สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
1. โดนปฏิเสธครั้งแรกมาแล้ว ครั้งต่อๆไปจะยิ่งยากขึ้น ยิ่งคุณไปขอใหม่ติดๆกันแบบนั้นยิ่งน่าสงสัยค่ะ
profile ของคุณไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในช่วง 7 วันนั้น รีบไปขอซ้ำๆมันยิ่งมีพิรุธ
2. อายุก็ 35+ แล้ว เป้าหมายที่แท้จริงของการไปเรียนภาษา 1 ปีคืออะไรคะ
เพราะองค์กรที่คุณเอาไปอ้าง คุณก็แค่"เคย"ทำงานเป็นอาสาสมัครเท่านั้น
ไม่ใช่งานประจำและไม่ใช่งานปัจจุบัน คุณจะมาเรียนภาษา 1 ปีไปพัฒนาองค์กรนั้นยังไง เพื่ออะไร
และองค์กรที่ว่าคือองค์กรอะไร มีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องให้คุณมาเรียนภาษาหนึ่งปีเพื่อจะกลับไปพัฒนา
3. ตกลงคุณทำงานอะไรกันแน่คะ ไอ้ Business - Selling Real Estate นี่คืออะไร นายหน้าค้าที่? เจ้าของที่ดิน?
การที่คุณไปเพิ่มว่าจริงๆงานนี้แม่เป็นคนทำมาเกิน 10 ปี แต่ใช้ชื่อคุณ มันยิ่งเป็นการทำให้ profile คุณอ่อนลงนะคะ ไม่ได้แข็งขึ้น
เพราะนั่นเท่ากับว่า"อาชีพ"ที่คุณเอาไปอ้างกับเค้าน่ะ คุณยอมรับกับเค้าเองว่ามันเป็นแค่ในนาม คุณไม่ได้ทำเอง
และจริงๆงานก็ไม่ได้มั่นคงขนาดนั้นมั้ย ถ้าคุณจะโดดวีซ่าทำงานที่อเมริกา ไอ้ Business-Selling Real Estate นี่แม่คุณก็ยังเป็นคนทำต่อได้
แล้วนี่รอบต่อไปคุณวางแผนจะเปลี่ยนอาชีพเป็น Education อีก สรุปว่าตกลงคุณทำงานอะไรกันแน่คะ
4. อายุขนาดนี้ และกรอกไปว่าตัวเองมีงานทำแล้ว ทำไมให้คุณอาเป็นสปอนเซอร์
5. ประสบการณ์เดินทางต่างประเทศมีแค่ใกล้ๆ และไม่จำเป็นต้องขอวีซ๋า
6. คุณไม่ได้บอกว่าสถาบันที่คุณจะไปเรียนคือที่ไหน เมืองอะไร แต่ให้เดา เราว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีร้านอาหารไทยและคนไทยอยู่เยอะ
ทั้ง 6 ข้อข้างบนนี้ ถ้าพิจารณาแต่ละข้อแยกต่างหาก อาจจะไม่มีปัญหาในการผ่านวีซ่าก็ได้
แต่พอเอามาดูรวมๆกัน ต้องพูดตรงๆว่าเคสคุณน่าสงสัยมาก และมีประเด็นที่ยังไม่เคลียร์หลายอย่าง เรื่องมันไม่สมเหตุสมผล
ขนาดเราเองอ่านผ่านๆจากที่คุณเล่ายังรู้สึกแบบนี้ เจ้าหน้าที่ที่เค้าถูกฝึกมาให้สงสัยไว้ก่อนมากๆไม่แปลกที่เค้าจะปฏิเสธวีซ่าคุณค่ะ
profile ของคุณไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในช่วง 7 วันนั้น รีบไปขอซ้ำๆมันยิ่งมีพิรุธ
2. อายุก็ 35+ แล้ว เป้าหมายที่แท้จริงของการไปเรียนภาษา 1 ปีคืออะไรคะ
เพราะองค์กรที่คุณเอาไปอ้าง คุณก็แค่"เคย"ทำงานเป็นอาสาสมัครเท่านั้น
ไม่ใช่งานประจำและไม่ใช่งานปัจจุบัน คุณจะมาเรียนภาษา 1 ปีไปพัฒนาองค์กรนั้นยังไง เพื่ออะไร
และองค์กรที่ว่าคือองค์กรอะไร มีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องให้คุณมาเรียนภาษาหนึ่งปีเพื่อจะกลับไปพัฒนา
3. ตกลงคุณทำงานอะไรกันแน่คะ ไอ้ Business - Selling Real Estate นี่คืออะไร นายหน้าค้าที่? เจ้าของที่ดิน?
การที่คุณไปเพิ่มว่าจริงๆงานนี้แม่เป็นคนทำมาเกิน 10 ปี แต่ใช้ชื่อคุณ มันยิ่งเป็นการทำให้ profile คุณอ่อนลงนะคะ ไม่ได้แข็งขึ้น
เพราะนั่นเท่ากับว่า"อาชีพ"ที่คุณเอาไปอ้างกับเค้าน่ะ คุณยอมรับกับเค้าเองว่ามันเป็นแค่ในนาม คุณไม่ได้ทำเอง
และจริงๆงานก็ไม่ได้มั่นคงขนาดนั้นมั้ย ถ้าคุณจะโดดวีซ่าทำงานที่อเมริกา ไอ้ Business-Selling Real Estate นี่แม่คุณก็ยังเป็นคนทำต่อได้
แล้วนี่รอบต่อไปคุณวางแผนจะเปลี่ยนอาชีพเป็น Education อีก สรุปว่าตกลงคุณทำงานอะไรกันแน่คะ
4. อายุขนาดนี้ และกรอกไปว่าตัวเองมีงานทำแล้ว ทำไมให้คุณอาเป็นสปอนเซอร์
5. ประสบการณ์เดินทางต่างประเทศมีแค่ใกล้ๆ และไม่จำเป็นต้องขอวีซ๋า
6. คุณไม่ได้บอกว่าสถาบันที่คุณจะไปเรียนคือที่ไหน เมืองอะไร แต่ให้เดา เราว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีร้านอาหารไทยและคนไทยอยู่เยอะ
ทั้ง 6 ข้อข้างบนนี้ ถ้าพิจารณาแต่ละข้อแยกต่างหาก อาจจะไม่มีปัญหาในการผ่านวีซ่าก็ได้
แต่พอเอามาดูรวมๆกัน ต้องพูดตรงๆว่าเคสคุณน่าสงสัยมาก และมีประเด็นที่ยังไม่เคลียร์หลายอย่าง เรื่องมันไม่สมเหตุสมผล
ขนาดเราเองอ่านผ่านๆจากที่คุณเล่ายังรู้สึกแบบนี้ เจ้าหน้าที่ที่เค้าถูกฝึกมาให้สงสัยไว้ก่อนมากๆไม่แปลกที่เค้าจะปฏิเสธวีซ่าคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ขอคำแนะนำก่อนยื่นวีซ่า F1 รอบที่สาม จะผ่าน หรือ ไม่ผ่าน โปรไฟล์ใน ds160 ใช่จุดในการพิจารณาไหม
ดิฉันอยากรบกวนขอความคิดเห็นนะคะ
คือดิฉันได้ไปยื่นวีซ่าอเมริกา f1 รอบแรกเมื่อวันที่ 24 พค.62 ถูกปฎิเสธมาตรา214b
รอบที่สองจึงไปยื่นอีก เมื่อวันที่ 31 พค.62 เพราะมั่นใจว่าตนเองมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงแล้ว
เกี่ยวกับหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งดิฉันเน้นแต่เอกสาร ไม่ได้เน้นข้อมูลทางไอที แต่ก็ถูกปฎิเสธด้วยมาตรา 214b อีกคะ
ซึ่งสถานะของดิฉันอายุเกิน 35 ปี ( โสด ) ต้องการไปเรียนต่อภาษาอังกฤษหลักสูตร ELI ( 1 ปี )
ในไอทีดิฉันลงข้อมูลว่าประกอบอาชีพ Business - selling real estate
ผู้ที่สปอนเซอร์เป็นคุณอา ยอดเงินใน statement สองล้านบาท และดิฉันใส่ข้อมูลว่าเคยทำงานอาสาสมัครกับ
องค์กรณ์ research แห่งหนึ่งที่ดิฉันต้องการนำความรู้จากการไปเรียนภาษาอังกฤษเพื่อนำกลับมาพัฒนาองกรณ์
( ซึ่งดิฉันมีใบรับรองจากองกรณ์ว่าไม่ใช่บุคคลที่เป็นภัยร้ายต่อสังคม )
ข้อมูลรอบแรก กับรอบที่สอง จึงเป็นข้อมูลเดิม ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะอะไรเลยในระบบไอที
ก็จะมีแค่เอกสารยืนยันในการเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาลัยแห่งหนึ่ง
ซึ่งก่อนไปยื่นวีซ่ารอบสอง ดิฉันก็เข้ามาศึกษาข้อมูลของบางท่านที่เคยถูกปฎิเสธมาแล้วแนะนำว่า
ไม่ควรเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน ds 160 ตรงจุดที่ดิฉันใส่ Present Work / Education / Training information
จึงใส่ไปที่ข้อมูลหลักอันเดิมว่าประกอบอาชีพ Business - selling real estate พร้อมใต้ล่างที่เขาให้อธิบาย
ดิฉันก็เขียนอธิบายชี้แจ้งว่าคุณแม่ประกอบอาชีพนี้เกิน 10 ปี และใส่ชื่อของดิฉันเป็นเจ้าของหลักทรัพย์ที่มีโฉนดที่ดินเป็นของตนเอง
แต่ในวันสัมภาษณ์ ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ความสนใจในการขอดูเอกสารเลยแม้แต่นิดเดียว !!
กับชุดคำถามที่ค่อนข้างยืนพื้น และคล้ายๆคำถามเดิมๆ
รอบแรก 1.ไปทำอะไร 2.อายุเท่าไหร่ 3.อาเป็นคนสนับสนุนการเงินใช่ไหม 4.จะเอาภาษาอังกฤษมาทำอะไร
รอบสอง 1.ไปทำอะไร 2.อายุเท่าไหร่ 3.ทำไมอยากไปเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งคำตอบที่ดิฉันตอบว่า
i want to improve my english skill นี้หล้ะคะ ที่ได้ยินเสียงงึมงำจากเจ้าหน้าที่ว่า **ไปเรียนทำใมที่นี่ก็มี** ตอนได้ยินแบบนั้นดิฉัน
ก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เจ้าหน้าที่ก็ถามต่อคะว่า เคยไปเที่ยวไหนบ้าง
ก็ตอบไปว่ามี มาเลกับเวียดนาม ลืมบอกอีกประเทศว่าเคยไปเที่ยวญี่ปุ่น สักพักก็พิมพ์ ต็อกแต็ก ต็อกแต็ก แล้วก็ยื่นพาสให้ดิฉัน
ถามว่าทำไมไม่ผ่านเขาก็บอกให้อ่านในใบเล็กๆ ก็มีรายละเอียดของ 214b คะ
ตอนนี้ดิฉันอยากรู้ว่าช่องโหว่ของตัวเองใช่แบบนี้ไหมคะ
1.การไปเรียนอยู่ที่นั่นตั้ง 1 ปีทำให้เขาสงสัยว่าจะไปทำงานหรือเปล่า
2.อายุของดิฉันก็มากพอที่จะส่งตนเองเรียนได้ ทำไมอาถึงsupport ให้คือจะไปหางานทำไหมในช่วงเวลา 1 ปี
คือดิฉันก็อยากยื่นใหม่อีกรอบ เป็นรอบที่ 3 แต่คงต้องรออีกสักพักนึง ซึ่งหากรอบนี้เปลี่ยนแปลงข้อมูลจาก Business - selling real estate
เป็น Education แล้วลงคอร์สที่ต้องกลับมาเรียนที่ไทย จะทำให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นไหมคะ และกะว่าจะใช้เงินตนเอง
support ตัวเองในช่วงคอร์สรอบหน้ากะว่าจะขอไปเรียนแบบสั้นๆ สัก 6 เดือน จะผ่านการพิจารณาเขาไหม ตัวปฎิเสธ 214b นี้ดิฉันก็เข้าไปศึกษา
อย่างละเอียด คิดว่ามีช่องโหว่พอสมควรสำหรับการยื่นวีซ่าของเรา เพื่อนๆมีความคิดเห็นว่ายังไงบ้างคะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำคะ