ตอนรู้ว่าโบบันไปเล่นหนัง ยอมรับว่างงมาก พอเป็นหนังแอคชั่นแบบ John Wick ยิ่งงงไปใหญ่
แต่พอเห็นภาพแล้วก็คิดว่า คงน่าจะเอามาเป็นกิมมิคไรเฉยๆมั้ง
จนเมื่อวานก่อนไปดู John Wick
Chapter 3: Parabellum มาแล้ว พบว่าฉากที่คีนูรีฟสู้กับโบบัน
โหดกว่าที่คิดมาก และเป็นฉากที่ค่อนข้างยาวเลย เลยเริ่มแปลกใจ เห้ย
โบบันมาไงงงงง?
• โบบันเป็นใคร?
Boban Marjanović
คือนักบาส NBA ชาวเซอร์เบียทีม Philadelphia ’76ers
จุดเด่นคือเรือนร่างใหญ่โต ที่ความสูงเกินคนปกติถึง 7 ฟุต 3 นิ้ว (221เซนติเมตร)
และด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โต และขนาดมือที่กว้างใหญ่จนน่าจะตบหัวคนหลุดได้
โบบันเลยโด่งดังเรื่องการได้เปรียบในด้านความสูงและการทำแต้มจากความสูงนี้
• Boban ไปเป็นนักฆ่าใน John Wick ได้ไง?
ความเป็นมาของเรื่องนี้คือตอนที่ John Wick 3 ยังเขียนบทไม่เสร็จ Chad Stahelski พูดขึ้นมาว่า อยากให้มีฉากต่อสู้ในที่แคบๆที่มันสู้ยากๆหน่อย
และมันควรจะต้องเป็นศัตรูที่ตัวใหญ่ๆ สู้กันในที่แคบๆ ซึ่งแรกเริ่มนั้นแช้ดอยากได้ ซูโม่ของญี่ปุ่นมากกว่า
แต่สุดท้ายก็พัฒนาตัวละครจนอยากให้เห็นความต่างชัดเจนของความสูง พอดีไซน์ฉากที่ต้องการได้ พวกเขาจึงเริ่มต้นแคสต์นักแสดง แต่หลังจากผ่านไป 3 สัปดาห์ สตันท์ที่ความสูงตามที่ต้องการทั้งหมด ล้วนไม่มีใครเหมาะสมเลย
แล้วจะไปหาใครมาทีนี้?
นอกจากความสูงแล้ว สิ่งที่แช้ดต้องการคือคาแรคเตอร์สุขุม ดุร้ายแบบ Jaws
ตัวร้ายในหนังเจมส์ บอนด์ ภาค The Spy Who Love Me และ Moonraker
ซึ่งคาแรคเตอร์นี้จะต้องมีความแปลกนิดๆและดูเป็นชาวยุโรปด้วย
Basil Iwanyk ที่เป็นแฟนบาสเก็ตบอล และยังเป็นโปรดิวเซอร์ของหนัง
ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้กับแช้ด เขามาที่กองถ่ายที่นิวยอร์คแล้วแนะนำว่า
"เรื่องนี้ง่ายมาก นายต้องใช้ โบบัน" แช้ดตอบกลับไปว่า
"โอเค้ ดีเลย ว่าแต่ใครคือโบบัน?"
เบซิลจึงเปิดคลิปโบบันให้ดู หลังจากฟังเบซิลขายของเสร็จ แช้ดก็ส่ายหัว
เขาอยากได้คนมาเล่นเปิดซีนต่อสู้ซีนแรกของจอห์นวิค
เพราะงั้นควรเป็นคนที่รู้จักการสตันท์และมีประสบการณ์มาบ้าง
แต่ชายเซอร์เบียร่างยักษ์คนนี้ไม่มีอะไรเหล่านั้นเลย เพราะงั้นคงใช้ไม่ได้
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน อีท่าไหนไม่ทราบ แช้ดดันเปลี่ยนใจ
อาจเพราะเบซิลย้ำอยู่นั่นว่า มือโบบันโคตะระใหญ่เลยนะ
และหลังจากดูคลิปที่โบบันไปเล่นโฆษณาต่างๆในเซอร์เบีย เขาก็พบว่า
โบบันก็ดูตลกดี สุดท้ายแช้ดเลยตัดสินใจ เอาวะ!
"ช่างแม่- ให้มาลองก่อนแล้วกัน"
โบบันจึงบินมาที่กองถ่ายที่นิวยอร์ค และพบกับทีมสตันท์ John Wick 3
4 วันต่อมา ทีมสตันท์กลับมาบอกแช้ดว่า
"เขาโค-ตะระเจ๋ง เขาทำได้แน่นอน"
สิ่งที่ทีมสตันท์อธิบายถึงตัวโบบันหลังจากเข้าคิวสตันท์กันได้แค่ 4 วันคือ
"เขามีความเป็นนักกีฬาสูงมาก และเป็นคนใจดีมากจริงๆ"
และ John Wick 3 ก็ได้นักฆ่าร่างยักษ์มาเล่นซีนเปิดในห้องสมุดในตอนนั้นนั่นเอง
• รู้จัก Mantis ไอ้ตั๊กแตน ศัตรูไอ้หนุ่มซินตึ๊ง
ที่จริงฉากการต่อสู้ในที่แคบ และการต้องเลือกชายร่างสูงเป็นเป้าหมายของจอห์น วิค
ทำให้แช้ดนึกถึงฉากแบบที่ Bruce Lee สู้กับ Kareem Abdul Jabbar (นักบาส NBA) ในยุคหนังกังฟูคลาสสิคอย่าง Game Of Death (1973)
เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของบรูซลี เนื่องจากขณะถ่ายทำหนังเรื่องนี้ บรูซลีได้เสียชีวิตก่อนหนังถ่ายทำเสร็จ
ซึ่งใน "ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง เกมมังกร" นี่เองบรูซลีได้ออกแบบการต่อสู้ในหลายๆรูปแบบไว้
หนึ่งในนั้นคือการต่อสู้กับชายร่างสูง แขนขายาว และเขาต้องเอาชนะด้วยวิชา "จีทคุนโด้" (Jeet Kuen Do)
ศิลปะการต่อสู้ที่ลีคิดค้นเอง ลีอธิบายการต่อสู้อันนี้ว่า
"การสู้แบบไม่ต่อสู้"
ฮาคีม อับดุล จาบบาร์ถูกเพื่อนอย่างบรูซลีชวนมาถ่ายทำหนังเรื่องนี้
แม้เขาจะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านงานแสดงมาก่อน โดยเขาต้องมารับบทเป็น "ไอ้วายร้ายชั้น 5"
เป็นศัตรูที่ดักรอลีอยู่ที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นบอสตัวสุดท้ายก่อนที่เขาจะตะลุยขึ้นไปบนดาดฟ้าได้
แม้เส้นเรื่องยังไม่เสร็จสมบูรณ์เนื่องจากการเสียชีวิตของลี
แต่หนังได้ถ่ายทำฟุตเทจไปแล้วกว่า 100 นาที ทำให้หลังลีตาย
ฟุตเทจทั้งหมดถูกปล่อยออกมาสู่โลกภาพยนตร์ ให้โลกได้รับรู้ถึงสมบัติชิ้นสุดท้ายที่บรูซลีทิ้งไว้
ดูความสุดยอดได้ที่นี่
• ล้มยักษ์ด้วยหนังสือ
แช้ดชอบการต่อสู้ของโบบันและรีฟส์มาก เพราะทุกอย่างมันดูถึงอกถึงใจไปหมด
ตอนเห็นมือโบบันทาบไปที่หัวเล็กๆของรีฟ หรือการที่โบบันที่ใส่รองเท้าไซส์
27 ยันไปที่รีฟส์ ทำให้เราเห็นความแตกต่างชัดเจนของขนาดศัตรูจริงๆ
ผลที่ออกมามันจึงดูดีมากๆ
ส่วนการออกแบบอาวุธในซีนเปิดให้เป็นหนังสือ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ
เพราะต้องการออกแบบให้สู้กันในที่แคบๆ และไม่มีปัญหาเรื่องสภาพอากาศรบกวน
พวกเขาจึงคิดถึงห้องสมุด จอห์นวิค จึงต้องไปเอาของที่ห้องสมุดกลางของนิวยอร์คซิตี้
หลังจากนั้นเขาก็จะเจอนักล่าค่าหัวที่รอเขาอยู่พอดี
ซึ่งพอสู้ในที่แคบๆแบบนี้ ขนาดของคู่ต่อสู้ที่ไม่สมเหตุสมผล
ดูจะเป็นอะไรที่ท้าทายดี นักฆ่าคนนั้นจึงต้องเป็นโบบัน
ด้วยขนาดมือและเท้าที่แสนมโหฬาร ตอนเขาอัดจอห์น วิคแต่ละทีมันได้อรรถรสมาก
และส่วนที่แช้ดเลือกให้จอห์นวิคปิดเกมด้วยหนังสือเพราะ
"เราอยู่ในโลกแห่งความจริงอันแสนไร้สาระ
เราใช้ชีวิตอยู่ในจักรวาลที่ไร้สาระนี้
และเราก็มีการออกแบบการต่อสู้ที่แสนไร้สาระ
เพราะงั้นเราเลยจะฆ่าคุณด้วยหนังสือนี่ไง"
สรุปคือ ไหนๆโลกจริงมันก็ไร้สาระ ไม่มีเหตุมีผลอะไรอยู่แล้ว จะเอาหนังสือมาฆ่ากันมันก็ไม่น่ามีไรน่าแปลกใจมั้ง 😂
• เมื่อนักบาสมาเล่นหนังแอคชั่น
"ถามจริง คุณจริงจังไหมเนี่ย จอห์นวิคเนี่ยนะ หนังจอห์น วิค เนี่ยนะ!!?"
แม้จะมีคนย้ำแล้วย้ำอีก แต่โบบันก็แทบไม่เชื่อหูอยู่ดี เมื่อมีคนติดต่อมาว่า กองถ่ายจอห์นวิค อยากให้เขาไปแคสบท
จนผ่านขั้นตอนการเรียนแอคติ้ง การเทรนนิ่งคิวสตันท์ จนถึงวันที่ได้เจอ
คีอานู รีฟส์ตัวเป็นๆ โบบันยังแทบคิดไม่ออกว่าเขามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
"โอ้ นี่ฉันกำลังจะทำสิ่งนี้กับคีนูรีฟส์จริงๆเหรอเนี่ย! บ้าไปแล้ว"
โบบันบอกว่า ตอนแรกเขาเกรงใจรีฟส์มากๆ
"เอาจริงตอนแรกที่เจอกัน ผมไม่กล้าทำอะไรเขาเลย ผมไม่อยากตีเขา
หรือทำอะไรให้กระทบกระเทือนเขาทั้งสิ้น เพราะผมเคารพเขามากๆจริงๆ
แต่รีฟส์เป็นมืออาชีพมาก เขาช่วยผมเยอะมากๆ
และมันก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมากจริงๆ
เมื่อมีคนแบบนั้นคอยช่วยเหลือคุณในการทำงาน"
โบบันบอกว่า ตอนถ่ายทำเขาแทบไม่ตื่นเต้นหรือกังวลอะไรเลย
จนกระทั่งได้เห็นหนังที่ตัดเสร็จแล้ว และความกังวลก็มาเยือน
"ตอนผมเห็นฉากที่ตัดต่อเสร็จแล้ว และเห็นซีนตัวเองครั้งแรก ผมนี่แบบ
'เดี๋ยวนะ อันนี้มันใช้ได้เหรอ!? ผมมาคิดได้ทีหลังว่า
ถ้าพวกเขาชอบอะไรในสิ่งเหล่านี้ (การแสดงของโบบัน)
นั่นคือพวกเขาได้พยายามให้เกียรติผมแล้วจริงๆ"
โบบันบอกว่า เขาเป็นแค่ส่วนเล็กๆของหนัง
"แบบที่ทุกคนรู้ว่า ผมเป็นแค่ส่วนเล็กๆของหนัง เป็นแค่คนที่จอห์น วิคผ่านมาสู้ด้วย
ฆ่าทิ้ง แล้วก็เดินจากไป บทผมไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก
วันรอบหนังพรีเมียร์ ผมไปดูกับ Tobias Harris (เพื่อนร่วมทีม 76ers)
พอพวกเราดูซีนของผมเสร็จ เจ้านั่นหันมามองหน้าผมแล้วบอกว่า
'ผับผ่าเพื่อน นี่มันโคตรสุดยอดเลย!'
นั่นคือก่อนทุกคนเข้าไปดูหนัง
ไม่มีใครคิดว่าโบบันจะได้เล่นซีนแอคชั่นห้ำหั่นกับรีฟส์จริงๆมาก่อน
คิดว่าบทของเขาเป็นแค่ตัวประกอบที่ตายง่ายๆเท่านั้น
โบบันยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้เขายังเปิดรับโอกาสในงานแสดงอยู่
แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เขาค่อนข้างกลัวและหงาดระแวงมาก
"ผมกลัวการไปห้องสมุด (หัวเราะ) ผมกลัวว่าเกิดผมเดินๆตามตู้หนังสืออยู่ แล้วจอห์น วิคจะโผล่มาหักขาผมอีก โคตรหลอนเลย"
โบบันกล่าวทิ้งท้ายพร้อมเสียงหัวเราะ

อ่านสัมภาษณ์โบบันเสร็จแล้วรู้สึกว่าโบบันน่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆ ไม่แปลกใจที่มีแต่คนชอบ
ก่อนเข้าไปดูไม่ได้คาดหวังซีนอะไรเยอะแยะมากมาย พอได้ดูจริงก็ว้าวมากๆ ฝีไม้ฝีมือการแสดงใช่ย่อยเลย
เราได้ดูช้าไปหน่อย เพราะ John Wick 3 น่าจะเหลือรอบฉายน้อยแล้ว แม้ภาคนี้จะอัดแอคชั่นมาเยอะจัดจนน่าเบื่อไปหน่อย
แต่แฟนบาสเก็ตบอลแอบแวะเข้าไปดูโบบันกันได้ค่ะ เท่มากจริงๆ 555555555555
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Source:
https://ew.com/movies/2019/05/18/john-wick-3-boban-marjanovic/amp/
https://www.thevintagenews.com/2018/08/06/bruce-lee-abdul-jabbar/
https://www.vulture.com/amp/2019/05/how-basketball-star-boban-marjanovic-got-cast-in-john-wick-3.html
Boban ไปทำอะไรใน John Wick 3: Parabellum
แต่พอเห็นภาพแล้วก็คิดว่า คงน่าจะเอามาเป็นกิมมิคไรเฉยๆมั้ง
จนเมื่อวานก่อนไปดู John Wick
Chapter 3: Parabellum มาแล้ว พบว่าฉากที่คีนูรีฟสู้กับโบบัน
โหดกว่าที่คิดมาก และเป็นฉากที่ค่อนข้างยาวเลย เลยเริ่มแปลกใจ เห้ย
โบบันมาไงงงงง?
• โบบันเป็นใคร?
Boban Marjanović
คือนักบาส NBA ชาวเซอร์เบียทีม Philadelphia ’76ers
จุดเด่นคือเรือนร่างใหญ่โต ที่ความสูงเกินคนปกติถึง 7 ฟุต 3 นิ้ว (221เซนติเมตร)
และด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โต และขนาดมือที่กว้างใหญ่จนน่าจะตบหัวคนหลุดได้
โบบันเลยโด่งดังเรื่องการได้เปรียบในด้านความสูงและการทำแต้มจากความสูงนี้
• Boban ไปเป็นนักฆ่าใน John Wick ได้ไง?
ความเป็นมาของเรื่องนี้คือตอนที่ John Wick 3 ยังเขียนบทไม่เสร็จ Chad Stahelski พูดขึ้นมาว่า อยากให้มีฉากต่อสู้ในที่แคบๆที่มันสู้ยากๆหน่อย
และมันควรจะต้องเป็นศัตรูที่ตัวใหญ่ๆ สู้กันในที่แคบๆ ซึ่งแรกเริ่มนั้นแช้ดอยากได้ ซูโม่ของญี่ปุ่นมากกว่า
แต่สุดท้ายก็พัฒนาตัวละครจนอยากให้เห็นความต่างชัดเจนของความสูง พอดีไซน์ฉากที่ต้องการได้ พวกเขาจึงเริ่มต้นแคสต์นักแสดง แต่หลังจากผ่านไป 3 สัปดาห์ สตันท์ที่ความสูงตามที่ต้องการทั้งหมด ล้วนไม่มีใครเหมาะสมเลย
แล้วจะไปหาใครมาทีนี้?
นอกจากความสูงแล้ว สิ่งที่แช้ดต้องการคือคาแรคเตอร์สุขุม ดุร้ายแบบ Jaws
ตัวร้ายในหนังเจมส์ บอนด์ ภาค The Spy Who Love Me และ Moonraker
ซึ่งคาแรคเตอร์นี้จะต้องมีความแปลกนิดๆและดูเป็นชาวยุโรปด้วย
Basil Iwanyk ที่เป็นแฟนบาสเก็ตบอล และยังเป็นโปรดิวเซอร์ของหนัง
ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้กับแช้ด เขามาที่กองถ่ายที่นิวยอร์คแล้วแนะนำว่า
"เรื่องนี้ง่ายมาก นายต้องใช้ โบบัน" แช้ดตอบกลับไปว่า
"โอเค้ ดีเลย ว่าแต่ใครคือโบบัน?"
เบซิลจึงเปิดคลิปโบบันให้ดู หลังจากฟังเบซิลขายของเสร็จ แช้ดก็ส่ายหัว
เขาอยากได้คนมาเล่นเปิดซีนต่อสู้ซีนแรกของจอห์นวิค
เพราะงั้นควรเป็นคนที่รู้จักการสตันท์และมีประสบการณ์มาบ้าง
แต่ชายเซอร์เบียร่างยักษ์คนนี้ไม่มีอะไรเหล่านั้นเลย เพราะงั้นคงใช้ไม่ได้
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน อีท่าไหนไม่ทราบ แช้ดดันเปลี่ยนใจ
อาจเพราะเบซิลย้ำอยู่นั่นว่า มือโบบันโคตะระใหญ่เลยนะ
และหลังจากดูคลิปที่โบบันไปเล่นโฆษณาต่างๆในเซอร์เบีย เขาก็พบว่า
โบบันก็ดูตลกดี สุดท้ายแช้ดเลยตัดสินใจ เอาวะ!
"ช่างแม่- ให้มาลองก่อนแล้วกัน"
โบบันจึงบินมาที่กองถ่ายที่นิวยอร์ค และพบกับทีมสตันท์ John Wick 3
4 วันต่อมา ทีมสตันท์กลับมาบอกแช้ดว่า
"เขาโค-ตะระเจ๋ง เขาทำได้แน่นอน"
สิ่งที่ทีมสตันท์อธิบายถึงตัวโบบันหลังจากเข้าคิวสตันท์กันได้แค่ 4 วันคือ
"เขามีความเป็นนักกีฬาสูงมาก และเป็นคนใจดีมากจริงๆ"
และ John Wick 3 ก็ได้นักฆ่าร่างยักษ์มาเล่นซีนเปิดในห้องสมุดในตอนนั้นนั่นเอง
• รู้จัก Mantis ไอ้ตั๊กแตน ศัตรูไอ้หนุ่มซินตึ๊ง
ที่จริงฉากการต่อสู้ในที่แคบ และการต้องเลือกชายร่างสูงเป็นเป้าหมายของจอห์น วิค
ทำให้แช้ดนึกถึงฉากแบบที่ Bruce Lee สู้กับ Kareem Abdul Jabbar (นักบาส NBA) ในยุคหนังกังฟูคลาสสิคอย่าง Game Of Death (1973)
เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของบรูซลี เนื่องจากขณะถ่ายทำหนังเรื่องนี้ บรูซลีได้เสียชีวิตก่อนหนังถ่ายทำเสร็จ
ซึ่งใน "ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง เกมมังกร" นี่เองบรูซลีได้ออกแบบการต่อสู้ในหลายๆรูปแบบไว้
หนึ่งในนั้นคือการต่อสู้กับชายร่างสูง แขนขายาว และเขาต้องเอาชนะด้วยวิชา "จีทคุนโด้" (Jeet Kuen Do)
ศิลปะการต่อสู้ที่ลีคิดค้นเอง ลีอธิบายการต่อสู้อันนี้ว่า
"การสู้แบบไม่ต่อสู้"
ฮาคีม อับดุล จาบบาร์ถูกเพื่อนอย่างบรูซลีชวนมาถ่ายทำหนังเรื่องนี้
แม้เขาจะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านงานแสดงมาก่อน โดยเขาต้องมารับบทเป็น "ไอ้วายร้ายชั้น 5"
เป็นศัตรูที่ดักรอลีอยู่ที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นบอสตัวสุดท้ายก่อนที่เขาจะตะลุยขึ้นไปบนดาดฟ้าได้
แม้เส้นเรื่องยังไม่เสร็จสมบูรณ์เนื่องจากการเสียชีวิตของลี
แต่หนังได้ถ่ายทำฟุตเทจไปแล้วกว่า 100 นาที ทำให้หลังลีตาย
ฟุตเทจทั้งหมดถูกปล่อยออกมาสู่โลกภาพยนตร์ ให้โลกได้รับรู้ถึงสมบัติชิ้นสุดท้ายที่บรูซลีทิ้งไว้
ดูความสุดยอดได้ที่นี่
• ล้มยักษ์ด้วยหนังสือ
แช้ดชอบการต่อสู้ของโบบันและรีฟส์มาก เพราะทุกอย่างมันดูถึงอกถึงใจไปหมด
ตอนเห็นมือโบบันทาบไปที่หัวเล็กๆของรีฟ หรือการที่โบบันที่ใส่รองเท้าไซส์
27 ยันไปที่รีฟส์ ทำให้เราเห็นความแตกต่างชัดเจนของขนาดศัตรูจริงๆ
ผลที่ออกมามันจึงดูดีมากๆ
ส่วนการออกแบบอาวุธในซีนเปิดให้เป็นหนังสือ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ
เพราะต้องการออกแบบให้สู้กันในที่แคบๆ และไม่มีปัญหาเรื่องสภาพอากาศรบกวน
พวกเขาจึงคิดถึงห้องสมุด จอห์นวิค จึงต้องไปเอาของที่ห้องสมุดกลางของนิวยอร์คซิตี้
หลังจากนั้นเขาก็จะเจอนักล่าค่าหัวที่รอเขาอยู่พอดี
ซึ่งพอสู้ในที่แคบๆแบบนี้ ขนาดของคู่ต่อสู้ที่ไม่สมเหตุสมผล
ดูจะเป็นอะไรที่ท้าทายดี นักฆ่าคนนั้นจึงต้องเป็นโบบัน
ด้วยขนาดมือและเท้าที่แสนมโหฬาร ตอนเขาอัดจอห์น วิคแต่ละทีมันได้อรรถรสมาก
และส่วนที่แช้ดเลือกให้จอห์นวิคปิดเกมด้วยหนังสือเพราะ
"เราอยู่ในโลกแห่งความจริงอันแสนไร้สาระ
เราใช้ชีวิตอยู่ในจักรวาลที่ไร้สาระนี้
และเราก็มีการออกแบบการต่อสู้ที่แสนไร้สาระ
เพราะงั้นเราเลยจะฆ่าคุณด้วยหนังสือนี่ไง"
สรุปคือ ไหนๆโลกจริงมันก็ไร้สาระ ไม่มีเหตุมีผลอะไรอยู่แล้ว จะเอาหนังสือมาฆ่ากันมันก็ไม่น่ามีไรน่าแปลกใจมั้ง 😂
• เมื่อนักบาสมาเล่นหนังแอคชั่น
"ถามจริง คุณจริงจังไหมเนี่ย จอห์นวิคเนี่ยนะ หนังจอห์น วิค เนี่ยนะ!!?"
แม้จะมีคนย้ำแล้วย้ำอีก แต่โบบันก็แทบไม่เชื่อหูอยู่ดี เมื่อมีคนติดต่อมาว่า กองถ่ายจอห์นวิค อยากให้เขาไปแคสบท
จนผ่านขั้นตอนการเรียนแอคติ้ง การเทรนนิ่งคิวสตันท์ จนถึงวันที่ได้เจอ
คีอานู รีฟส์ตัวเป็นๆ โบบันยังแทบคิดไม่ออกว่าเขามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
"โอ้ นี่ฉันกำลังจะทำสิ่งนี้กับคีนูรีฟส์จริงๆเหรอเนี่ย! บ้าไปแล้ว"
โบบันบอกว่า ตอนแรกเขาเกรงใจรีฟส์มากๆ
"เอาจริงตอนแรกที่เจอกัน ผมไม่กล้าทำอะไรเขาเลย ผมไม่อยากตีเขา
หรือทำอะไรให้กระทบกระเทือนเขาทั้งสิ้น เพราะผมเคารพเขามากๆจริงๆ
แต่รีฟส์เป็นมืออาชีพมาก เขาช่วยผมเยอะมากๆ
และมันก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมากจริงๆ
เมื่อมีคนแบบนั้นคอยช่วยเหลือคุณในการทำงาน"
โบบันบอกว่า ตอนถ่ายทำเขาแทบไม่ตื่นเต้นหรือกังวลอะไรเลย
จนกระทั่งได้เห็นหนังที่ตัดเสร็จแล้ว และความกังวลก็มาเยือน
"ตอนผมเห็นฉากที่ตัดต่อเสร็จแล้ว และเห็นซีนตัวเองครั้งแรก ผมนี่แบบ
'เดี๋ยวนะ อันนี้มันใช้ได้เหรอ!? ผมมาคิดได้ทีหลังว่า
ถ้าพวกเขาชอบอะไรในสิ่งเหล่านี้ (การแสดงของโบบัน)
นั่นคือพวกเขาได้พยายามให้เกียรติผมแล้วจริงๆ"
โบบันบอกว่า เขาเป็นแค่ส่วนเล็กๆของหนัง
"แบบที่ทุกคนรู้ว่า ผมเป็นแค่ส่วนเล็กๆของหนัง เป็นแค่คนที่จอห์น วิคผ่านมาสู้ด้วย
ฆ่าทิ้ง แล้วก็เดินจากไป บทผมไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก
วันรอบหนังพรีเมียร์ ผมไปดูกับ Tobias Harris (เพื่อนร่วมทีม 76ers)
พอพวกเราดูซีนของผมเสร็จ เจ้านั่นหันมามองหน้าผมแล้วบอกว่า
'ผับผ่าเพื่อน นี่มันโคตรสุดยอดเลย!'
นั่นคือก่อนทุกคนเข้าไปดูหนัง
ไม่มีใครคิดว่าโบบันจะได้เล่นซีนแอคชั่นห้ำหั่นกับรีฟส์จริงๆมาก่อน
คิดว่าบทของเขาเป็นแค่ตัวประกอบที่ตายง่ายๆเท่านั้น
โบบันยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้เขายังเปิดรับโอกาสในงานแสดงอยู่
แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เขาค่อนข้างกลัวและหงาดระแวงมาก
"ผมกลัวการไปห้องสมุด (หัวเราะ) ผมกลัวว่าเกิดผมเดินๆตามตู้หนังสืออยู่ แล้วจอห์น วิคจะโผล่มาหักขาผมอีก โคตรหลอนเลย"
โบบันกล่าวทิ้งท้ายพร้อมเสียงหัวเราะ
อ่านสัมภาษณ์โบบันเสร็จแล้วรู้สึกว่าโบบันน่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆ ไม่แปลกใจที่มีแต่คนชอบ
ก่อนเข้าไปดูไม่ได้คาดหวังซีนอะไรเยอะแยะมากมาย พอได้ดูจริงก็ว้าวมากๆ ฝีไม้ฝีมือการแสดงใช่ย่อยเลย
เราได้ดูช้าไปหน่อย เพราะ John Wick 3 น่าจะเหลือรอบฉายน้อยแล้ว แม้ภาคนี้จะอัดแอคชั่นมาเยอะจัดจนน่าเบื่อไปหน่อย
แต่แฟนบาสเก็ตบอลแอบแวะเข้าไปดูโบบันกันได้ค่ะ เท่มากจริงๆ 555555555555
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้