้ายดูไม่เป็นใจไปเสียหมด ต่างกับบาซ่าที่มีโอกาสแล้วสามารถจบสกอร์ได้เด็ดขาดกว่า เริ่มจากที่หลุย ซัวเรส ยิงประตูทีมเก่าแล้วออกอาการสะใจเต็มที่ จนเดอะคอปป์หลายๆคนออกอาการหมั่นไส้ และตามมาด้วยสองประตูของนักเตะระดับโลกอย่างเมสซี่ ที่ช่วยกันฝัง ยอดทีมจากเมอร์ซี่ไซด์ ไปถึง 3 ประตู ต่อ 0 แต่ยังนับว่าโชคดีที่อุสมาน เดมเบเล่ ยิงโล่งๆ ไปเข้ามือ อลิสซง ง่ายๆ ในช่วงท้ายเกมส์ที่ขนาดเมสซี่ยังเสียดายจนล้มทั้งยืน จึงทำได้แค่ฝัง แต่ไม่ได้กลบ ให้มิด

เลคที่สอง ลิเวอร์พูลได้กลับมาเล่นใน Anfield โดยสถานการณ์ถือเป็นรองอย่างมาก หนำซ้ำยังขาดผู้เล่นตัวหลักอย่าง ซาล่าห์ และฟีมิโน่ ไม่มีใครที่คิดว่าพวกเขาจะกลับมาได้ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายฟันธงว่าเส้นทางใน UCL ของลิเวอร์พูลได้จบลงแล้ว แต่ผู้เล่นลิเวอร์พูลและกองเชียร์ตัวจริงหลายๆคน ไม่คิดเช่นนั้น บางคนกล่าวถึงปาฏิหาริย์ที่อีสตันบูล ตอนนั้นเรามีเวลาแค่ 45 นาทีในครึ่งหลังเรายังกลับมาได้ วันนี้เรามีเวลาตั้ง 90 นาที ทำไมจะทำไม่ได้

แต่ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ หรือ?

แน่นอนว่าทุกคงรู้ผลการแข่งขันเกมส์ที่น่าจะจัดเป็นตำนานเกมส์นี้ได้ ว่าลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะบาเซโลน่า ไปได้ 4-0 อย่างเหลือเชื่อ แต่ถ้าใครได้ชมเกมส์จะรู้ว่า ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่เกิดซ้ำสองแต่อย่างใด แต่เป็นหัวจิตหัวใจและความไม่ยอมแพ้ของนักเตะอย่างแท้จริง ถ้าลองมองย้อนหลังก็เหมือนว่าเส้นทางถูกกำหนดให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ เริ่มจากการที่ฟีมิโน่ ซาล่าห์เจ็บ ทำให้ โอริกี้และชากีรี่ ได้ลงเป็นตัวจริง และก็เป็นโอริกี้ ที่ยิงประตูขึ้นนำให้ตั้งแต่ต้นเกมส์ และเมื่อซัวเรสไปเล่นตุกติกใส่โรเบอร์สัน จนเจ็บ และต้องเปลี่ยนตัวออก ผู้เล่นที่ลงมาแทนคือ  จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม และ ขยับเจมส์ มิลเนอร์ไปเล่น แบคซ้ายแทน ผลคือเมื่อไวจ์นัลดุม ลงมาก็สามารถยิงประตูได้ 2 ลูก ติดๆกัน หนำซ้ำคนที่เปิดให้ไวจ์นัลดุม โหม่งเข้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น เชอร์ดาน ชากีรี่ นั่นเอง



เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สเก๊าเซอร์ หนุ่ม อายุเพียง 20 ปี วางลูกฟุตบอลลงบนมุมธง ก่อนที่จะเดินออกไปเพื่อให้ เชอร์ดาน ชากีรี่ ที่เดินก้มหน้าก้มตา มาเพื่อเปิดลูกเตะมุม จังหวะนั้นเองเหมือนเด็กหนุ่มจะเห็นอะไรบางอย่าง จึงเปลี่ยนใจวกกลับไปที่มุมธง และเปิดบอลเข้าไปหน้ากรอบประตู  และ เยสสสส..............



เสียงเชียร์ดังกึงก้องไปทั่ว Anfield ดิว็อก โอริกี้ ยิงประตูตัดสินเกมส์เข้าไปอย่างงดงาม และรวดเร็ว ชนิดที่ว่าชากีรี่ ที่เดินมาจะเตะมุมยังไม่รู้ตัว แทบไม่น่าเชื่อว่าทีมอย่างบาเซโลน่าที่ขึ้นชื่อว่าฉวยโอกาสเล่นบอลเร็วจนได้ประตูหลายต่อหลายครั้ง จะเป็นฝ่ายโดนเสียเอง จากเด็กหนุ่มอายุเพียง 20 ปี ที่หลอกทุกคนในสนาม (ยกเว้นโอริกี้) ได้อย่างแยบยลที่สุด

จากเหตุการณ์ทั้งหมด ถ้าลองคิดดูเล่นๆ ก็ดูเหมือนทุกอย่างถูกวางบทมาอย่างเหมาะเจาะที่สุด เพื่อปูทางสู่แชมป์สมัยที่ 6

ลิเวอร์พูลผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ ทอตเเฮม ฮอตสเปอร์ที่เอาชนะอาแจ็ก มาได้แบบดราม่าไม่แพ้ลิเวอร์พูล เรียกว่าเป็นการพบกันของสองทีมโกงความตาย แต่ใครล่ะจะเป็นผู้ชูถ้วย UCL ในท้ายที่สุด

ก่อนเกมส์นัดชิง สถิติต่างๆถูกเอามาตีแผ่ วิเคราะห์กันอย่างแพร่หลาย หลายๆคนกังวลกับอาถรรพ์ นัดชิงของ เจอเก้น คล็อป ที่พาทีมเข้าชิงถึง 5 ครั้ง ถ้านับเฉพาะลิเวอร์พูลในถ้วยยุโรปก็ 2 ครั้งที่เป็นได้แค่รองแชมป์เสมอมา จนแม้กระทั่งนักข่าวยังสัมภาษณ์กับคล็อปในประเด็นนี้ แต่เจอเก้น ยังมีความมั่นใจ และตอบกลับว่า ในเยอรมัน เรามีความเชื่อเกี่ยวกับ Third time lucky ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามเราน่าจะโชคดี

เริ่มเกมส์ไม่ถึง 1 นาที ลิเวอร์พูลก็ได้จุดโทษจากจังหวะที่ซิสโซโก้ กางแขนในเขตโทษ และโดนซาดิโอ มาเน่เปิดบอลไปโดนแขน ในจังหวะนั้น ผู้เล่นทุกคนรู้ดีว่าการกางแขนในเขตโทษเป็นความคิดที่ไม่ดีเอาเสียเลย ไม่รู้อะไรดลใจให้ซิสโซโก้ กางแขนออกมาแบบนั้น เหมือนเทพีแห่งโชคจะเข้าข้างลิเวอร์พูลไม่น้อย หลังออกนำเร็วจากจุดโทษของโม ซาล่าห์ ลิเวอร์พูลก็เล่นอย่างรัดกุมมากขึ้น ไล่เพลสซิ่งไม่ให้สเปอร์มีโอกาสต่อบอล หรือหาช่องยิงได้ง่ายๆ หลายคนอาจมองว่าเกมส์น่าเบื่อ หรือลิเวอร์พูลเล่นไม่ดี แต่จริงๆ เป็นแทคติก ของเจอเก้น คล็อปที่ต้องยอมรับว่าเขี้ยวมาก เพราะได้บทเรียนจากการเข้าชิงมาหลายครั้ง ดูรูปเกมส์เหมือนสเปอร์ครองบอลได้เยอะ แต่โอกาสจบสกอร์แบบจะๆ แทบไม่มี จนมาหลังนาทีที่ 75 ที่สเปอร์เร่งเครื่องอย่างหนักจนมีโอกาสยิงติดๆกันหลายครั้ง แต่ก็ไม่ผ่านมืออาลิซง เกมส์น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก แฟนบอลลิเวอร์พูลคงภาวนาให้เกมส์จบลงเร็วๆ จนกระทั่ง โอริกี้ ที่เปลี่ยนลงมาสวมบทฮีโร่อีกครั้ง ยิงประตูปิดกล่องให้ ลิเวอร์พูลในช่วงท้ายเกมส์ เรียกว่าจังหวะนั้นแฟนๆเดอะค็อป (ในไทย)ต่างพากันเขวี้ยงยาดมทิ้งโดยพร้อมเพรียงกัน




และเเล้วความพยายามของพวกเขาในฤดูกาลนี้ก็ไม่สูญเปล่า หลังผิดหวังจากพรีเมียร์ลีก ในช่วงสองสัปดาห์ก่อน วันนี้พวกเขาได้ถ้วยใหญ่ที่สุดของสโมสรฟุตบอลยุโรปสมัยที่ 6 มาครองได้ สำเร็จ เป็นไปตามสัญญาลูกผู้ชายของสุดยอดผู้จัดการทีมที่ชื่อ เจอเก้น คล็อป ที่เคยกล่าวไว้ว่า ภายใน 4 ปี เขาจะทำทีมให้มีถ้วยรางวัลติดมือมาให้ได้ และวันนี้เขาก็ทำได้ตามที่เคยลั่นวาจาไว้จริงๆ

การพ่ายแพ้ในนัดชิงที่ผ่านมาไม่ใช่อาถรรพ์ ไม่ใช่โชคชะตา หากแต่เป็นการเริ่มต้น เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธ์แห่งความสำเร็จ ที่ต้องอาศัยการรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย วันนี้การบ่มเพาะที่ผ่านมา ได้สร้างทีมที่เเข็งแกร่งขึ้น สมบูรณ์ขึ้น และ ได้ผลิดอกออกผลให้ได้ชื่นชมในท้ายที่สุดครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่